“Be your own kind of beautiful
F*ck it we’re all beautiful
S M L but I LIKE IT XL!”
นี่คือเนื้อเพลงจาก XL ซึ่งเป็นซิงเกิลล่าสุดจาก ซิลวี่ – ภาวิดา มอริจจิ ที่หลายคนอาจรู้จักเธอตั้งแต่รายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว หรือบางคนอาจจะได้มารู้จักเธอตอนประกวดรายการ The Voice Thailand ซีซัน 6 หรือบางคนก็อาจเพิ่งมาเจอเธอในวันที่เพลงนี้เปิดตัว
ซิลวี่เดินทางเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 ในวันที่เธอถูกกดดันในเรื่องลุค หน้าตา และรูปร่าง ในตอนที่เธอยังเด็ก เธอต่างพยายามวิ่งตามความคาดหวังงของผู้ใหญ่ แต่ในวันที่เธอเติบโตมาจนถึงขวบปีที่ 25 ในวันนี้เธอตัดสินใจออกมาทำเพลงเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ Body Positivity และการรักตัวเอง การเป็นตัวของตัวเองไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน
ปัจจุบันซิลวี่เซ็นสัญญากับค่าย Warner Music Asia และเลือกที่จะทำเพลงจากเรื่องราวและหัวใจของเธอเอง ซึ่งเธอต่างผ่านเหตุการณ์มามากมาย กว่าจะค้นพบวิธีการดูแลและรักตัวเองอย่างในทุกวันนี้ จน ณ เวลานี้เธอกล้าพูดได้เต็มปากว่าเธอชอบตัวเองสุดๆ
The MATTER ไปคุยกับเธอถึงการออกมาทำเพลงเกี่ยว Body Positivity และเส้นทางกว่าจะได้เจอกับวิธีการเป็นตัวของตัวเอง รักตัวเอง และมีความสุขกับการเป็นตัวเอง รวมไปถึงการส่งต่อความรักและกำลังใจนี้ไปถึงคนอื่นๆ ที่กำลังถูก Beauty Standard กดทับอยู่ด้วย
ซิงเกิล XL ที่เพิ่งปล่อยออกมาพูดถึงเรื่องอะไร
ถ้ามองโดยผิวเผิน คนอื่นอาจมองว่ามันเป็นแทร็กสำหรับผู้หญิงที่ plus size เท่านั้น แต่ XL สำหรับซิลวี่คือการ encourage ให้ผู้หญิงกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็มั่นใจ กล้าที่จะออกไปทำอะไรสนุกๆ และหันมารักตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็น
เนื้อเพลง XL มันตอบโจทย์ทุกอย่างเลย เนื้อเพลงตั้งแต่ประโยคแรกที่แบบ people didn’t know what I got, people didn’t know what I got ก็คือสื่อถึงการที่เราเป็นเด็กอายุ 15 ตามหาความฝัน เชื่อมั่นเหลือเกินว่ากูเก่ง กูต้องเป็น กูต้องได้ แต่ว่าเก่งอย่างเดียวไม่ได้อะ มันโดนกดดันในแง่ของลุคหรือในแง่ของการวางตัวอย่างนี้อะเยอะมาก แล้วก็อย่าง people used to put me in a box เนี่ยก็คือ ชัดเลยว่าเราเคยถูกตีกรอบหรือวางกรอบไว้ว่าเราควรจะมีรูปร่างแบบไหน ควรจะเป็นคาแร็กเตอร์ไหน เหมือนโดน shape ให้อยู่ใน category โดยที่ไม่รู้ตัว แล้วเราไม่โทษเขานะ เพราะเราก็เด็กเกินที่จะมีความคิดของตัวเอง ว่าเราอยากเป็นอะไร เพราะเราก็เข้ามาเด็กมากจริงๆ อะไรอย่างนี้
ทำไมถึงอยากเล่าเรื่อง body positivity ขึ้นมา?
