รู้หรือไม่? เบื้องหลังภาพเอกซเรย์ที่ช่วยให้หมอวินิจฉัยโรคที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราได้อย่างแม่นยำ มาจากการทำงานของ ‘นักรังสีการแพทย์’ หรือ ‘นักรังสีเทคนิค’ ซึ่งเป็นอาชีพที่ใครหลายคนไม่ค่อยรู้จัก และยังถูกมองข้ามแม้แต่ในระบบสาธารณสุข
นอกจากการถ่ายภาพอวัยวะภายในของผู้ป่วยแล้ว นักรังสีการแพทย์ยังทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากรังสีแก่ผู้ป่วย ดูแลตรวจสอบคุณภาพของภาพรังสี บำรุงรักษาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในทางรังสีเทคนิคให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัย
ด้วยลักษณะงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญแต่การผลิตบุคลากรยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประกอบกับ ‘ค่าตอบแทน’ ที่แตกต่างกันระหว่างโรงพยาบาลเอกชน-รัฐบาล-ต่างจังหวัด ทำให้นักรังสีการแพทย์มักกระจุกตัวอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนหรือรัฐบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพหรือจังหวัดต่างๆ
ถึงกระนั้น มีบางสถานพยาบาลที่ใช้ข้ออ้างนักรังสีการแพทย์ขาดแคลนในการว่าจ้าง ‘ผู้ช่วยนักรังสี’ แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนนักรังสีทุกอย่าง เพื่อลดต้นทุนของสถานพยาบาลนั้นๆ บ้างก็พบ ‘นักรังสีปลอม’ มาทำหน้าที่ควบคุมเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทั้งผู้ป่วยและตัวผู้ปฏิบัติงานเอง เนื่องจากไม่ได้มีความรู้หรือแนวทางในการป้องกันรังสีอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ นักรังสีการแพทย์ยังเป็นหนึ่งในวิชาชีพที่ไม่มี ‘สภาวิชาชีพ’ เยี่ยงแพทยสภา สภาการพยาบาล หรือสภาเภสัชกรรม ซึ่งการมีสภาวิชาชีพนี้อาจเป็นทางออกในการส่งเสริมการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค พร้อมควบคุมมิให้มีใครเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในวิชาชีพเหล่านี้
The MATTER ได้พูดคุยกับ 6 นักรังสีการแพทย์ จากต่างสถานพยาบาลและสังกัดหน่วยงาน ถึงสภาพการทำงานความไม่สมเหตุสมผลของค่าตอบแทน ผลกระทบต่อสุขภาพที่ต้องเผชิญจากการอยู่เวรยาวนาน แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการ หากมีการจัดตั้ง ‘สภารังสีเทคนิค’ คืออะไร?
มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันในบทความนี้
รู้จักอาชีพ ‘นักรังสีการแพทย์’
‘นักรังสีการแพทย์’ หรือ ‘นักรังสีเทคนิค’ เป็นส่วนหนึ่งของสายงานเทคนิคการแพทย์ และสามารถแบ่งสายงานย่อยได้อีก 3 ประเภท ดังนี้
‘รังสีวินิจฉัย (Radiation Diagnostic)’ ทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยโรคโดยใช้เครื่องมือทางรังสีเทคนิค โดยการถ่ายภาพอวัยวะหรือส่วนในร่างกายของผู้ป่วยด้วยรังสีประเภทต่างๆ ตามคำสั่งแพทย์ และทำการอ่านค่าเบื้องต้นส่งผลให้แพทย์เจ้าของไข้ ซึ่งในโรงพยาบาลมักแบ่งการทำงานร่วมกับเครื่องตรวจ 2 ชนิด คือ
- เครื่องตรวจทั่วไป (General Radiography) เช่น เครื่องเอกซเรย์ (X-ray), เครื่องเอกซเรย์แบบพกพา (Portable X-ray)
- การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ (Special Radiography) เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan), เครื่องตรวจด้วยสนามแม่เหล็กแรงสูง (MRI)
ถัดมาคือ ‘นักรังสีรักษา (Radiotherapy)’ ทำหน้าที่ประยุกต์ใช้รังสีเพื่อการรักษาโรคต่างๆ และ ‘เวชศาสตร์นิวเคลียร์ (Nuclear Medicine)’ ที่นำสารเภสัชรังสีมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค
สถานการณ์ความขาดแคลนของนักรังสีการแพทย์
อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยกับ Hfocus เมื่อ 6 เมษายน 2568 ว่า ประเทศไทยมีนักรังสีเทคนิครวมทุกสาขาประมาณ 7,686 ราย ภายใต้การกำกับดูแลของกองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้าน สละ อุบลฉาย นายกสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย มองว่า จำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา เนื่องจากสัดส่วนการดูแลประชาชนของนักรังสีเทคนิคมีเกณฑ์มาตรฐาน คือ 1:8,000 คน แต่สัดส่วนในปัจจุบัน คือ 1:12,000 คน
โดยนักรังสีเทคนิคจำเป็นต้องเรียนจบ ‘สาขาวิชารังสีเทคนิค’ ซึ่งเดิมไม่มีให้เรียนมากนัก แต่ปัจจุบันได้มีการเปิดหลักสูตรในหลายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรวม 12 สถาบัน อย่างไรก็ตาม แต่ละปียังสามารถผลิตนักรังสีเทคนิคได้เพียงกว่า 500 คน และเข้าระบบภาครัฐเพียงร้อยละ 35-40 ขณะที่กรอบอัตรากำลังและค่าตอบแทนน้อยเกินเมื่อเทียบภาระงานที่มีอยู่ ซึ่งนำมาสู่ปัญหาใหญ่ของระบบตอนนี้ คือ ‘การขาดแคลนนักรังสีการแพทย์ในระบบภาครัฐ’
เปรียบเทียบรายได้นักรังสีการแพทย์ สังกัด ‘รัฐบาล-เอกชน-รพช.’
เป็นที่รู้กันดีว่า หนึ่งในปัญหาของบุคลากรทางการแพทย์ในภาครัฐ คือ ค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับภาระงาน ทำให้หลายคนเลือกออกจากระบบแล้วไปเข้าทำงานในโรงพยาบาลเอกชนซึ่งให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า
โดยโรงพยาบาลเอกชนมักตั้งค่าตอบแทนตามกลไกตลาดเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ ขณะที่โรงพยาบาลรัฐมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและระเบียบการจ่ายค่าตอบแทน ทำให้เกิดความไม่สมดุลกับปริมาณงานที่ต้องแบกรับ ส่งผลให้เกิดการไหลออกของบุคลากรไปยังภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง
มินท์ธิตา อายุ 26 ปี นักรังสีวินิจฉัย ทำงานมาแล้วกว่า 3 ปีที่ รพ.ศูนย์ประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีคนในแผนกรังสีเทคนิครวม 10 คน เป็นคนที่จบหลักสูตรรังสีเทคนิค 5 คน และเจ้าพนักงานที่จบหลักสูตรรังสีเทคนิคระยะสั้น (หลักสูตรเก่า ใช้เวลาเรียน 2 ปี) จำนวน 5 คน โดยผู้ที่จบหลักสูตรระยะสั้นจะไม่ได้รับค่าตอบแทนเท่ากับคนที่จบหลักสูตร 4 ปี
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของมินท์ธิตาอยู่ที่ 35,000-40,000 บาท โดยเริ่มต้นจากอัตราจ้างพนักงานกระทรวง 18,000 บาท ค่าเวร 660 บาท/ 8 ชั่วโมง ค่าใบประกอบวิชาชีพ 1,000 บาท และค่าทำงานล่วงเวลาอื่นๆ โดยหนึ่งเดือนมินท์ธิตาต้องเข้าเวรอย่างน้อย 25 เวร
