ในวันที่ ม.112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง มีนักกิจกรรมทางการเมืองหลายคนถูกแจ้งข้อหาคดีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
รวมไปถึง ทราย อินทิรา เจริญปุระ ดารานักแสดง ที่ในปีนี้ได้อีกหนึ่งฉายาว่าแม่ยกฝั่งประชาธิปไตย จากการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของการชุมนุม ที่ก็ได้รับหมายเรียกในคดีนี้เช่นกัน ซึ่งเราก็ได้พูดคุยกับเธอถึงการถูกดำเนินคดี ประเด็น ม.112 ที่ถูกนำมาใช้ ไปถึงการเคลื่อนไหวตลอดปี ว่าพาเรามาไกลกันขนาดไหนบ้าง
แม้ว่าคดีนี้ จะเคยถูกมองว่าเป็นคดีที่ร้ายแรง แต่ในตอนนี้ มันกลับถูกนำมาใช้บ่อย และแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งทรายก็ได้บอกความรู้สึกหลังได้รับหมายกับเราว่า เธอไม่ได้แปลกใจ เพราะที่ผ่านมาได้เห็นกติกาที่ไม่เข้าข้างประชาชนเลย
“ไม่ได้แปลกใจ แต่เราก็รู้สึกว่ามันไม่ make sense หรอก แม้ว่าจะมีสิทธิโดนได้ ในตลอดปีนี้ เราเห็นการมีม็อบจากตลอดสองฝั่งเลย เราก็จะมอนิเตอร์อยู่ตลอดก็เห็นว่า มันเล่นกันคนละกติกา ซึ่งเราอยู่ในฝั่งที่กติกาไม่เข้าข้างเราเลย ดังนั้นเรามีสิทธิจะโดนอะไรก็ได้ ถามว่าเซอร์ไพรส์ไหม ก็ไม่ แต่เป็นความรู้สึกว่า โดนจริงๆ ด้วย แบบนี้มากกว่า”
เมื่อถามถึงการกลับมาใช้ ม.112 ที่เกิดขึ้น ทรายมองว่า แม้จะมีผลทางกฎหมาย แต่มันไม่สามารถทำให้คนเงียบได้แล้ว รวมถึงมองกระแสการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรากฎหมายนี้ว่า เป็นสิ่งที่ควรจะยกเลิก เนื่องด้วยความไม่สมเหตุสมผลของมัน
“เรารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ที่จะทำให้คนเงียบ เมื่อของบางอย่าง ถูกรับรู้แล้วมันทำเป็นไม่รู้ไม่ได้แล้ว ต่อให้คุณจะใช้ ม. 112, ม.116 หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ได้พูดก็พูดออกไปแล้ว มันไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงอะไรเราได้ และเราเอง หรือกระทั่งน้องๆ ที่โดนหมาย ก็ไม่มีใครคิดจะหยุดพูด เพราะว่าสิ่งที่พูด ถูกพูด ถูกสื่อสาร และถูกบันทึกไปแล้ว ถึงวันนึงเราไม่พูด มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงอะไร และมันทำให้เราได้เห็นว่าความจริงที่ส่งออกไปว่า มีคนบางกลุ่มที่ไม่อยากเผชิญหน้า หรืออธิบายกับมัน เลยอยากใช้วิธีห้ามไม่ให้คนพูดดีกว่า”
“ม.112 มันควรจะต้องยกเลิกมาตั้งนานแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่มีการเคลื่อนไหวมานานตั้งแต่ตอนที่กฎหมายนี้ ยังไม่ถูกพูดถึงเยอะขนาดนี้ แต่ว่า เราว่าในส่วนนึง การที่ยิ่งเอาออกมาใช้มาก คนก็ยิ่งเห็นความไม่สมเหตุสมผลของมันยิ่งขึ้นว่า อย่างตอนกรณีของอากง (อำพล ตั้งนพกุล ซึ่งถูกจำคุกคดี ม.112 จากการถูกฟ้องว่าส่ง SMS ทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินีนาถ และรัชทายาทถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง) มันเกิดขึ้นในตอนที่กระแสสังคมยังไม่ได้มาในทิศทางนี้ และยังมีความสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ในตอนนี้ถ้าย้อนดูคดีอากง มันโคตรจะไม่สมเหตุสมผล
แล้วยิ่งมาถึงตรงนี้ วันที่เราได้รับหมาย ก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลขึ้นไปอีก เลยยิ่งสร้างคำถาม มากกว่าจะทำให้มันเงียบหายไป ซึ่งเราคิดว่าถูกต้องแล้ว ที่มันควรจะถูกตั้งคำถาม และมันควรถูกจะตั้งคำถามมานานแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้ เสียงของคำถามมันดังขึ้นเท่านั้นเอง
การต่อสู้ล้วนแต่มีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งทราย ในฐานะดารา นักแสดงที่มีชื่อเสียงเอง เธอก็ยอมรับว่า เธอก็จ่ายอะไรไปมากเหมือนกันกับการเรียกร้องในคราวนี้ แต่เธอก็มองว่าเธอจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ และยังมีอะไรที่อยากทำมากกว่านี้
