เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือในวันนี้ สิ่งที่แปลกตาไปหากเทียบกับวันวาน ก็คือขนาดของ ‘แผงขายนิตยสาร’ ที่หดแคบลงทุกขณะ จนบางร้านถึงขนาดไม่มีแผงที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสอดรับกับประโยคที่พูดกันมานานเรื่อง “สิ่งพิมพ์กำลังจะตาย” โดยนิตยสารอาจจะเป็นสิ่งพิมพ์ที่ตายไปก่อนเพื่อน หากเทียบกับสิ่งพิมพ์อื่นๆ
ก็ขนาด ‘คู่สร้างคู่สม’ นิตยสารที่ยอมรับกันว่า ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งติดต่อกันมาหลายปียังต้องปิดตัวลง เพราะเหนื่อยล้าที่จะสู้กับโลกออนไลน์ ยิ่งช่วยพิสูจน์ความหนักหนาสาหัสของธุรกิจนี้ในโลกปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
และแม้จะมีนิตยสารจำนวนหนึ่งเลือก ‘ไม่ไปต่อ’ เช่นเดียวกับ คส.คส. แต่ก็มีบางหัวเลือกที่จะกัดฟัน ‘สู้ต่อไป’ ในสนามที่หดแคบลง และโจทย์ก็ทวีความยากขึ้นทุกขณะ The MATTER อยากรู้เหตุผลของทั้ง 2 ฝ่าย จึงไปพูดคุยกับบรรณาธิการ (และอดีตบรรณาธิการ) ของนิตยสาร รวม 5 ฉบับ เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ และความเป็นไปของวงการสิ่งพิมพ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเฉิดฉายอยู่บนแผงหนังสือ แต่มาวันนี้กลับต้องอัสดงตามกาละเวลา และความเป็นไปของยุคสมัย
“มันไม่มีใครสนใจสื่อที่ช้าขนาดนั้นแล้ว”
แม้ The Hollywood Reporter Thailand (THRT) จะเป็นนิตยสารที่มีอายุเพียงปีเศษ แต่สำหรับตัวอดีตบรรณาธิการบริหารที่ชื่อ ‘จักรพันธุ์ ขวัญมงคล’ กลับโลดแล่นอยู่ในวงการแม็กกาซีนมาหลายสิบปี ทั้งในฐานะนักเขียนและบรรณาธิการนิตยสาร Hamburger และอดีตบรรณาธิการบทความนิตยสาร GM ทำให้รับรู้ถึงความเป็นไปในวงการนี้เป็นอย่างดี
เขายอมรับว่า เหตุแห่งการปิดตัวของ THRT ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพยนตร์ต่างๆ มาจากตัวเองล้วนๆ ไม่ได้เป็นเพราะเพจรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ที่มีขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ด “เหตุผลที่เราปิดเป็นเรื่องทางธุรกิจ เป็นเพราะผลประกอบการซะมากกว่า”
“ผมว่าปี 2560 มันเป็น milestone ที่ชัดเจนว่า ธุรกิจสิ่งพิมพ์มันมาถึงขาลงโดยสมบูรณ์ ด้วยหน้าที่เดิมของนิตยสารส่วนใหญ่คือการอัพเดทข่าวคราวว่าในเดือนหรือปักษ์นี้ๆ มีอะไรใหม่เกิดขึ้นบ้าง แต่ปัจจุบันมันไม่มีใครสนใจสื่อที่ช้าขนาดนั้นแล้ว เพราะเกิดอะไรใช้โซเชียลมีเดียหา แค่ 5 นาทีก็รู้แล้ว
“ที่คนบอกว่า เสน่ห์ของนิตยสารคือการได้สัมผัสกระดาษ มันก็พูดจากคนที่เคยอ่านหนังสือไง แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่โตมาพร้อมกับการอ่านจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลต เขาจะรู้สึกแบบนั้นเหรอ มันพูดยาก แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าเป็นหนังสือเล่มก็น่าจะยังอยู่ได้ เพราะการจะอ่านอะไรยาวๆ หนังสือเล่มมันสะดวกและตอบโจทย์มากกว่า”
จักรพันธุ์ยังเชื่อว่า ปี 2561 จะยังมีนิตยสารอีกหลายฉบับที่ต้องปิดตัวลง “เพียงแต่มันจะไม่เซอร์ไพรส์แล้ว เพราะขนาดคู่สร้างคู่สมยังปิดตัวเลย”
“ใครจะยอมเสียเงินกับสิ่งที่หาเสพได้ฟรี”
หลายคนมองว่า หนึ่งในประเภทของนิตยสารที่จะเผชิญวิกฤตที่สุด ก็คือนิตยสารที่มีเนื้อหาแนวแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และความงาม เพราะเป็นเนื้อหาที่ผู้เสพสามารถหาอ่านได้จากออนไลน์แบบ ‘ฟรีๆ’ แล้วเหตุใดถึงต้อง ‘เสียเงิน’ เป็นร้อย เพื่อซื้อมาเสพเนื้อหาที่ช้ากว่าอีก
