วันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา เกิดเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในเมืองพาฮัลแกม ในแคชเมียร์ หรือดินแดนพิพาทระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 26 คน อินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับประกาศระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุที่มีร่วมกันทันที ส่งผลให้ชนวนความบาดหมางทวีความรุนแรงขึ้น
แต่ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ดังกล่าว ความขัดแย้งอันร้าวฉานระหว่างอินเดียและปากีสถาน ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1947 หรือช่วงเวลาที่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ และอนุทวีปอินเดียถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ ได้แก่ อินเดียและปากีสถาน
อย่างไรก็ตาม การแบ่งแยกดังกล่าวถือเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 เดือน ก็เกิดสงครามครั้งแรกระหว่างอินเดียและปากีสถาน ที่ความขัดแย้งปกคลุมมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะเหตุใดการปะทะกันยังไม่มีท่าทีที่จะสิ้นสุดลง? The MATTER ขอพาทุกคนไปหาสาเหตุพร้อมๆ กัน
เอกราชที่มาพร้อมกับความไม่ลงรอยเรื่อง ‘เส้นพรมแดน’

พิธีราชาภิเษกของจอร์จที่ 5 ในอินเดีย ปี 1911 cr.Wikimedia Commons
ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากการเป็นเจ้าอาณานิคม อินเดียในสมัยนั้นมีประชากรเกือบ 400 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ขณะที่ประชากรราว 1 ใน 4 นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น อังกฤษจึงใช้ ‘เกณฑ์ศาสนา’ ในการแบ่งอินเดียเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นประเทศอินเดียสำหรับผู้นับถือศาสนาฮินดู อีกส่วนเป็นประเทศปากีสถานสำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ทั้งนี้ ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ไม่เห็นด้วยในการแบ่งแยกประเทศด้วยประเด็นศาสนา ขณะที่ มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ (Mohammed Ali Jinnah) ข้าหลวงใหญ่คนแรกของปากีสถาน เห็นด้วยกับเกณฑ์ดังกล่าว เพราะมองว่าชาวมุสลิมต้องมีชาติของตัวเอง
อย่างไรก็ดี อังกฤษดำเนินเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามเดิม นั้นก็คือ การแบ่งประเทศและมอบเอกราชไปพร้อมๆ กัน ส่งผลให้วันที่ 14 สิงหาคม 1947 อินเดียได้รับเอกราช และหนึ่งวันหลังจากนั้นปากีสถานก็ได้รับเอกราช

(จากซ้าย) Jawa Harlal Nehru, Lord Ismay, Lord Mountbatten และ Muhammad Ali Jinnah ระหว่างการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ในเดลี ที่ผู้นําของทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการแบ่งอินเดียตามแผนของอังกฤษ cr.AP Photo/Max Desfor
ทว่า 2 วันต่อมาความขมุกขมัวเกิดขึ้นท่ามกลางสองฝ่าย เนื่องจากเกิดความไม่พอใจต่อ ‘เส้นพรมแดน’ จนนำไปสู่จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งอันยืดเยื้อในภูมิภาคเอเชียใต้
‘แคชเมียร์’ จุดตั้งต้นความบาดหมาง อินเดีย-ปากีสถาน
เดือนตุลาคม ปี 1947 หรือในปีเดียวกับที่ทั้งสองประเทศได้รับอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ได้เกิดสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานขึ้นครั้งแรก สืบเนื่องจากข้อพิพาทแคว้นแคชเมียร์ (Kashmir) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทั้งสองประเทศ
เวลานั้นแคว้นดังกล่าวยังถูกปกครองโดยมหาราชา ผู้นับถือศาสนาฮินดู ที่ต้องการเอกราชและปกครองตัวเอง ทว่าประชาชนที่อยู่ในแคชเมียร์ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ซึ่งต้องการเป็นส่วนหนึ่งกับปากีสถาน
ฉะนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเป็นข้อพิพาท และนำไปสู่สงครามครั้งแรก ทั้งนี้ในห้วงเวลานั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งยุติลงได้เพียง 2 ปี ส่งผลให้องค์การสหประชาชาติ (UN) เข้ามาเป็นคนกลาง จนแคชเมียร์ถูกแบ่งให้อินเดียคุม 2 ใน 3 ขณะที่ปากีสถานคุมส่วนที่เหลือ ด้วยการขีดเส้นแบ่งเขตหยุดยิง (line of control)