“ถ้ามองในแง่ตัวเงิน มันก็ไม่คุ้มหรอก แต่ถ้ามองในเรื่องส่วนตัว มันมีราคาทางใจเยอะเลยที่ต้องจ่าย มีความผิดหวัง เสียใจ ว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเราอยู่มากพอสมควร แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราพร้อมจะจ่าย ในเวลาที่เราพร้อมด้วย เพราะก่อนหน้านี้เราอาจจะมีเรื่องต่างๆ ที่รัดเราไว้ ทั้งแม่ หรืออื่นๆ แต่ตอนนี้ไม่มี มันก็ถึงเวลาแล้วที่เรารู้ว่าสิ่งที่เสียไป มันจะไม่กระทบเราขนาดนั้น และชีวิตเราก็ไม่ต้องจัดการอะไรมาก เราพยายามจัดการตัวเองเพื่อให้มีเงื่อนไขตรงนี้น้อยที่สุดอยู่แล้ว”
“พี่ไปได้อีก ไม่ได้รู้สึกว่าพอแล้ว เราว่าเรายังมีอะไรที่ทำได้อีกเยอะ เพราะว่ามันไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ หรอกเรื่องนี้ ถ้าเรายังอยู่ เรื่องของการเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงอะไรที่ดีขึ้น เข้าถึงคุณภาพชีวิต มีชีวิตที่ดีขึ้น มันไม่มีวันจบหรอกของแบบนี้ แม้กระทั่งประเทศสแกนดิเนเวียที่ทุกคนบอกว่าดี เขาก็ยังตีกันตลอด ในเรื่องของสวัสดิการ หรือเรื่องอื่นๆ เพราะโลก หรือการรับรู้ของมนุษย์บนโลก มันก็เปลี่ยนแปลงกันไปทุกปี เราเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ มันไปได้อีก และรู้สึกดีที่เราเริ่มในวันที่ยังมีแรง ยังเป็นประโยชน์อยู่”
จากวันที่สนับสนุนม็อบอยู่ห่างๆ มาสู่การเป็นท่อน้ำเลี้ยงเบื้องหลังเต็มตัว เราถามพี่ทรายต่อว่า ของมองการต่อสู้ตลอดปีนี้ว่า พาเรามาไกลถึงแค่ไหนกัน ซึ่งเธอก็มองตรงกับเราว่า เรามากันไกลมาก แต่การต่อสู้นี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน
“ไกลนะ ถ้าเมื่อเดือนกรกฎา มีคนมาบอกว่า วันนึงจะมีข่าวว่าประชาชนเขียนจดหมาย เพื่อเรียกร้องต่อราชวงศ์ เราจะไม่มีวันเชื่อ แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และมันอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุด ไม่ใช่ในพื้นที่ที่เรามาแอบอ่านกันด้วย ซึ่งเราไม่ได้พูดถึงรีแอคของคนที่ได้อ่าน แต่วันนึงมันกลายเป็นกระแสหลักที่คุณไม่รู้ คุณไม่อยากรู้ หรือคุณจะไม่เห็นด้วย แต่คุณก็ต้องรู้ เราว่าเรามากันไกลมากจริงๆ ในช่วงเวลา 5-6 เดือน
แม้จะมาไกล แต่มันจะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานอยู่แล้ว 40 ปีที่ผ่านมา เราเถียงกันเรื่องชุดนักเรียน ปีนี้เราก็ยังเถียงเรื่องนี้กันอยู่เลย ซึ่งเรามองว่ามันก็ควรจะทะเลาะกันเรื่องอื่นได้แล้ว แต่ความต่างก็คือว่า เรายังแพ้ได้เรื่อยๆ นะ เพราะคำว่าแพ้ไม่ได้แปลว่า เสียเรื่องของกองกำลัง หรือเหมือนสงครามสมัยก่อน เพราะเราไม่ได้สู้กันเหมือนการตีเมือง แต่มันคือการสะสม การทำไปเรื่อยๆ และเราว่าปีหน้าเราก็ยังทำกันได้ ไม่ว่าจะทำดีบ้าง บ้งบ้าง สื่อสารห่วยบ้าง แต่มันก็จะขยับกันไปเรื่อย และคำว่าการชนะในศตวรรษนี้มันไม่ใช่การยึดเมือง แต่มันเป็นการทำให้คนรู้ และทุกครั้งที่มีคนรู้มากขึ้น เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่ได้แล้ว”
‘เวลาจะอยู่ข้างเรา’ คำพูดที่มักเห็นในการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า การเรียกร้องในครั้งนี้ มีทั้งเรื่องของการต่อสู้ทางความติด และอาจจะต้องใช้เวลา ที่กินระยะอีกหลายปี เราจึงทิ้งท้ายคำถามกับทรายว่า จะทำอย่างไร ให้คน และประชาชน ในขบวนการต่อสู้ในครั้งนี้ ยังคงไปด้วยกันต่อได้ ?
“เราต้องไม่หยุด มันก็มีแนวลบทุกด้านแหละ ทั้งความคิด วัฒนธรรม ซึ่งมันมีเรื่องให้ถกเถียงกันเยอะ มันอาจจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าสบายใจ หรือไม่น่าคุ้นชินกับใครหลายๆ คน ว่าทำไมทุกคน ดูทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า เราไม่ได้ทะเลาะกันมานานเกินไป ความสงบมันเป็นภาพลวงตา มันไม่ความสงบจริงๆ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เห็นด้วยกันไปทุกอย่าง ดังนั้นการทะเลาะมันเป็นธรรมชาติของคนมากกว่า เพียงแต่เราไม่คุ้นกับมัน