ด้วยความที่พอเราทำงานกับฝรั่งเนอะ เขา have no idea ว่าเราคือใครอะ (ขำ) เราก็เลยต้องนั่งเล่าให้เขาฟังว่าชีวิตเราเป็นอย่างไรบ้าง ก็เล่าตั้งแต่สมัยอายุ 15 ที่มีความใฝ่ฝันอย่างไรบ้าง และก็เจอเรื่องอะไรบ้างอย่างนี้ แล้วก็มันไปถึงจุดที่เราเล่าให้เขาฟังว่า เราเริ่มเป็นศิลปินอิสระ แล้วเราก็อิสระมาสองปี เราเริ่มหาตัวตน หาทางที่จะเป็นตัวของตัวเองแล้ว แล้ว ณ วันที่เราเลือกทำแบบนี้ คนสนใจเรามากขึ้น คนรักเรามากขึ้น พอเรากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง พอเรากล้าที่จะไม่สนใจใคร กลายเป็นว่าคนมันมองว่าเราเป็นแรงบันดาลใจ และคนก็รู้จักเราในฐานะนั้น
เพลงนี้แต่งเองด้วย รู้สึกยังไงบ้าง?
วันที่แต่งเนี่ยก็มีคนแต่งอยู่สี่คน คือ ซิลวี่, Valentina Ploy, Richard Craker และก็ Stephen Jones แต่งด้วยกันที่สตูดิโอชื่อว่า Karma Sound Studios
มันดีเกินคาด เพราะว่าเราไม่ได้คาดหวังเลย พูดง่ายๆ คือเราอยู่ในชีวิตในวงการบันเทิงมา 10 ปีแล้ว แล้วเราก็ค่อนข้างที่จะคิดว่าเราอาจโตที่นี่ไม่ได้แล้ว แล้วเราก็เจอเรื่องราวมากมายที่ทำให้เราสิ้นหวังในแง่ของการที่จะเป็นศิลปิน มันยากที่จะดังหรือแมส
แต่ลึกๆ ก็อยากให้เพลงนี้มันดัง อยากให้ทุกคนได้เห็นว่า ความงามแบบลักษณะที่มันไม่ได้มีแค่แบบเดียวในประเทศไทย มันมีผู้หญิงอีกหลายคนในโลกนี้ที่มีความมั่นใจและความสวยในแบบของเขา เพียงแค่เขาไม่ถูกมองเห็นเฉยๆ เราจะบอกว่าทุกคนที่อยู่ใน MV เรารู้จัก และเราชื่นชมเขาหมด เพราะเขาคือคนที่ใช้ชีวิตเลิศ ฉันชอบเธอ เธอคือหนึ่งในไอดอลของฉันเหมือนกัน
และในวันที่ทุกคนเห็นมันมากขึ้นเนี่ยว่าความหลากหลายมีอยู่จริง ความงามที่มันแตกต่างตรงนี้ มันก็เหมือนกับเราได้ทำอะไรให้สังคมนะ เพราะว่ามันคือเรื่องจริงอะ ทุกวันนี้เรารายล้อมกันอยู่ ร้อยพ่อพันแม่ ไม่เหมือนกันสักคน รูปร่างก็ไม่เหมือนสักคน หน้าตาก็ไม่เหมือนกันสักคน ความคิดความอ่านก็ไม่เหมือนกันสักคน เพราะฉะนั้น ให้โอกาสและเปิดรับอะไรใหม่ๆ ให้ได้มีจุดยืน เพื่อให้มันได้มาถกเถียงกันให้ชัดว่า เฮ้ย เธอชอบแบบนั้น ฉันชอบแบบนี้ ให้มันหลากหลายอะ เราว่ามันสนุกดี
ก่อนหน้านั้นเราตั้งคำถามไหมว่า ทำไมต้องมี beauty standard อย่างนี้ด้วย
เรามีคำถามตั้งแต่ที่เข้ามาในวงการเลยอะ เรารู้สึกว่า ‘ทำไม’ ตลอดเวลา เพราะว่าเราถูกสั่งให้ลดน้ำหนักตั้งแต่แรกเลย และมันดูเป็นประเด็นเหลือเกิน เช่น การต้องลดน้ำหนักเพื่ออยากได้บทนี้ มันหลายอย่างอะ แล้วมันโคตรเป็นประเด็นเลย และเราสังเกตและเห็นได้ตามสังคมอะ ทุกคนกำลังวิ่งหาอะไรก็ไม่รู้ ที่สุดท้ายพอเราไป match ตรงนั้น เราก็ไม่ happy กับตัวเราเองอยู่ดี เพราะฉะนั้นคือ เราไม่รู้ว่าเราวิ่งตามอะไรอยู่
