“ตั๋วช้างก็เป็นประเด็นที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยพูดในชีวิต เรารู้ก่อนที่เราตัดสินใจจะพูดถึงมัน เรารู้ผลของมัน รู้ถึงความเสี่ยง แต่เราก็ตัดสินใจที่จะพูดถึงมัน เพราะว่าเราหวังว่าการกระทำนี้ แม้ว่าจะนำความเสี่ยงมาสู่ชีวิตเรา แต่เราเชื่อว่ามันคุ้มค่าสำหรับคนไทย”
หลายคนคงรู้จักรังสิมันต์ โรม ส.ส.ของพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่สมัยทำกิจกรรมทางการเมืองเมื่อเป็นนักศึกษา เขาเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการตั้งแต่สมัย คสช. เคยจัดชุมนุม แคมเปญ ถูกดำเนินคดี และถูกจับ
อิวาน่า แฟนสาวชาวอินโดนีเซียของโรม ที่ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ ก็เป็นคนที่อยู่กับเขา คอยสนับสนุนเบื้องหลังมาตั้งแต่สมัยนั้น เธอผ่านเหตุการณ์มาถึงไทย และต้องไปหาโรมที่สถานีตำรวจ เห็นเขาถูกจับ จนกระทั่งก้าวมาเป็นนักการเมืองในสภา ซึ่งเธอบอกกับเราว่าโรมเป็นนักสู้ รวมถึงยังมองกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทยตลอดปีที่ผ่านมา ว่าเธอเหมือนเป็นพยานในช่วงเวลาสำคัญทางการเมืองในไทยด้วย
แนะนำตัวให้รู้จักหน่อย
สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อ Ivana Kurniawati เป็นคนอินโดนีเซีย เป็นศิลปินการเม Political Artist และเป็นคู่หมั้นของรังสิมันต์ โรม
คุณกับโรมมารู้จักกันได้อย่างไร
ย้อนกลับไปในปี 2017 มี Digital Rights Camp ที่อินโดนีเซีย ฉันและโรมถูกเลือกให้เป็นผู้เข้าร่วมในค่าย เป็นค่ายประมาณ 4 สัปดาห์ ซึ่งเราเจอกันในค่ายนั้น
ในตอนนั้น ฉันกับโรมค่อนข้างคุยกันอย่างเคลียร์ แม้ว่าในค่ายจะมีระยะเวลาไม่นาน แต่เราก็คุยกันชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเป็นอย่างไร ซึ่งในค่ายนั้นโรมบอกว่า “ผมจะมาอินโดนีเซียเร็วๆ นี้” แต่ในตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าฉันยังไม่มั่นใจในคนๆ นี้ ไม่รู้ว่าเขาจะมาจริงๆ ไหม แต่เดือนต่อมา เขาก็มาจริงๆ เราก็เลยสานสันพันธ์กันต่อ ซึ่งมันก็เป็นรักระยะไกล เพราะตอนนั้นฉันยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ยังไม่จบ แต่ฉันย้ายมาไทยเมื่อเรียนจบ
ในฐานะคนที่สนับสนุนโรมมาหลายปี ตั้งแต่เขาถูกจับในหลายคดี คุณเห็นความมุ่งมั่น และการต่อสู้ของเขาเพื่อประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง
ฉันรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของเขามันบริสุทธิ์มาก มันมาจากใจของเขา ที่เขามักรู้สึกโกรธกับความไม่ยุติธรรม และการกระทำของโรมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เขามักจะมองอะไรจากภาพใหญ่ พยายามจะทำสิ่งที่ดีที่สุดในความสามารถของเขาตั้งแต่ในตอนที่เขาเป็นนักกิจกรรมสมัยมหาวิทยาลัย และเขาก็พยายามทำซ้ำๆ แม้ว่าเขาจะเริ่มทำอะไรที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งแปลว่ามันเสี่ยงขึ้น แต่เขาก็ยังคงทำมันต่อไป
