เมื่อปลายปีที่แล้วมีคลิปไวรัลของกลุ่มศิลปินไทยที่ไปเล่นคอนเสิร์ตต่างแดน และมีแฟนคลับจำนวนมากที่สามารถร้องเพลงพวกเขาได้ จนทำให้แม้แต่คนไทยด้วยกันเองถึงกับตามหาว่าพวกเขาคือใครกัน
จนถึงวันนี้หลายคนน่าจะได้รู้จักกับ 4MIX กลุ่มศิลปิน T-pop ที่กำลังมาแรง ทั้งการมีแฟนคลับต่างชาติติดตามจำนวนมาก ยอดวิวเอ็มวีที่มีคนดูเกินสิบล้านครั้ง รวมไปถึงการเป็นศิลปินที่มี agenda ในการผลักดันความเท่าเทียมทางเพศไปด้วย ซึ่งเรามักจะเห็นแฟนคลับถือธง LGBTQ ที่โบกสะบัดแทนแท่งไฟประจำวงทุกครั้งที่ทั้งสี่คนขึ้นแสดง
และแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของง 4MIX นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่แรก กว่าจะได้เจอกับสมาชิก 4 คนที่ลงตัว และกลายเป็นเพื่อนคู่คิดให้กันและกัน พวกเขาต่างผ่านการเปลี่ยนตัวสมาชิก ออกแบบคอนเซ็ปต์ ทำเพลง ซ้อมกันอย่างหนัก กว่าจะมาเป็น 4mix ที่ประกอบไปด้วย นินจา – จารุกิตต์ คำหงษา, แม็กก้า – ณัฐภัทร ดีเลิศตระกูล, โฟล์คซอง – ชนินทร บุญรอด และ จอร์จ – ราเมศวร์ เกียรติสุขอุดม
ซึ่งพอเราลองถามเล่นๆ ว่าถ้าจะเปรียบ 4MIX เป็นอาหารนี่เป็นจะหน้าตาประมาณไหน คำตอบของพวกเขาก็มีทั้ง ต้มยำ, ยำ, สเต็ก, แหนมเนือง แต่สิ่งที่เหมือนๆ กันคือพวกเขาต่างมองว่าแต่ละคนเป็นส่วนผสมที่ทำให้วง 4MIX สมบูรณ์แบบ หากขาดใครสักคนไป ก็เหมือนอาหารที่มีวัตถุดิบไม่ครบครันและขาดความอร่อยไป
เราจึงชวนไปสนทนาพูดคุยกับพวกเขาว่ากว่าจะมาเป็น 4MIX เกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขามองกันและกันยังไง และที่สำคัญ ทำไมพวกเขาถึงอยากเป็นกระบอกเสียงสนับสนุน LGBTQ ซึ่งเป็นมูฟเมนต์ที่เราเห็นไม่บ่อยนักที่การเมืองเรื่องเพศ จะกลายเป็นคอนเซ็ปต์และ agenda สำคัญในการก่อร่างสร้างกลุ่มศิลปินขึ้นมาสักกลุ่มนึง
อยากให้เรียกว่า LGBTQ แบนด์ หรือเรียกว่าอะไรดี
นินจา : จริงๆ ไม่อยากให้มีคำเรียกตายตัว 4MIX ก็คือ 4MIX อะครับ คือแบบว่าเราเป็นทุกอย่างให้คุณแล้วเราก็คือเรา อยากเรียกอะไรก็ได้ ให้เขาได้ตามที่ผลงาน ที่ตัวตน หรืออะไรที่เป็นเรามากกว่าครับ เพราะว่าสุดท้ายชื่อเรียกต่างๆ มันก็เป็นชื่อเรียกอะครับ มันแค่สิ่งที่คนเรียกเรา
จอร์จ : เหมือนกับคำพวกนั้นมันเอาไว้แบ่งประเภท แต่จริงๆ พวกเราไม่จำเป็นต้องไปแบ่งประเภทแบบนั้นก็ได้ รู้แค่ว่าพวกเราคือ 4MIX ก็พอแล้วครับ
พอมาเป็นศิลปินกลุ่ม อะไรคือสิ่งที่เรามองเห็นว่าสำคัญที่สุด
นินจา : คิดว่าความเข้ากันของเมมเบอร์ค่อนข้างสำคัญสำหรับผมนะครับ คือมันสำคัญในทุกๆ ด้านของเมมเบอร์เลยครับ เป็นแบบนิสัยใจคอที่ต้องอยู่ด้วยกันได้ นอกเหนือจากนั้นแล้ว มันยังเป็นถึงเรื่องของว่า ความคิด ความอ่าน หรือแม้กระทั่งความสามารถอะครับ คนนี้เต้นเก่ง คนนี้ร้องดี คือทุกอย่างมันต้องมาแมตช์กันได้เต็มตัว แล้วก็คาแรกเตอร์เป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนต้องมีเป็นของตัวเอง เพราะไม่งั้นพอมันเหมือนๆ กัน มันแยกไม่ออก ว่าคนนี้ชื่ออะไรนะ แต่ถ้าสมาชิกมันกลมกล่อม ทุกอย่างมันก็จะออกมาดีครับ