เราดีลกับความรู้สึกตอนนั้นอย่างไร เวลาเราไม่เข้าใจว่าการเป็นตัวเรามันแย่อย่างไร
ไม่ดีลเลยค่ะ เพราะว่าเชื่อแบบที่เขาคิดตอนแรก ตะบี้ตะบันลดน้ำหนัก ถ้าคนที่ตามเรามานาน จะรู้ว่าเรื่องของรูปร่างเราเนี่ยมันขึ้นๆ ลงๆ มาก เดี๋ยวก็ผอม เดี๋ยวก็อ้วน คือคนเอาไปทำข่าวเรื่องนี้โคตรเยอะ เยอะกว่าการที่เรามีเพลงอีก มันเป็นประเด็นของประเทศนี้อะ ว่าคนเราจะผอมจะอ้วน อะไรอย่างนี้
ยอมรับว่าช่วง 15-18 เนี่ย เราเสียเวลากับการอยากที่จะผอมมาก อยากที่จะเป็นเหมือนนางเอกทั่วไปที่เห็นในช่องสาม อะไรอย่างนี้ พยายามเหลือเกิน แล้วก็ลองวิธีที่ผิดๆ เช่น ทั้งวันฟิตเนสอย่างเดียว กินข้าวแค่หนึ่งมื้อ ฟิตเนสจนเป็นลม จนมันแบบไม่ healthy คลั่งผอม และทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที
แล้วการที่เราคิดว่าเราผอมประมาณหนึ่งแล้ว แต่ว่าสุดท้ายไม่ดีพอสำหรับผู้ใหญ่บางคนอยู่ดี เราก็เลย suffer กับตรงนี้ว่าแล้วเมื่อไรมันจะพอ เราเก็บคำพูดแรงๆ พวกนี้ไว้เป็นเวลานาน แล้วเราถึงค่อยเรียนรู้ในช่วงที่เราเป็นศิลปินอิสระว่า เราต้องดูแลตัวเองแล้ว เราต้องกลับมามีจุดยืนของตัวเองชัดเจน และพยายามที่จะพยายามพาตัวเองขึ้นมา และมีชีวิตที่มีความสุขทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ
เคยรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอไหม
ตลอดเวลา ความดีไม่พอเนี่ยมีตลอดเวลาอะ มันเป็นปมของเราอะ เราเข้ามาเราก็โดนเปรียบเทียบแล้ว แล้วก็เรารู้สึกเราต้องวิ่งตามเส้นมาตรฐานตลอดเวลา ทุกวันนี้เราต้องนั่งบอกตัวเองซ้ำๆ อยู่เลยนะ วันไหนเราดาวน์มากๆ รู้ไหมเราทำอะไร เราเปิดยูทูบ morning affirmation ฟังอย่างนั้นแหละ ก่อนเริ่มวันว่า I am enough, I am abundance ฟังวนซ้ำๆ ตลอดเวลา กับแง่บวกที่ตัวเองจะสามารถหาให้ตัวเองได้
เหตุการณ์ไหนที่ทำให้เราตระหนักได้ว่าต้องกลับมารักตัวเองแล้ว
ตอนนั้นเรากดดันตัวเองหนักมาก เพราะเราเป็นคนทำอะไรทำสุด เป็นคนมีวินัยมาก ตอนเราโดนสั่งลดน้ำหนัก เราก็ตะบี้ตะบันลดจริงๆ จังๆ แล้วเราก็คลั่งผอม จนบางทีก็พาตัวเองไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แล้วมีความสุขจอมปลอมที่เกิดขึ้น ก็เลยพาตัวเองไปทางที่ไม่ดีที่เราไม่คิดว่าเราจะเจอ
ตอนนั้นเหมือนตกอยู่ในนรกเลย พอมันตกอยู่ในนรกสักพัก บวกกับเรามี support system ที่ดี ก็คือคุณแม่ที่คอยอยู่ข้างๆ เสมอ พอมันตกนรกมากจนเกินไปแล้ว จนรั้งไม่อยู่อะ เหมือนตัวเราเองนี่แหละรู้มาตลอดว่า จิตวิญญาณของซิลวี่มันหายไปไหน ความต้องการของเรามันหายไปไหน เหมือนใช้ชีวิตบนความคาดหวังของคนอื่นหมดเลย แล้วตัวกู expect อะไรจากตัวกูเองวะ