ทั้งนี้ มินท์ธิตามีงานเสริมเป็นการรับงานพาร์ทไทม์ใน รพ.เอกชน ได้เงินเฉลี่ยน 150 บาท/ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าการขึ้นเวรในโรงพยาบาลรัฐ 2 เท่า ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ทำไมเราทำงานที่รพ.รัฐบาลอย่างหนัก แต่ได้เงินเท่านี้ ถ้าอยู่เอกชนเราทำงาน 8 ชั่วโมง มากกว่าเราทำงานรัฐบาล 16 ชั่วโมง ภาระงานก็มากกว่า เลยรู้สึกว่า ค่าตอบแทนที่ได้ยัง ‘น้อย’ หากเทียบกับภาระงานของเรา”
ชมพู (นามสมมติ) อายุ 24 ปี นักรังสีวินิจฉัย ทำงานมาแล้ว 1 ปีครึ่ง ณ รพ.ศูนย์ประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน สังกัดมหาวิทยาลัย มีนักรังสีการแพทย์ทั้งหมด 25 คน เนื่องจากโรงพยาบาลค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษา และหากคำนวณแล้วควรมีนักรังสีการแพทย์ 36 คน
ชมพูมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 38,000-45,000 บาท รวมค่าใบประกอบวิชาชีพ 1,000 บาท และค่าเวรต่างๆ ซึ่งหากเดือนไหนวันหยุดราชการเยอะ เงินเดือนที่ได้ก็เพิ่มขึ้นไปด้วย นอกจากนั้น ชมพูยังรับงานพาร์ทไทม์เสริม คือ ทำงานบริการด้านรังสีการแพทย์ให้กับบริษัทภายนอก (Outsourcing) ด้าน MRI ซึ่งไม่ได้มีทำบ่อยนักเพราะงานใน รพ. ตัวเองก็หนักพออยู่แล้ว
ภัทรภร อายุ 27 ปี นักรังสีวินิจฉัย ทำงานมา 4 ปี ใน รพ.รัฐบาล สังกัดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ มีนักรังสีการแพทย์ทั้งหมด 90 คน เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีเครื่องมือเยอะ โดยรัฐบาลมีนโยบายให้ผู้เข้ามาทำงานในระยะแรกดูแลเครื่องตรวจทั่วไป ก่อนจะค่อยๆ เขยิบไปใช้เครื่องมือการตรวจที่พิเศษขึ้น
รายได้ต่อเดือนของภัทรภรอยู่ที่ 35,000-45,000 บาท รวมค่าใบประกอบวิชาชีพ 1,000 บาท และค่าเวร โดยก่อนหน้านี้ ภัทรภรเคยลองไปรับงานพาร์ทไทม์ข้างนอก แต่พอทำงานไปเรื่อยๆ มีเวรมากขึ้น ก็มีเวลาไปรับงานข้างนอกน้อยลง ปัจจุบันเธอจึงไม่ได้หารายได้พิเศษเพิ่มเติม
เดียร์ อายุ 26 ปี นักรังสีวินิจฉัย กำลังจะเข้าปีที่ 5 ของการทำงาน ในโรงพยาบาลสังกัดสภาการชาดไทย เล่าว่า โรงพยาบาลของเธอมีนักรังสีวินิจฉัยถึง 100 คน ซึ่งมีทั้งคนที่จบหลักสูตร 4 ปี และหลักสูตร 2 ปี (ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่ง Senior) เนื่องจากทำงานมานาน พร้อมมีผู้ช่วยทำหน้าที่แยกจากนักรังสีอีกต่างหาก คือ ช่วยดูแลการจัดท่าหรือเข็นรถคนไข้ ไม่ต้องทำงานกับอุปกรณ์รังสี โดยเธอมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 50,000-60,000 บาท ขึ้นอยู่กับเวรที่ทำในแต่ละเดือน
เคพี (นามสมมติ) อายุ 27 ปี นักรังสีวินิจฉัย ทำงานเกือบ 4 ปี ที่โรงพยาบาลเอกชน สังกัดมหาวิทยาลัย มีนักรังสีเกือบ 60 คน มีเงินเดือนเฉลี่ย 50,000-55,000 บาท รวมค่าใบประกอบวิชาชีพ 6,000 บาท ค่าเวรดึก 520 บาท/วัน และเวรพิเศษอื่นๆ