Seventeen Thailand นิตยสารแนวแฟชั่นก็ได้รับรับผลกระทบนั้นๆ จนต้องปิดตัวลงปลายปี 2559 หลังวางขายบนแผงมา 14 ปีเต็มๆ
‘นริศรา ศรีจันทราพันธุ์’ อดีตบรรณาธิการด้านความงามของนิตยสารดังกล่าว ยอมรับว่า นิตยสารที่เสนอเนื้อหาซึ่งหาอ่านจากเน็ตได้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก “เพราะใครจะยอมเสียเงินกับสิ่งที่สามารถหาเสพได้ฟรีล่ะ”
แต่เธอก็ยังเชื่อว่านิตยสารบางส่วนจะไม่หายไปจากแผง หากนำเสนอเนื้อหาที่มันเอ็กซ์คลูซีฟ หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้อีก เช่น นิตยสาร Hello! ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับราชวงศ์ต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ว่าบล็อกเกอร์ทั่วจะไปสามารถหามาเขียนได้ ไม่รวมถึงข้อจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ที่คงจะไม่สามารถอ่านสิ่งต่างๆ จากออนไลน์ตลอดไปได้ ถึงเวลาหนึ่งก็อาจจะต้องมาอ่านจากกระดาษ
“เป็นไปไม่ได้ที่นิตยสารจะหายไปจากแผงทั้งหมด เพราะหลายๆ ฉบับก็ปรับตัว บางฉบับก็มีเนื้อหาที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้อีก นิตยสารมันก็ยังอยู่ได้ เพียงแต่กำไรอาจไม่ได้มากเท่ากับช่วงเฟื่องฟูเท่านั้นเอง“
“ต้องเปลี่ยน แต่อย่าเปลี่ยน จนเสียคาแร็กเตอร์”
ถึงวันนี้นิตยสารภาพยนตร์อย่าง Bioscope หรือที่แฟนๆ เรียกในชื่อย่อว่า ไบโอฯ ยืนหยัดอยู่บนแผงมากว่า 17 ปีแล้ว แม้จะเพิ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ ทั้งการไปอยู่ภายใต้เครือ MONO และการเปลี่ยนตัวบรรณาธิการ
‘ธีพิสิฐ มหานีรานนท์’ บก.คนปัจจุบัน มองว่า เพื่อให้อยู่รอดได้ Bioscope ต้องปรับตัวอยู่พอสมควร โดยหันไปจริงจังกับออนไลน์มากขึ้น และเปลี่ยนความถี่ในการวางแผงจากรายเดือนมาเป็นราย 2 เดือน
“แต่ถึงจะปรับยังไง เราก็ยังต้องคงตัวตนของเราไว้ เพราะถ้าเราเปลี่ยนเพื่อจะเอาใจคนมากเกินไป มันจะกลายเป็นว่า เราไม่มีจุดยืนหรือคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ตกลงเราเป็นใครกันแน่ พอเราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แทนที่จะเป็นผลดี มันจะกลายเป็นผลเสีย ลูกค้าที่จะมาลงโฆษณาก็ลังเลว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร
“เสน่ห์อย่างหนึ่งของ Bioscope คือเป็นนิตยสารที่เหมือนคนเขียนคุยกับคนอ่านผ่านตัวหนังสือ เป็นลักษณะเหมือนกับการเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนซึ่งรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ชนิดลึกๆ อย่างที่เราอาจไม่รู้ ด้วยท่าทีทีว่า อันนี้เจ๋ง น่าสนใจ ลองทำแบบนี้ดูสิ นี่คือสิ่งที่ Bioscope มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งเราก็จะพยายามรักษาเอาไว้”
เมื่อถามว่าอะไรถึงเหตุผลที่ยังทำนิตยสารต่อไป ทั้งที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นขาลง ธีพิสิฐตอบว่า นิตยสารยังมีจุดเด่นที่ออนไลน์เข้ามาแทนไม่ได้ ทั้งการได้หยิบจับอย่างเป็นรูปธรรม หรือการวางเลย์เอ๊าท์ที่ถือเป็นงานศิลปะแบบหนึ่ง ที่สำคัญ ส่วนตัวผูกพันกับสื่อกระดาษประเภทนี้
“ทำให้คนรู้สึกอยากซื้อไปเก็บ ไปสะสม”
ทั้งที่ถูกใครหลายคนมองว่า ผลิตงานที่ ‘เฉพาะกลุ่ม’ หรือ niche มาตั้งแต่แรก คืองานเขียนประเภทสารคดี มีเนื้อหายาวๆ ให้อ่านจนเต็มอิ่ม ซึ่งอาจไม่ถูกจริตคนส่วนใหญ่มากนัก แต่นิตยสาร สารคดี กลับยืนหยัดวางขายบนแผงมาได้ถึง 32 ปีแล้ว