ณ ตอนนี้ขอแค่คำเดียวคือ มีความสุขกับโลก กับตัวเอง แค่นั้นพอ ก็เลยค่อยๆ เรียนรู้ที่จะหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตในแต่ละวัน ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะรักตัวเองอย่างทุกวันนี้
บางคนอาจคิดว่ามันเป็นวิธีการที่แบบว่า ก็มึงผอมไม่ได้อะ มึงเลยหาทางออกแบบนี้ หมายถึงมึงเลยรักตัวเองแบบนี้ไง ก็ใช่ ถ้าจะบอกแบบนี้ก็ใช่ ก็กูผอมแบบนั้นไม่ได้ แล้วกูอ้วนแบบนี้แล้วมีความสุขไม่ได้เหรอ ก็เลยทำให้ทัศนคติเปลี่ยนไป และอยากใช้ชีิวตกับตัวเองที่เป็นแบบนี้ต่อไป
ตั้งแต่อายุ 15 จนมาถึงตอนนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองยังไงบ้าง
เปลี่ยนแปลงเยอะนะ เวลาย้อนกลับไปดูตัวเองตอนสมัย 15 อยากจะแบบ เฮ้ย สู้เขามึง (ขำ) รู้สึกแบบ… ทำไมไม่ own it วะ คือเรามีความรู้สึกว่าเรามีกึ๋นตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่กล้าเฉิดฉาย เพราะเรารู้สึกว่าเราเฉิดฉายไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับการยอมรับ เราไม่เหมือนคนอื่น ก็เลยจะมีความแบบ ค่ะ ชอบร้องเพลงค่ะ เก่งค่ะ เก่งประมาณหนึ่ง คือเราไม่ได้กล้าพูดออกมาว่า กูแม่งเก่งว่ะ (ขำ)
ณ ตอนนี้ที่เราอายุ 25 เนี่ย เราก็มีความเคลมตัวเองมากขึ้น ถ้ามีใครมาบอกว่าเราสวยเนี่ย เราก็จะบอกว่า I know ขอบคุณมาก เราก็ว่าเราสวย มันคือ self-love อย่างหนึ่งที่จะเสริมสร้างและช่วยผลักดันตัวเองให้ confident มากขึ้น
ตอนนี้ถ้าให้นิยามความเป็นซิลวี่ มีอะไรบ้าง
แน่นอนมันต้องมีคำว่ามั่นใจก่อน มั่นใจ บ้าบิ่น นอกกรอบ เซนซิทีฟ
ทำไมถึงรู้สึกว่า ‘เซนซิทีฟ’ เป็นหนึ่งในนิยามของเรา
เรารู้สึกว่าการที่เรามาได้อย่างทุกวันนี้ เราเป็นคนเซนซิทีฟกับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในแง่ลบก็รู้สึกกับมันมาก การที่ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตในแง่บวกได้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้เราไม่มีการคิดลบเลยนะ มันยังมี แต่แค่ความรู้สึกบวกเนี่ยมันกลบ เราฝึกฝนตัวเอง เลือกที่จะมั่นใจ เลือกที่จะหล่อหลอมตัวเองด้วยความคิด positive เหล่านี้ เราเป็นคนที่ค่อนข้าง จริงงใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอะไรก็ตามโกรธ เศร้า มีความสุข ไม่ว่าความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น เราสัมผัสเองได้เสมอ เพราะเราใช้จิตวิญญาณในการทำงานอะ ทุกวันนี้ เราขับเคลื่อนด้วยพลังงานของความรู้สึก หลายๆ ครั้งเราเลยชอบทำสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปหน่อย เพราะเราโฟกัสแต่ตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากเราเซนซิทีฟ และเราเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ตัวเอง positive ขึ้นได้ จากสิ่งๆ นั้น