แม็กก้า : รวมไปถึงข้อดีของเราคือทุกคนเหมือนจะแรงเท่ากันหมด เพราะพอคนหนึ่งแรง มันก็ต้องแรงตาม มันคือบาลานซ์ของวง
แล้วไปเม็กซิโกมา เป็นไงบ้าง
จอร์จ : ตื่นเต้นมากครับ เราก็เป็นคนไทยอะเนอะ หลังจากที่เราได้โชว์ไป จอร์จเองก็ไม่เคยคิดครับว่า คนเม็กซิโกหรือคนต่างชาติที่เสพผลงานของเราจะร้องเพลงเราได้ด้วย อันนี้ที่เป็นตกใจอันดับหนึ่ง แล้วก็ผู้คนเยอะมากๆ เลยครับที่เราไปโชว์มินิคอนเสิร์ต ก็คือเต็มพื้นที่ ล้นเข้าไปในห้างเลย
แม็กก้า : เหมือนเป็นสถานที่ของเราอะ เราเดินไป เหมือนเดินไปในแบบใจกลางเมือง เดินไปแต่ละซอยก็จะมีคนรู้จักสักคนสองคน เราก็รู้สึกว่า โห นี่มันเม็กซิโกเลยนะ
นินจา : รู้สึกแบบมีความสุขมากเลยครับ เพราะมันคนละซีกโลกเลยอะ นินเกิดที่ไทยมา 24 ปีอะ แล้วเขาเกิดที่ฝั่งโน้นอะ การนอนการตื่นมันก็คนละเวลากัน ตอนนี้เรากลางวัน เขากลางคืน แต่เขาก็รู้จักชื่อพวกเรา แล้วก็เข้ามาหาเรากัน
จอร์จ : จริงๆ มันมีอีกหลายคำมากที่อยากพูดออกไป แต่ทุกคำก็คือคำที่ดี ยินดี ขอบคุณแฟนๆ ชาวเม็กซิโกมากๆ ครับ gracias
พอได้ไปเม็กซิโก ฝันเรามันใหญ่ขึ้นไหมว่าต้องไประดับโลกให้ได้
นินจา : จริงๆ เราก็ฝันไปถึงระดับโลกมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะปล่อยเพลงมาอยู่แล้วครับ พอมันมาเห็นอะไรแบบนี้ มันก็มีความหวังว่าแบบ เฮ้ย ความฝันเรามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จากชีวิตคนธรรมดาที่สลับมาเป็น 4MIX ชีวิตเปลี่ยนไหม
แม็กก้า : ก็คือต้องระวังตัวเองมากขึ้น แล้วก็การที่จะทำอะไรลงไปบนโซเชียลฯ ก็จะเริ่มมองว่ามันมีผลลัพธ์แล้วก็เป็นเอฟเฟกต์ต่อสังคม
นินจา : ก็เปลี่ยนไปตรงที่มีคนมาติดตามมากขึ้น ก็ต้องระวังอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งนินเองก็จะพยายามบอกแฟนคลับตลอดเวลาว่า ถึงจะเป็นคนดังหรือไอดอลก็ตาม สุดท้ายพื้นฐานเราก็เป็นคน เรามีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าอยากชอบเรา เห็นเราเป็นไอดอล เห็นเราเป็นแรงงบันดาลใจก็ขอให้จำเราในด้านที่ดี ด้านที่ชอบ ด้านที่เราถูกต้อง แต่ถ้าวันไหนที่เราทำผิด ก็ไม่ต้องมาทำตามเรา เพราะสุดท้ายเราก็คือคน ไม่อยากให้มองภาพว่าไอดอลมันต้องดีเลิศประเสริฐศรีในทุกๆ อย่าง ไม่งั้นเวลาเราทำอะไรผิดนิดหนึ่ง เขาก็จะรู้สึกว่าเราไม่ดีแล้ว หรือแม้กระทั่งเราเอง เราก็จะอึดอัด เพราะว่าเราต้องดีตลอดเวลา
เคยมีวันที่ท้อไหม
จอร์จ : ก็มีบ้างครับ แต่ว่าสำหรับตัวจอร์จเอง เวลาที่ท้อก็จะมองถึงเพื่อนๆ ในวงหรือคนที่รอเราอยู่ข้างนอกครับ สิ่งสำคัญของการเป็นศิลปินคือการได้ทำให้คนมีความสุข