อภิวัฒน์ อายุ 23 ปี นักรังสีวินิจฉัย คนเดียวในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก (30 เตียง) มีเจ้าพนักงานการแพทย์ 1 คน และพนักงานบริการหรือผู้ช่วย 1 คน รวมทั้งแผนกมี 3 คน ทำให้มีบางครั้งคนที่อยู่เวรไม่ใช่คนที่เรียนจบสาขารังสีเทคนิค เพราะอภิวัฒน์ไม่สามารถอยู่เวรได้แบบ 24/7
ค่าตอบแทนรายเดือนของอภิวัฒน์เริ่มต้นที่ 35,000 บาท ส่วนค่าตอบแทนการเข้า ‘เวรดึก’ แตกต่างจากโรงพยาบาลที่กล่าวมาข้างต้น คือ อภิวัฒน์ต้องเตรียมพร้อมตลอดช่วง 00:00-08:30 น. หากมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาในช่วงเวลานั้น เขาก็จะได้เงิน หากไม่มีก็ไม่ได้เงิน
“มันคือการสแตนด์บายแล้ว เสียเวลา บางครั้งเราก็งงว่าอยู่ทำไม แต่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีคนไข้เยอะกว่านี้ เขาจะการันตีรายได้ให้เลยว่าเข้าเวรแล้วจะได้ค่าตอบแทน จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมนักรังสีไปกระจุกตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือให้รายได้ดีกว่า รพช.” อภิวัฒน์ กล่าว
จากการพูดคุยเบื้องต้น จะเห็นว่าเงินเดือนรวมต่ออายุการทำงานแต่ละสังกัดโรงพยาบาลค่อนข้างต่างกัน โดยเฉพาะ ‘ค่าใบประกอบวิชาชีพ‘ ซึ่งห่างกันเกือบครึ่งหมื่น และ ‘ค่าเวร’ ที่ต่างกันหลายเท่าตัวหรือมีบางคนอยู่เวรแล้วไม่ได้ค่าตอบแทน
แน่นอนว่าจำนวนนักรังสีเป็นไปตามขนาดของโรงพยาบาล แต่จำนวนนักรังสีส่วนใหญ่ยังกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะที่โรงพยาบาลบางแห่งมีนักรังสีประจำอยู่ไม่ถึง 10 คน บางแห่งมีเพียงคนเดียว ทำให้บางครั้งผู้ป่วยไม่ได้รับบริการจากนักรังสีการแพทย์โดยตรง หรือทำให้นักรังสีมีภาระงานมากเกินกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับ
หมายเหตุ: ‘เวร’ ในที่นี้หมายถึง ตารางการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล เพื่อให้มีผู้ปฏิบัติงานตลอดเวลา ซึ่งนอกเหนือจากเวลาปฏิบัติงานทั่วไป 08:30-16:00 น. โดยมี ‘เวรบ่าย’ ทำงานเวลา 16:00-00:00 น. และ ‘เวรดึก’ ทำงานเวลา 00:00-08:30 น.
เข้าเวรติดกันนานสุด 72 ชั่วโมง
แม้รายได้ต่อเดือนจะแตกต่างกันตามอายุการทำงานและโรงพยาบาลที่สังกัด แต่ภาระงาน (Work Load) ของแต่ละคนแทบไม่ต่างกัน คือ ต้องเข้าเวรติดต่อกันมากกว่า 24-72 ชั่วโมง ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของคนทำงาน
“จากประสบการณ์ เคยขึ้นเวรสูงสุด 56 ชั่วโมง คือ ทำงานต่อกันเกือบสามวัน เนื่องจากจำนวนคนทำงานที่น้อยอยู่แล้ว และใน 10 คน ยังมีคนที่เป็น Senior ไม่ต้องขึ้นเวร รวมๆ มีคนขึ้นเวรไม่ถึง 10 คน ทำให้ปริมาณเวรที่เราต้องขึ้นค่อนข้างถี่นิดนึง สมมติอยู่เวรติดกัน 2 วัน ก็จะเว้น 1 วัน แล้ววนลูปเรื่อยๆ” มินท์ธิตา กล่าว
“เคยเข้าเวรติดกันนานสุด 72 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้มีคนไข้ตลอดเวลา แค่ต้องสแตนด์บายรออยู่ตลอด” ชมพู กล่าว