ฉันรู้สึกว่า แม้ว่าเขาจะยังใหม่ในการเป็นนักการเมือง แต่เขาเป็นนักสู้มาตลอดตั้งแต่หลายปี และสม่ำเสมอในการสู่เพื่อประชาธิปไตย และความไม่ยุติธรรม
ในตอนนั้นที่โรมโดนจับ คุณได้เดินทางมาที่ไทยด้วย คุณสนับสนุนเขาอย่างไรบ้างในตอนนั้น
เวลาที่คนมีรักระยะไกล คงมีภาพที่คนรักไปรับที่สนามบิน มีอะไรที่โรแมนติก แต่จินตนาการดู ฉันมาถึงแล้วต้องมาที่สถานีตำรวจ แต่ก็ไม่เป็นไร วิธีที่ฉันพยายามจะสนับสนุนเขาคือพยายามอยู่กับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันพยายามทำให้เขารู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ เพื่อสนับสนุนเขาทั้งในเวลาที่ดี และแย่ และฉันพยายามทำแคมเปญในระดับนานาชาติเพื่อให้เรียกร้องให้มีการปล่อยนักโทษทางการเมือง
จากนักกิจกรรม สู่นักการเมือง คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา ในการมาเป็น ส.ส. และนักการเมือง
ฉันเคารพการตัดสินใจของโรมในการเป็นนักการเมือง และเพราะพรรคที่เขาเข้าร่วมในเวลานั้น เป็นพรรคการเมืองใหม่ (อนาคตใหม่) มันเลยเป็นพรรคที่สะอาด และเคลียร์ว่าไม่เคยมีปัญหากับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งฉันรู้จักพวกเขาบางคน ซึ่งได้เห็นว่าพวกเขามีหลักการที่ดี และฉันรู้สึกว่าพรรคนี้เป็นพรรคที่หัวก้าวหน้ามากที่สุด ฉันก็เลยสนับสนุนเขาให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพรรคนี้ และเป็นการเมือง ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ชีวิตคุณเปลี่ยนไปหรือไม่ หลังจากที่โรมมาเป็นนักการเมือง
มันเปลี่ยนไป แต่ฉันสามารถพูดได้ว่า คาแรคเตอร์ และบุคลิกของโรมไม่เคยเปลี่ยนไป ตั้งแต่ที่เขายังเป็นนักกิจกรรมสมัยนักศึกษา ที่ไม่ได้มีคนรู้จักเขาเยอะ จนถึงตอนนี้ที่คนรู้จักเขาเยอะขึ้น อาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ฉันบอกได้เลยว่าเขายังคงเป็นคนเดิม ที่ติดดินมากๆ เขาสามารถพูดคุยได้กับทุกคน และเขาปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา โรมได้เปิดประเด็นที่เสี่ยงขนาดที่เขาพูดว่า อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเขา รวมถึงปีที่แล้วเองก็มีแฮชแท็ก #saveโรม ด้วย ในฐานะแฟน คุณคิดอย่างไร
ใช่ มันเสี่ยง และตั๋วช้างก็เป็นประเด็นที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยพูดในชีวิต เรารู้ก่อนที่เราตัดสินใจจะพูดถึงมัน เรารู้ผลของมัน รู้ถึงความเสี่ยง แต่เราก็ตัดสินใจที่จะพูดถึงมัน เพราะว่าเราหวังว่าการกระทำนี้ แม้ว่าจะนำความเสี่ยงมาสู่ชีวิตเรา แต่เราเชื่อว่ามันคุ้มค่าสำหรับคนไทย