แม็กก้า : ถามว่าท้อไหม ก็มีหลายแบบครับ อาจเป็นเรื่องที่เราระบายออกมาให้คนนอกเห็นเป็นสาธารณะไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละครับ มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องจัดการ
โฟล์คซอง : โฟล์คไม่ค่อยเป็นคนคิดอะไรมากมาย คือก็อาจจะมีนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันคือความท้อไหม หรือแค่อาจจะเหนื่อยเฉยๆ ซึ่งเวลาโฟล์คเหนื่อย โฟล์คก็อาจเล่นเกม ฟังเพลง ทำนู่นทำนี่ ก็หายเหนื่อยและพร้อมที่จะกลับมาทำงานได้เต็มที่
นินจา : ความรู้สึกท้อมันมีอยู่แล้วครับ แต่คำว่าท้อแล้วไม่ถอยเนี่ย มันคือจริงแบบจริงที่สุดเลยอะ คือมันถอยไม่ได้อะ แล้วพอความอยากของเรามันแรงกล้ามาก เราก็ต้องพยายามก้าวข้ามมันไปให้ได้ เพราะถ้าเราถอยแล้วสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดล่ะ มันก็คงพังลงไป
อยากรู้ว่าเวลาว่างๆ เราทำอะไรกันเพื่อพักผ่อน
จอร์จ : เล่นเกมครับ อันนี้ทุกคนเลย แต่สำหรับจอร์จ ถ้าแบบว่างๆ เลยนะครับ วันหนึ่งไม่ต้องทำอะไรเลย จอร์จขอแค่ทีวีตัวเดียวครับ นั่งเปิดยูทูบตั้งแต่เช้ายันเย็น แบบนั่งดู ดูทำอาหาร ดูท่องเที่ยว
แม็กก้า : ผมเป็นคนที่ไม่ชอบออกไปข้างนอกครับ ชอบอยู่ในห้อง
นินจา : นินก็คงอยู่กับยูทูบ ซีรีส์ เกม วนอยู่ประมาณนี้ครับ แต่ว่าสิ่งที่มากกว่านั้นก็คือไอจีครับ นินชอบไอจีมาก
โฟล์คซอง : ถ้าว่างมากๆ จริงๆ แบบว่างสองสามวันติด โฟล์คก็จะปั่นแรงก์ทั้งวันครับ แล้วก็นอน แล้วก็ตื่นมาเล่น
ที่บอกว่าเล่นเกม เล่นเกมเดียวกันรึเปล่า
จอร์จ : เล่นด้วยกันครับ แต่ว่าจอร์จไม่ค่อยเล่นกับโฟล์คซอง เพราะว่าโฟล์คซองมันเก่งเกินครับ
ถามจริงจังขึ้นอีกหน่อย ทำไมพวกเราอยากสื่อสารเรื่องความเท่าเทียมของ LGBTQ
นินจา : ประเด็นแรกเพราะว่านินเป็น LGBTQ ครับ เพราะในวงมันมี LGBTQ แล้วทุกคนก็เปิดรับ เราก็เลยคิดว่าเราจะผลักดันตรงนี้ออกไป จริงๆ เป็นคอนเซ็ปต์คือเราคิดไว้ตั้งแต่แรกเลย ไม่ได้เพิ่งมาคิดนะ รวมไปถึงการแต่งตัวแบบ Unisex ด้วย
กับเรื่องเสื้อผ้าที่สามารถ Unisex กันได้ ทำไมเราต้องพูดเรื่องนี้กัน
นินจา : นินมองว่าเสื้อผ้ามันไม่มีเพศนะครับ แค่เราชอบเราก็ใส่เลย แต่พอมันโดนตีกรอบมาแบบนี้ มันเลยทำให้คนที่จะใส่มันก็โดนคนอื่นๆ ต่อว่า นินอยากให้ทุกคนเปิดใจนะ สิ่งที่สำคัญเลยก็คือว่าอย่าไปตำหนิ หรือนินทาคนอื่น แบบพอเห็นการแต่งตัวของคนอื่นๆ ถึงเราจะไม่ชอบแต่ง เราไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่คนเรียกว่าเสื้อผ้าผู้หญิง ก็อย่าไปบูลลี่เขา ตัวเองไม่ชอบก็แค่ปล่อยไป นินคิดว่าคนที่กล้าใส่จะมีเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก ถ้าคนที่ใส่จะไม่มั่นใจ ให้เขาไม่มั่นใจด้วยตัวเองดีกว่า แต่ส่วนมากคนที่ไม่กล้าใส่เสื้อผ้าแบบที่อยากใส่ จะเกิดจากการที่โดนคนรอบข้างต่อว่ามากกว่า