แต่แม้จะ niche อยู่แล้ว แต่ ‘สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ’ บรรณาธิการบริหาร ก็มองว่า สารคดีอาจจะยัง niche ไม่พอสำหรับโลกยุคปัจจุบัน จึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้สอดคล้องกับยุคสมัย ทั้ง ‘ลดความยาว’ ของงานเขียน เปลี่ยนการออกแบบรูปเล่มให้เป็นการ ‘ดูมากขึ้น – อ่านน้อยลง’ และเพิ่มการ ‘ใช้ภาพถ่าย’ ซึ่งเป็นจุดแข็งของนิตยสารมาตั้งแต่อดีต
“สมัยก่อน สารคดีทำเรื่องยาวๆ ไม่มีใครบ่นนะครับ กลับกัน คนอ่านรู้สึกว่าเนื้อหาไม่พอ อยากอ่านอีก ในยุคแรกๆ เราเลยเขียนแต่เรื่องยาวๆ เจาะลึก ละเอียด มีการค้นคว้า แต่ยุคหลังๆ เหมือนคนไม่อ่านยาวแล้ว เปลี่ยนมาเป็นดูเร็วๆ มากขึ้น แล้วคนก็สนใจเรื่องเฉพาะทาง เฉพาะกลุ่มมากขึ้น
“โลกยุคใหม่มันมีความ niche มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละกลุ่มคนมี influencer ที่ตัวเองสนใจเฉพาะ คนไม่ยึดติดกับสื่อสำนักใดสำนักหนึ่ง นี่คือโจทย์ที่ทุกคนต้องสู้กันต่อไปว่าจะดึงตรงนี้มาสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้อย่างไร”
แต่ในส่วนของสารคดี สุวัฒน์เชื่อว่าหากทำนิตยสารให้สวย โดยเฉพาะการใช้ภาพถ่ายที่สะท้อนเรื่องราวของผู้คน หรือวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งของสารคดี ก็เชื่อว่าจะทำให้อยากซื้อไปเก็บ ไปสะสม เพราะพลังของภาพถ่าย เวลาดูบนจอกับดูบนกระดาษมันไม่เหมือนกัน
“ใช้ฐานคนอ่านเป็นทุนในการก้าวต่อไป”
หลายคนอาจรู้ว่า เครืออะเดย์มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ในปี 2560 เมื่อผู้ก่อตั้ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ และทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง แยกตัวไปตั้ง The Standard หลังเกิดความขัดแย้งเรื่องการซื้อขายหุ้นบริษัท ผู้ที่ขึ้นมารับตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร a day คนใหม่ อย่าง ‘ศิวะภาค เจียรวนาลี’ จึงต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งภายนอก และภายใน
แต่เราขอละวางเรื่องภายในเครืออะเดย์ไว้ก่อน มาถึงการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ยุคสมัย ศิวะภาคเชื่อว่า พฤติกรรมของคนอ่านไม่ได้เปลี่ยนไป สิ่งที่เปลี่ยนคือช่องทางในการอ่าน ที่มันมีเจอสิ่งที่สะดวกสบายมากกว่าหนังสืออย่างสมาร์ทโฟน
“ข้อดีของ a day คือมีฐานคนอ่าน เพราะเราอยู่มานาน คนกลุ่มนี้ก็หลากหลาย ทั้งคนที่ทำงานแล้ว เพิ่งทำงาน หรือยังเรียนอยู่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เอาไปพัฒนาหรือต่อยอดอะไรได้อีกเยอะ เช่น ถ้าเราจะออกแบบเนื้อหารืออีเว้นต์อะไรบางอย่าง เราก็เริ่มจากฐานคนอ่านตรงนี้ได้ ใช้ฐานคนอ่านที่มีอยุ่เดิมในการวิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้วคนเราสนใจเรื่องอะไรบ้าง”
สำหรับ a day เขาบอกว่า ความท้าทายคือจะทำให้ตัวเอง ‘เล็กลง’ เพราะสื่อที่จะอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบัน จะต้อง niche และเฉพาะทางมากขึ้น
ส่วนความอยู่ของนิตยสารในภาพใหญ่ ศิวะภาคมองว่า ในฐานะคนทำก็อยากให้อยู่ต่ออยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับสังคมว่ายังอยากจะให้มีนิตยสารต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านเลย ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครซื้อของคุณซักเล่มเดียวอยู่ดี แต่ทุกวันนี้มันยังมีคนซื้ออยู่ “แต่ถ้าซักวันหนึ่งมันไม่มีคนซื้อเลย มันก็ต้องหายไป ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ”
Written by Nicha Pattanalertpun & Pongpiphat Banchanont
Illustration by Namsai Supavong