สำหรับแฮชแท็ก ฉันรู้สึกกังวลก็จริง แต่ฉันดีใจที่แฮชแท็กนี้ติดเทรนด์ มันหมายความว่า หลายๆ คนจับตาเขาอยู่ เป็นห่วงความปลอดภัยชองเขา แคร์เขา ฉันประทับใจการสนับสนุนที่เป็นหนึ่งเดียวนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน ฉันก็รู้สึกเสียใจ เพราะว่าฉันรู้ว่าความเสี่ยงของการต่อสู้เพื่อความไม่ยุติธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับโรม แต่ยังเกิดกับคนอื่นๆ ข้างนอกที่สู้เพื่อสิทธิ แต่เขาไม่ได้อยู่สปอตไลท์ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเดียวกัน ฉันหวังว่า เราจะรับรู้ และตระหนักกันมากขึ้นถึงคนที่ยังเผชิญอันตรายเพราะสู้เพื่อความไม่เป็นธรรม เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวแค่กับโรม แต่คนอื่นๆ ด้วย
ทุกวันนี้คุณสนับสนุนโรมอย่างไรบ้าง
ฉันพยายามจะสนับสนุนเขาในหลายๆ ทางที่ฉันสามารถทำได้ เราทั้งคู่สนับสนุนกันทางใจ ในทางที่เราไม่ต้องการเป็นอุปสรรคของกันและกัน เราสนับสนุนกันและกันในการงาน เราพยายามเข้าใจกันและกัน เช่น ในเวลาที่เขายุ่งมากๆ ฉันพยายามจะไม่บ่นเขา เพราะรู้ว่าเขากำลังทำงานเพื่อประชาชน และนี่คือความรับผิดชอบของเขา และฉันทำให้เขารู้ว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉัน โฟกัสเรื่องงานไปได้เลย และหากเรื่องไหนต้องการมาถกเถียงกัน ฉันจะดีใจมาก เพราะฉันชอบการพูดคุยแบบเปิดอก ไม่ว่าประเด็นของเรื่องคืออะไร บางครั้งเขาถกเถียงกับฉัน ถามความเห็นของฉัน แลกเปลี่ยนมุมมอง และฉันว่านี่คือวิธีที่เราสนับสนุนกันและกัน
บางครั้งฉันก็สนับสนุนเขาโดยการวาดรูป เพราะฉันเป็นศิลปิน นอกจากวิธีเหล่านี้ บางครั้งมันไม่ใช่การสนับสนุนเขาโดยตรง แต่เรามีเป้าหมายที่เหมือนกัน แต่ต่อสู้กันด้วยวิธีที่แตกต่างกัน นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในการสนับสนุนกันและกันด้วย
ไม่เพียงแค่คุณที่สนับสนุนโรม แล้วโรมสนับสนุนงานของคุณอย่างไรบ้าง
เขาสำคัญมากสำหรับฉัน มันมีถ้อยคำแห่งความรักมากมายที่เขาพูดกับฉัน เมื่อเขาได้เห็นงานของฉัน และเขาชื่นชม เช่นการบอกว่า นี่มันสวยมาก คุณสร้างสรรค์มาก และมันเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับฉันมากขึ้น และนี่เป็นเรื่องสำคัญแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ และส่วนนึง แม้ว่าโรมจะยุ่งมากๆ แต่เขาก็่ห่วงใยฉันมากๆ หากเขารู้ข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันสนใจ ศิลปะ เฟมินิสต์ เรื่องเพศ เขามักจะส่งมาว่า มีงานสัมนานี้ มีค่ายนี้ การแสดงนี้ หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ ว่า ที่ห้างนี้มีวางขายงานศิลปะนี้ อยากจะไปไหม ซึ่งฉันประทับใจมาก เพราะเขาแคร์ฉัน แม้ว่าจะยุ่งมากๆ เขาพยายามทำดีที่สุด นั่นคือวิธีที่เขาสนับสนุนฉัน
อะไรคือเรื่องราวที่หนัก และยากที่สุดที่คุณกับโรมเคยผ่านมาด้วยกัน
มันมีช่วงเวลาหนักๆ มากมาย แต่ใครจะไปรู้ ช่วงที่หนักที่สุดก็อาจจะยังไม่มาถึง แต่เราทำได้แค่เตรียมพร้อม และเข้มแข็ง และฉันคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือ การคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในอนาคต เพราะมันมีสิ่งที่เตรียมตัวได้ยาก แต่เรามีความหวังว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง และทำมันต่อไป
งานแต่งงานของคุณกับโรมกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ (13 มีนาคม) คุณเตรียมงานกันไปอย่างไรบ้าง
มันกำลังจะมาถึงในไม่กี่วัน ฉันหวังว่าจะไม่ต้องเลื่อนงานแต่งอีกแล้ว การเตรียมการเป็นไปได้ด้วยดี แต่ฉันก็รู้สึกมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ฉันรู้จักที่เคยเตรียมงานแต่ง ซึ่งในชีวิตพวกเขา ช่วง 1 เดือนก่อนงานแต่ง พวกเขาจะโฟกัสเกี่ยวกับการเตรียมงาน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่เพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และในเวลาเดียวกันโรมก็ต้องโฟกัสเรื่องของรัฐธรรมนูญ มีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ทั้งเราเองก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นหลังพูดถึงเรื่องตั๋วช้าง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถโฟกัสกับแค่งานแต่งงาน แต่ฉันก็ไม่อยากคิดว่ามันเป็นปัญหา ฉันแค่พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ เราเตรียมงานแต่ง แต่เราก็มีความรับผิดชอบ
คุณเองก็เป็นนักกิจกรรมที่อินโดนีเซียเช่นกัน ประเด็นไหนที่อยู่ในความสนใจของคุณบ้าง
ส่วนใหญ่คือประเด็นของสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ สิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน เด็ก ฉันคิดว่ามันค่อนข้างเยอะเพราะเวลาเราพูดถึงสิทธิมนุษยชน มันมีหลายชั้นของปัญหา เช่นเรื่องสิทธิของแรงงาน มันก็เกี่ยวกับชาวนา ซึ่งหากเราพูดประเด็นนี้ มันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราเลยตั้งสนใจเกือบทุกอย่าง แต่โดยพื้นฐานคือเรื่องของสิทธิมนุษยชน และมันเกี่ยวข้องว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ เพื่อจะมีชีวิต
ประเด็นเรื่องผู้หญิง และเฟมินิสต์เองก็เป็นหนึ่งในความสนใจของคุณ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิทธิสตรีในอินโดนีเซีย และในอาเซียน
มันเป็นประเด็นที่ใหญ่มาก แต่ฉันคิดว่าฉันสามารถยกตัวอย่างปัญหาที่ผู้หญิงในอินโดนีเซีย ซึ่งปัญหาใหญ่ในประเทศของเราคือเรามีปัญหาในเชิงโครงสร้าง และระบบ ที่ไม่ได้มาแค่จากรัฐ แต่จากรัฐไปสู่ครอบครัว ในทุกชนชั้นมีปัญหา ฉันจะพูดถึงปัญหาเรื่องการงาน เช่น โอกาสของความเท่าเทียมในการเข้าถึงงาน เช่นเวลาผู้หญิงท้อง เธอไม่สามารถที่จะทำงานได้อีก หรืออย่างเงินเดือนที่ไม่เท่าเทียม หรือเรื่องสิทธิเมื่อพวกเขาสามารถลาหยุด เมื่อมีประจำเดือน
รวมถึงยังมีเรื่องของวัฒนธรรม เช่น การบังคับให้แต่งงาน และยังมีเรื่องของความรุนแรงทางเพศอีกมากมาย ฉันคิดว่ามันไม่มีการตระหนักถึงกรณีเหล่านี้อย่างจริงจัง และมันก็เพิ่มมากขึ้น ฉันคิดว่ามากกว่านั้น ถ้าเราพูดถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉันว่าผู้หญิงควรจะสามารถรู้สึกปลอดภัย และเลือกสิ่งที่พวกเธอต้องการในชีวิต หรือร่างกาย
ในฐานะศิลปินทางการเมือง คุณใช้การวาดภาพขับเคลื่อนงานของคุณอย่างไร
ฉันพยายามจะใส่ข้อความลงไปในงาน เพราะฉันเชื่อว่าบางครั้งข้อความถ่ายทอดสิ่งที่วิชวลทำไม่ได้ แต่บางครั้งวิชวลก็ถ่ายทอดสิ่งที่ข้อความทำไม่ได้เช่นกัน ในบางประเด็น นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ และมันดีที่ทุกวันนี้เราสามารถใช้โซเชียลมีเดียซึ่งสามารถเข้าถึงผู้คนข้างนอกให้สนใจประเด็นเหล่านี้มากขึ้น และสิ่งที่ฉันเชื่อว่ามันสำคัญ ต้องกังวลที่จะพูดถึง
คุณเองก็เข้าร่วมการชุมนุมในไทยหลายครั้ง ในฐานะประชากรอาเซียน คุณมอง และคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย
ฉันค่อนข้างแปลกใจ เพราะว่าฉันมาอยู่ที่ไทยประมาณ 2 ปีครึ่ง ฉันสามารถบอกได้ว่าครั้งแรกที่ฉันมาถึง บรรยากาศของการเคลื่อนไหวมันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ปีที่แล้ว เป็นอะไรที่บ้ามากๆ และฉันเป็นเหมือนพยานในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของไทย ฉันคิดว่าคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รู้แจ้งขึ้นมา และกล้าหาญมากๆ
รวมถึงยังมีความคิดสร้างสรรค์ วิธีที่คนรุ่นใหม่สู้ก็แตกต่างจากคนรุ่นก่อน พวกเขาใช้วิธีสร้างสรรค์ เราเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงว่าพวกเขาต้องการอะไร เช่น เป็ดยางในการปกป้อง ที่ดูซอฟต์มากๆ แต่ประทับใจใครหลายๆ คน ฉันสามารถพูดได้ว่าการประท้วงโดยสันติไม่ใช่แค่ประทับใจฉัน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอินโดนีเซีย พวกเราพูดถึงมันมากๆ พวกเขาประทับใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในไทย มันเป็นแรงบันดาลใจมาก ฉันหวังว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวต่อไป
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมายาวนาน รวมถึงการเอาทหารออกจากการเมืองด้วย คุณสามารถเล่าถึงการเมือง และการต่อสู้ในประเทศของคุณให้เราฟังได้ไหม
ระบอบทหารเริ่มจากการยึดอำนาจในปี 1965 และมันใช้เวลากว่า 32 ปีอยู่ในระบอบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีการรัฐประหารต่อ และมีการเลือกตั้ง แต่มันก็คล้ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในไทย ในอินโดนีเซีย เวลามีการเลือกตั้ง มันมีอำนาจและอิทธิพลของทหารที่มาตั้งแต่การยึดอำนาจ พวกเขาสามารถใช้อำนาจนั้น และประชาชนก็ทนทุกข์ทรมานภายใต้ระบอบทหาร เราสูญเสียคนไปจำนวนมาก จากการทำให้สูญหาย การฆ่า และมันย่ำแย่มาก จนกระทั่งคนรุ่นใหม่เริ่มโกรธ และคิดว่าต้องทำให้คนในตำแหน่ง หรือซูฮาร์โตลงมาจากอำนาจ
แต่ฉันสามารถพูดได้ว่า แม้ว่าเราจะทำให้ซูฮาร์โตลงจากตำแหน่งแล้ว แต่ว่าไม่ได้แปลว่าระบบนั้นล่มลงด้วย และฉันพูดได้ว่า แม้ว่าตอนนี้ ประธานาธิบดีจะไม่ใช่ทหาร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าระบบของเขาไม่มีความเป็นทหาร
เราคาดหวังการรับผิดชอบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนในช่วงระบบทหาร แต่กลายเป็นว่าหลายๆ กลับยังคงอยู่ในตำแหน่งด้วยซ้ำ ในฐานะชาวอินโดนีเซีย ฉันรู้สึกว่ารัฐบาลอินโดนีเซียกำลังสร้างราชวงศ์ทางการเมือง (Political Dynasty) หรือการสืบทอดทางการเมืองโดยครอบครัว และเราไม่มีพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่อันตราย คนที่เคยเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็กลายมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ทำให้เราไม่มีสมดุลในการถ่วงดุลอำนาจ และจริงๆ เราควรมีฝ่ายค้าน หรือฝ่านตรงข้าม ไม่ใช่เพราะว่าต่อต้านรัฐบาล แต่เพื่อถ่วงดุล และตรวจสอบรัฐบาล ตอนนี้มีคนกลุ่มน้อย ที่มีอำนาจมากๆ และพวกเขาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ร่ำรวยในอินโดนีเซีย เพื่อประโยชน์ของพวกเขา ซึ่งกระทบกับคนจำนวนมาก
ทั้งอาจจะเห็นว่าในการเมืองอินโดนีเซีย เริ่มมีคนรุ่นใหม่เข้าไป แต่ก็เรียกได้ว่าแตกต่างจากไทย เพราะส่วนใหญ่หลายๆ คนก็เป็นลูกหลานของนักการเมือง ของคนชนชั้นนำ ที่จะเข้าไปสืบทอดอำนาจด้วย
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การบังคับคนให้สูญหาย การใช้ความรุนแรง ที่พวกเขาไม่เคยมีการจัดการ ไปถึงการจัดการกับนักเคลื่อนไหว นักโทษทางการเมือง ยังมีปัญหาอีกมากมาย ซึ่งแม้ว่าอินโดนีเซียจะดูเหมือนเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในทางปฏิบัติ มันก็ยังไม่ใช่ ผู้คนยังหวาดกลัวที่จะพูด ยังกลัวกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ อาจพูดได้ว่า ในบางมุม อินโดนีเซียกับไทย ก็ยังเผชิญปัญหาที่คล้ายๆ กัน
ประเทศไทยจะเรียนรู้อะไรได้จากอินโดนีเซียบ้าง
ฉันรู้สึกว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่การโค่นล้มระบอบทหาร ไม่ใช่แค่การหยุดการรัฐประหาร แต่มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด จริงๆ สถานการณ์และเงื่อนไขในแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน มันไม่ได้มีเรื่องเฉพาะเจาะจงที่ฉันสามารถเปรียบเทียบได้ ระหว่างอินโดนีเซียกับไทย
แต่ฉันสามารถพูดได้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันไม่ควรหยุด และผู้คนจะต้องเข้มแข็ง ทำสิ่งนี้ต่อไปจนกระทั่งพวกเรามีประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่ใช่แค่ไทย และอินโดนีเซีย ตอนนี้เรายังมีพม่าที่ต่อสู้กับเผด็จการ อาเซียนเราจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่วมกันไปได้อย่างไร
ฉันเชื่อว่าผู้คนต้องเชื่อมต่อกันและกัน เราไม่ควรโฟกัสกับแค่ประเทศของเรา บางครั้งเราอาจจะคิดว่า ปัญหาในประเทศเรายิ่งใหญ่มาก จนเราไม่สามารถสนใจปัญหาประเทศอื่นได้ แต่ฉันคิดว่าเราควรจะรู้ว่าทุกๆ ประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เรามีปัญหาคล้ายคลึงกัน และมันเป็นเรื่องดีที่รู้ว่า เราเชื่อมต่อกันเสมอ
เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกัน มันแปลว่าเราจะมีพลังมากขึ้น และเราสามารถทำให้รัฐบาลของเรารู้ว่า ประเทศอื่นๆ จับตามองอยู่ มันไม่ใช่แค่เรื่องของชาติใดชาตินึง แต่เป็นเรื่องของมนุษยธรรมด้วย