แม็กก้า : ผมว่าใช้ได้กับทุกเรื่องเลย เพราะว่าเราต่างก็มีของที่ชอบหรือไม่ชอบนะครับ คือเราไม่ได้ชอบเหมือนกันไปทุกอย่าง มันไม่ควรไปล้อใคร
โฟล์กซอง : อย่างทุกวันนี้หล่อคืออะไร สวยคืออะไร beauty standard มันไม่อยู่แล้ว แบบว่าคนนี้โดนทุกคนมองว่าขี้เหร่ แต่เราอาจมองว่าคนนี้สวยก็ได้นะ
พอเราเปิดประเด็นเหล่านี้แล้ว เจอฟีดแบ็กอะไรบ้าง
นินจา : แน่นอนว่าพอมีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบบ้าง โดยเฉพาะตอนเราปล่อยซิงเกิล Prologue ออกมา ก่อนที่จะเป็น Y U COMEBACK ก็คือตอนนั้นคือแบบว่า โดนกันแบบว่าเป็น LGBT เหรอ?
แปลว่าเรารู้สึกไหมว่าในไทยอาจจะยังไม่เปิดรับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ
จอร์จ : จอร์จคิดว่าทุกคนอาจได้รับการยอมรับในกลุ่มๆ หนึ่ง แต่ในด้านของการที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หรือในด้านของกฎหมาย อาจยังไม่เท่าเทียม
นินจา : ถ้าในสังคม นินคิดว่าค่อนข้างเปิดแล้ว คือยึดจากตัวเองด้วย เพราะตอนเปิดตัวออกมา ก็มีคนชอบนะ ไม่มีใครมาตินินเท่าไหร่ บอกว่ามีสไตล์ แล้วก็มีคนทำตาม
แต่ว่าสิ่งที่ต้องพูดถึงมากกว่าคือความไม่เปิดกว้างในเรื่องกฎหมาย กฎหมายไทยมันไม่รองรับ LGBTQ เท่าไหร่ และถ้าตราบใดเรายังต้องดำเนินชีวิตโดยใช้เอกสารหรือกฎหมายต่างๆ กฎหมายสมรส กฎหมายครอบครองสิทธิต่างๆ อะไรแบบนี้ เรื่องนี้เขาควรจะได้รับความเท่าเทียมเท่ากับทุกคนในประเทศ เพราะว่าอย่างไรเขาก็คือประชาชนในประเทศ LGBTQ ก็จ่ายภาษี LGBTQ ก็คือคนเหมือนกัน แต่ว่าถ้าบอกว่าไม่ต้องมีทะเบียนสมรสทั้งผู้ชายผู้หญิงมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าผู้ชายหญิงมี แต่ LGBT ไม่มีเนี่ย มันก็ค่อนข้างจะไม่เท่าเทียมเท่าไหร่
งั้นตอนที่เห็นศาลฯ ออกมาวินิจฉัยเรื่อง #สมรสเท่าเทียม พวกเรารู้สึกยังไงบ้าง
จอร์จ : เอาตรงๆ นะครับ หงุดหงิดมากๆ เลย
นินจา : นินไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเลย เพราะนินมองว่าคนที่จะต้องมาดูแลเรื่องใหญ่ๆ แบบนี้เขาต้องเปิดใจ และต้องมองหลายๆ ด้านครับ ไม่ใช่ว่าใช้ความคิดของตัวเอง หรือความคิดในอดีตเข้ามา ต้องดูว่าโลกมันเคลื่อนไปเท่าไหร่แล้ว เลขมันเคลื่อนไปเรื่อยๆ 2019 2020… แต่ว่าความคิดเราไม่ควรจะย้อนกลับไปหรืออยู่กับที่ เราควรจะรับฟังสิ่งต่างๆ จากคนรุ่นใหม่ หรือสิทธิโลกมนุษย์ของเราที่มันก้าวไปข้างหน้า เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่ควบคุมอยู่ยังเป็นอย่างนี้ ต่อให้เราแหกปากแค่ไหน นินก็ไม่มั่นใจว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไหม แต่ว่าอยากให้ทุกคนสู้ๆ ต่อไป
สักวันหนึ่งมันต้องได้แน่นอนครับ