สำหรับในวันที่โลกนี้มันมี beauty standard เยอะมาก และเราถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา ซิลวี่บอกตัวเองอย่างไรว่า เราต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง
เราเริ่มจากเรามองหาอินฟลูเอนเซอร์ดีๆ เราดู America’s Next Top Model ตั้งแต่เด็กๆ เลย แล้ว Tyra Banks เขาไม่ได้มีแค่โมเดลประเภทเดียวอะ เขามี plus size model มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราเลือกเสพสิ่งนี้เพราะเราเห็นว่า เฮ้ย มันมีอยู่จริง หมายถึงมันมีคนที่เห็นค่ามันอยู่ด้วย
และในขณะที่เราใช้ชีวิตมา ช่วงนั้น Kim Kardashian กำลังบูม พวกที่เป็นแบบพวกใหญ่ๆ ขาใหญ่ๆ บวกกับ อินฟลูเอนเซอร์อีกคนที่ทำให้เรากล้าใส่ bikini ก็คือ Ashley Graham ซึ่งก็เป็น plus size model เหมือนกัน คนเหล่านี้ มีอิทธิพลทำให้เรากล้าออกมา คือเราไม่ได้อยู่ๆ จะคิดได้เองว่าเราจะ fierce แต่เราพาตัวเองออกไปหา พาตัวเองสะสมแรงบันดาลใจพวกนี้
เราจำได้ เหตุการณ์หลักๆ ที่เราเจอคือ เราเจอผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการ แล้วเขาก็เหมือนทักเราว่าเนี่ย ขาใหญ่มากเลย หรือตูดใหญ่มากเลย แต่วันนั้นคือวันที่เราเรียนรู้แล้วนะ ว่าเราเลือกชีวิตแบบไหน เราก็เลยตอบกลับไปว่า ทำไมอะคะ Kim Kardashian ไงคะ ไม่รู้จักเหรอ
ซึ่งก่อนที่เราจะตอบไปว่า ทำไมอะคะ Kim Kardashian เนี่ย เมื่อก่อนเราเคยรู้สึกว่า โดนอีกแล้วๆ อย่างนี้มาก่อน เรารู้สึกว่าเขาพูดแค่ครั้งเดียว แต่เวลาเรากลับไปบ้านเนี่ย เราเอาคำพูดเขามาวนพูดอีกในหัวตัวเองอะ เพราะงั้น การจัดการในหัวตัวเองสำคัญมากสำหรับเรา
คิดยังไงกับการทักกันเรื่องรูปร่างหน้าตา
คิดว่ามันประหลาดมาก คือแบบไม่เคยเจอ culture อื่นที่ทักกันแบบนี้ แล้วก็มันเป็นเรื่องที่ทำไมเราถึงไม่อยากรู้อะ ว่าเฮ้ย เธอเป็นอย่างไรบ้าง มากกว่าการถามว่าช่วงนี้กินเยอะเหรอ มันเกี่ยวไร ทำไมมึงถึงอยากรู้เรื่องการกินของกูวะ เพราะว่ากูอ้วนขึ้นอย่างนี้เหรอ เราควรจะเสพสิ่งที่เป็นคนนั้นจริงๆ มากกว่า ไม่ใช่แค่แบบรูปลักษณ์ภายนอก
ซิลวี่เคยมีประสบการณ์การเอารูปร่างหน้าตามาล้อเลียนไหม
เราว่าเรื่องของความตลกแบบ เฮ้ย กูแค่ขำๆ เอง มันมีเยอะมากในไทยนะ แต่ไม่ใช่ว่าต่างชาติไม่มี ต่างชาติเขาก็มีเหมือนกัน แต่แค่กำลังจะบอกว่าหลายคนไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ว่าการล้อเลียนเป็นปัญญหายังไง เขาคิดว่า เฮ้ย พูดเล่น เพราะเขาไม่รู้ไงว่าการพูดเล่นเล็กๆ น้อยๆ มันสามารถเป็นปมหรือสามารถสะกิดใจคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นเราว่า เมื่อไหร่ที่มันเป็นมุกตลก แต่มันทำให้ใครคนใดคนหนึ่งรู้สึกลบ มันก็ไม่ขำอะ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น