ภูมิศาสตร์การเมืองในดินแดนแคชเมียร์ cr.IGES
แต่ทั้งสองชาติต่างย้ำอำนาจอธิปไตยของตนเอง เหนือแคว้นแคชเมียร์ ทำให้ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดสงครามและการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน เช่น เมื่อเข้าสู่ต้นทศวรรษ 1970 อินเดียสนับสนุนความพยายามของปากีสถานตะวันออก ที่ต้องการแยกตัวเป็นเอกราช ด้วยการโจมตีปากีสถานทางอากาศ แต่สงครามก็ยุติลงด้วยการเกิดขึ้นของประเทศบังกลาเทศ
พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ปากีสถานได้ทำการรุกคืบโจมตีอินเดียอย่างหนักบ่อยครั้ง เช่น ปี 2001 ปากีสถานโจมตีรัฐสภาอินเดียที่ตั้งอยู่ในแคชเมียร์ จนมีผู้เสียชีวิต 38 คน และยังโจมตีรัฐสภาอินเดียในกรุงนิวเดลีในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 14 คน
อย่างไรก็ตาม การโจมตีที่สร้างความเสียหายให้กับอินเดียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2008 เมื่อเกิดการโจมตีขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง อาทิ สถานีรถไฟหลักในนครมุมไบ โรงแรมและศูนย์วัฒนธรรมชาวยิว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 166 คน โดยอินเดียได้ทำการกล่าวหาว่า กลุ่มลัชการ์-อี-ไทบา (Lashkar-e-Taiba) ในปากีสถานเป็นผู้ก่อเหตุ

เหตุการณ์การประท้วงตำรวจอินเดีย หลังนักศึกษาชาวปากีสถานถูกฆาตกรรม ในปี 1991 Photo by HABIB NAQASH / AFP
ตลอดที่ผ่านมา ปัญหาความรุนแรงและการก่อการร้ายข้ามพรมแดน ถือเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีมุมมองต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นแตกต่างกันออกไป
ทางฝ่ายอินเดียมองว่า ปากีสถานเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายต่างๆ เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของอินเดีย ในขณะที่ปากีสถานออกมาโต้แย้งต่อข้อกล่าวหาดังกล่าวของอินเดีย โดยระบุว่าปากีสถานเองก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการก่อการร้ายและความขัดแย้งเช่นเดียวกัน
ทำไม ‘แคชเมียร์’ ถึงสำคัญ?

ดินแดนแคชเมียร์
หากลองดูในแผนที่จะพบว่า แคชเมียร์เป็นดินแดนที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ และที่สำคัญบริเวณนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของแม่น้ำสายหลักของลุ่มน้ำสินธุ เจลัม และเชนับ ที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัยในแคชเมียร์จากฟากอินเดียไปสู่ปากีสถาน
ดังนั้น การควบคุมแคชเมียร์จึงหมายถึงการควบคุมเส้นทางน้ำ ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตบริเวณนั้น
สถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบัน
หลังจากเกิดเหตุกราดยิงในแคชเมียร์ส่วนที่อินเดียปกครอง คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวไป 26 คน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา กลุ่ม The Resistance Front (TRF) ออกมาแสดงความรับผิดชอบ พร้อมกับระบุแรงจูงใจว่า เกิดจากความไม่พอใจต่อการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แคชเมียร์ของคนนอก ทั้งนี้ อินเดียคาดการณ์ว่ากลุ่มติดอาวุธดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน
ส่งผลให้อินเดียตอบโต้ด้วยการประกาศระงับ ‘สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ (Indus Waters Treaty) ที่ลงนามร่วมกันในปี 1960 ซึ่งการกระทำดังกล่าว ทำให้ปากีสถานตกที่นั่งลำบาก เพราะแม่น้ำสินธุและแม่น้ำสาขาย่อยอีกมากมาย ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อภาคเกษตรกรรมและพลังงานของปากีสถาน ฉะนั้นปากีสถานจึงมองว่า สิ่งที่อินเดียทำเป็นการจุดชนวนสงครามอีกครั้ง

ประชาชนประท้วง พร้อมกับเผารูปภาพของนาเรนดรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Photo by Rizwan TABASSUM / AFP
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ทั่วโลกกังวลมากที่สุดท่ามกลางความขัดแย้งนี้คือ ทั้ง 2 ชาติ ต่างก็ครอบครองนิวเคลียร์ และในขณะนี้ทั้งอินเดียและปากีสถาน ยังหาทางออกร่วมกันในเรื่องนี้ยังไม่ได้
นับตั้งแต่การแบ่งประเทศในปี 1947 มีผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 12 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ล้านคน (ไม่นับรวมความสูญเสียหลังจากปีดังกล่าว) และที่สำคัญกว่านั้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน ไม่มีวี่แววที่จะดีขึ้นสืบเนื่องจากการแย่งชิงแคชเมียร์ ที่ถือเป็นความขัดแย้งที่ยังหาทางออกไม่ได้จวบจนปัจจุปัน
อ้างอิงจาก