เนื่องจากโรงพยาบาลของชมพูเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ ทำให้มีการจัดเครื่องมือเอกซเรย์ประจำแต่ละอาคาร เพื่อไม่ต้องให้คนไข้เดินข้ามตึก เวรของชมพูจึงมี 2 ลักษณะ คือ ‘เวรผู้ป่วยฉุกเฉิน’ ประจำห้องฉุกเฉินและมีผู้ป่วยเข้ามาตลอดเวลา ประมาณ 200 คน ใน 8 ชั่วโมง และ ‘เวรผู้ป่วยใน’ ที่หนึ่งวันจะมีเคสไม่เยอะเท่าไหร่ ประมาณ 3-5 คน/วัน
ถึงกระนั้น ชมพูก็ไม่สามารถพักผ่อนได้เพราะต้องเตรียมตัวเผื่อมีการเรียกให้ไปตรวจตลอดเวลา
“เคยเข้าเวรติดกันนานที่สุด น่าจะประมาณ 4 วัน 3 คืน แต่เวรแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ส่วนใหญ่อยู่ที่ 72 ชั่วโมง แต่ระหว่างนั้นก็งีบหลับบ้าง คิดว่าข้อดีงานรังสีคือทำเคสเสร็จในห้องแล้วจบ ไม่เหมือนสายงานอื่นในโรงพยาบาลที่ต้องดูแลคนไข้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีคนไข้เราก็พอได้พักผ่อนอยู่บ้าง” เดียร์ กล่าว
เดียร์ทำงานในโรงพยาบาลสังกัดสภาการชาดไทย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่และมีระบบการจัดการค่อนข้างดี คือ มีจำนวนนักรังสีเยอะกว่าโรงพยาบาลทั่วไป ทำให้การเข้าเวรยืดหยุ่นกว่า สามารถเลือกที่จะไม่อยู่เวรหากติดธุระได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนทำงานแทนแบบในโรงพยาบาลอื่นๆ
ต่างจากภัทรภรที่ทำงานในโรงพยาบาลใหญ่เช่นกัน แต่โรงพยาบาลกำหนดกรอบเวลาเข้าเวรไม่เกิน 24 ชั่วโมง ถึงกระนั้น แม้ลงเวรดึกมาภัทรภรยังต้องเข้างานตามเวลาราชการ ทำให้เธอเคยเข้างานติดต่อกันมากที่สุด 32 ชั่วโมง เช่นเดียวกับเคพีที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่มีนโยบายคล้ายกัน
ทั้งนี้ เคพีและภัทรภรจะต่างกันที่โรงพยาบาลรัฐบาลจะกำหนดวันเข้างานเป็นจันทร์-ศุกร์ แล้วค่อยมีเวรอื่นๆ มาเสริม ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนจะสามารถขอหยุด แลก หรือสลับวันทำงานได้อิสระกว่า
ขณะที่ อภิวัฒน์ผู้ทำงานในโรงพยาบาลชุมชน จะมีภาระงานที่แตกต่างออกไป คือ ต้องทำงาน ‘เชิงคุณภาพ’ ของโรงพยาบาลร่วมด้วย เนื่องจากเขาเป็นนักรังสีการแพทย์คนเดียวของโรงพยาบาล จึงมีบทบาทเป็นทั้งคณะกรรมการในโครงการต่างๆ ต้องเข้าประชุมร่วมกับแพทย์และคนอื่นๆ รวมถึงดูแลการจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้อง
“โรงพยาบาลเรามีบุคลากรน้อย คนไข้น้อย ภาระงานด้านนี้จึงค่อนข้างสบาย แต่มีงานคุณภาพที่ต้องทำตอนบ่ายซึ่งเป็นเหตุให้รู้สึกเหนื่อย… เพราะต้องดูแลทั้งคนไข้และงานคุณภาพ ส่วนการเข้าเวรก็มีช่วงที่นักรังสีไม่ได้ควบคุมเครื่อง เพราะมีแค่คนเดียวและเป็นไปไม่ได้ที่จะต้องทำงานประจำโรงพยาบาลตลอดเวลา” อภิวัฒน์ กล่าว
คุ้มหรือไม่? เงินเดือนครึ่งแสน แลกสุขภาพกาย-ใจ
แม้รายได้เริ่มต้นของนักรังสีการแพทย์จะสูงกว่าอาชีพทั่วไป มากกว่า 35,000 บาท แต่หากเปรียบเทียบกับภาระงานที่มีก็อาจถือว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ เมื่อต้องแลกกับการทำงานติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง แม้จะมีช่วงให้แอบงีบตอนกลางคืน แต่ก็ไม่สามารถหลับสนิทได้