แต่ก็จะมีบางคนที่โดนล้อเลียนแล้วก็ขำๆ ตามน้ำไป ซิลวี่คิดยังไงกับเรื่องนี้
เราเจอคนแบบนี้เยอะ ที่แบบขำๆ ตามน้ำไป แล้วเราว่าแรกๆ เราก็เคยเป็นแบบนี้มั้งนะ สมัยเด็กๆ ที่ไม่คิดจะยืนหยัดเพื่อตัวเอง เราว่ามันอยู่ที่กลไกการป้องกันตัวเองของแต่ละคน อย่างหลังๆ เราเลือกที่จะโต้กลับ เพราะเราเกิดมาเป็นเด็กแก่นอะ ไม่แคร์อยู่แล้ว เพียงแค่ว่าที่ผ่านมามันโดนกด
แต่สำหรับคนที่ส่วนมากจะขำไปด้วยกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาอาจจะยังกลัวว่าเพื่อนจะรู้สึกไม่โอเค ทั้งที่จริงๆ เราควรโฟกัสสิ่งที่คนอื่นทำให้เรารู้สึกมากกว่า เรารู้สึกว่า ความรู้สึกของตัวเราเองมันสำคัญมากอะ มันอาจเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะบอกเขาก็ได้ เพราะนี่ก็คือการสื่อสาร และโลกนี้มันสามารถเปลี่ยนได้ด้วยการสื่อสารกันไปมา เพราะฉะนั้น การที่เราจะบอกใครคนหนึ่งว่า เธอทำแบบนี้แล้วเราเสียใจว่ะ มันเป็นเรื่องที่ดี และเราสามารถทำได้ ในขณะที่เรากำลังพูดกับเขา เราก็รู้สึกเหมือนเราได้เซฟตัวเอง ได้ปกป้องตัวเองมากขึ้น มันคือ self-care อีกอย่างหนึ่ง
ซิลวี่คิดว่าความสวยคืออะไร
เรามองว่าความสวยคือสิ่งที่เปล่งปลั่งออกมาจากใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจ ความว่าเขาเห็นค่าอะไรสักอย่างในตัวเอง เมื่อไหร่ที่เรามีความรู้สึกนั้นกับตัวเราเอง มันจะเฉิดฉายออกมา แล้วเราเจอคนแบบนี้เยอะมาก จนเรามองว่าความสวยงามมัน… คือถ้าเราเจอคนที่มาบอกว่า ความสวยคือหน้าต้องอยู่ตรงนี้เท่ากัน คือมันมีอยู่จริงตามประวัติศาสตร์ แต่เราไม่ค่อยเชื่อด้านนั้น เราเชื่อถึง creature, human, every human that all kind is beautiful เราว่าผู้ชายก็สวยได้ ผู้หญิงก็สวย อะไรก็สวยได้หมด มันคือความสวยงาม aesthetic ที่เรามีต่อสิ่งได้สิ่งหนึ่ง
ซิลวี่สร้าง self-love ยังไง
ออกกำลังกายมีส่วนนะ ในแง่ออกกำลังกายเนี่ย ด้วยความที่เราเคยตะบี้ตะบันลดน้ำหนักใช่ไหม คือออกกำลังกายเพื่อที่จะอยากผอมอะ ทุกวันนี้เราออกกำลังกายเพื่อเราเอง เพื่อให้สุขภาพดี และคงสุขภาพจิตที่ดีเอาไว้ด้วย แบบไม่ตะบี้ตะบัน อึดอัดก็ออก หายอึดอัดก็หยุด ทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองอยากทำ สบายๆ ไม่เครียด ไม่กดดัน
แล้วก็แก้ผ้าหน้ากระจกเยอะๆ (ขำ) เมื่อก่อนจะเขินอาย ไม่ค่อยกล้าดูตัวเอง ที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนรู้วิธีการเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง น่าจะตั้งแต่ประมาณอายุ 20 มั้ง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราเริ่มแก้ผ้าแล้วมองตัวเอง แล้วรู้สึกว่ามันก็คือ ร่างกายที่เป็นธรรมชาติ, เป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงาม เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ บอกตัวเอง มองดูและวิเคราะห์ตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร พอเรารู้ว่าเราไม่ชอบส่วนไหนของตัวเอง ก็ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะรักมันว่า โอเค ฉันมีอยู่จริง ฉันมีรอยแตกจริงๆ ฉันมีไขมันจริงๆ แต่แล้วทำไม มันคือธรรมชาติของฉัน ฉันจะรักเธอ พูดหน้ากระจก
เราทำจนทุกวันนี้เราไม่ต้องทำแล้ว เราไม่ต้องไปยืนหน้ากระจกและบอกตัวเองแล้ว มันเป็นของมันเอง แล้วมันก็เสริมให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้ได้
แต่ถ้าวันนั้นไปเจอเรื่องที่รู้สึกแย่มากๆ รู้สึกดาวน์ ซิลวี่จัดการยังไง
เราละทุกอย่างเลย แล้วไปอยู่คนเดียวในห้อง ฟังเพลงที่อยากฟัง หาหนังที่อยากดู แบบดูแลตัวเองก่อน แล้วก็เปิด affirmation ฟัง “I am enough” อยู่อย่างนั้นอะ แล้วก็อ่านหนังสือ อ่านโควตดีๆ สักหนึ่งอย่าง ร้องเพลง เต้น TikTok มันมีวิธีการอีกหลายอย่างให้เราสนุกและใช้ชีวิต เราจะบอกว่า อะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ที่เราทำ มันเสริมสร้างให้เราเป็นเราทุกวันนี้หมดเลย แบบความสุขต่างๆ ที่เกิดขึ้น หาอะไรอร่อยๆ กิน กินไอติม อะไรแบบนี้ แบบถ้าเรามีความสุขกับสิ่งพวกนี้ เราก็จะมีชีวิตที่มีความสุขมากเลยอะ
อยากบอกอะไรถึงคนที่ยังรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ
อย่ารอให้ตัวเองเพอร์เฟ็กต์เพื่อที่จะมีความสุข เพราะไม่งั้นก็รอไปเถอะ ความเพอร์เฟ็กต์คืออะไรก็ไม่รู้ ไม่มีอยู่จริง ลอยอยู่ในอากาศ ถ้าเรารอผอมก่อน ค่อยกล้าใส่เกาะอก แล้วเมื่อไหร่อะ จะถึงเวลานั้น แทนที่จะแบบว่า กูลองใส่เลยเกาะอกตอนนี้ กางเกงขาสั้นตอนนี้ บิกินี่ตอนนี้ อย่ารอที่จะ เพอร์เฟ็กต์เพราะว่าทุกคนมีความสวยงาม และความแตกต่างในแบบของตัวเอง รักและชอบตัวเองให้เยอะๆ เห็นค่าตัวเองให้มาก รู้คุณค่าของตัวเอง มีความสุขในทุกๆ วันที่ใช้ และก็ enjoy ชีวิตไปเถอะ อย่ารอ
สุดท้าย ชวนฝากผลงานว่าจะติดตามซิลวี่ได้ยังไงบ้าง
ฝากเนื้อฝากตัวศิลปินหน้าใหม่ที่อยู่มา 10 ปีแล้วนะคะ (ขำ) c]tสามารถเข้าไปดูทางยูทูบกันได้ที่ช่อง SILVY รวมไปถึงตอนนี้ XL ก็ทะลุล้านไปแล้ว ก็เอาอีกนะคะ เอาอีก ก็ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนและก็รัก จะบอกว่าทุกๆ ครั้งที่มีคนเข้ามาคุยกับเรา แล้วบอกว่าเราคือแรงบันดาลใจ คุณก็คือแรงบันดาลใจของเราเหมือนกัน ว่าเราต้องทำต่อ ว่ามีคนเห็นเรา เราจะไม่หยุด ก็ติดตามกันได้ และก็เชื่อว่าเพลงต่อๆ ไป หวังว่าทุกคนจะชอบมันอีก เหมือนเพลงนี้นะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