การทำงานลักษณะนี้ติดต่อกันทำให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแย่ลง แต่สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ‘การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์’ ซึ่งส่งผลต่อการบริการผู้ป่วย
“ช่วงทำงานติดกันเยอะๆ ปัญหาสุขภาพที่วัดเป็นตัวเลขได้ คือความดันต่ำลงมาก ก่อนมาทำงานเราเป็นคนความดันปกติ (120/80 มิลลิเมตรปรอท) แต่ทำงานติดกันแล้วรู้สึกเวียนหัวเพราะอดนอน เลยลองวัดความดันแล้วพบว่า ความดันต่ำลงมากคือไม่เคยถึง 100 เลย” มินท์ธิตา กล่าว
ขณะที่ชมพู เดียร์ และเคพี เล่าตรงกันว่า ช่วงที่ทำงานติดกันเยอะๆ พวกเธอจะ ‘ภูมิตก’ คือป่วยง่าย มีภูมิแพ้ และรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าจากการทำงานติดต่อกันสะสมหลายวัน
ทั้งนี้ ทุกคนพูดตรงกันว่าสิ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ‘สภาพจิตใจ’ คือ มีอารมณ์ดิ่งดาวน์ ไม่สดชื่น อาจเผลอเหวี่ยงใส่ผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว และมีอาการเบลอ โดยถ่ายภาพเอกซเรย์ผิดรูป ผิดคน เกิดความผิดพลาด (Human Error) เยอะขึ้น
“เราเครียดไม่รู้ตัว บางทีลงเวรดึกต่อเช้า เราจะรู้สึกง่วง ไม่พร้อมให้บริการคนไข้เต็มที่ คนไข้ถามอะไรมา เราอาจไม่เต็มใจตอบหรือพยายามอธิบายให้ชัดเจน หรือหากอารมณ์คนไข้ทำตามที่เราบอกไม่ได้ เราอาจเผลอหงุดหงิด แต่ก็พยายามยับยั้งอารมณ์พวกนี้ด้วยตัวเอง” เคพี กล่าว
มินท์ธิตาเสริมว่า เธอเคยสงสัยว่าทำไมเวลาไปโรงพยาบาลถึงเจอเจ้าหน้าที่พูดจาไม่ดี แต่เมื่อเธอทำงานมาได้ระยะหนึ่ง มินท์ธิตาเคยถูกคนไข้สะท้อนกลับมาว่า “เราพูดจาไม่ค่อยดีเลย” ตอนนั้นก็เป็นจุดที่รู้สึกว่า “เราเริ่มเป็นแบบนั้นแล้วหรอ แต่ไม่รู้ตัวเลย คิดว่าหลายคนคงเป็นแบบนี้เพราะอดนอนเหมือนกัน”
“ถ้ามองความเหนื่อยของตัวเอง ก็รู้สึกว่าเงินเดือนไม่คุ้มค่านะ เพราะอยู่โรงพยาบาลใหญ่มีเคสเข้ามาตลอด แม้เวรดึกที่คนอาจคิดว่าผู้ป่วยน้อย แต่บางวันมีผู้ป่วยเข้ามาเยอะกว่าเวรบ่ายอีก ส่วนค่าเวรกับค่าใบประกอบก็เท่าเดิมมานานแล้ว ไม่ได้ขึ้นตามเงินเฟ้อให้เราใช้ชีวิตได้สบายแบบเมื่อก่อน” ภัทรภร กล่าว
ภัทรภรมองว่า นักรังสีการแพทย์ในปัจจุบันมี ‘ต้นทุนที่ต้องจ่าย’ มากกว่านักรังสีการแพทย์สมัยก่อน คือ เดิมใบประกอบวิชาชีพเป็นแบบตลอดชีพ แต่นักรังสีจบใหม่จะได้ใบประกอบประเภทอายุ 5 ปี และต้องเข้าร่วมงานอบรม งานประชุมวิชาการ เพื่ออัปเดตความรู้ใหม่
ค่าใช้จ่ายโดยรวมสำหรับการเก็บ ‘คะแนนการศึกษาต่อเนื่อง’ ไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท ขณะที่ค่าใบประกอบวิชาชีพในโรงพยาบาลรัฐยังเป็น 1,000 บาทมาตลอด ต่างกับเอกชนที่เริ่มต้นตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป
“เราคิดมาตลอดว่า ถ้าไปทำเอกชนจะคุ้มค่ากว่าไหม เพราะไม่เหนื่อยเท่าโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมด โรงพยาบาลรัฐคงขาดแคลนกว่าเดิม” มินท์ธิตา กล่าว
มินท์ธิตาเล่าว่า สาเหตุที่เธอยังอยู่ในระบบโรงพยาบาลรัฐ คือ รู้สึกว่าผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชน-รัฐบาลมีเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกัน หากทำงานในโรงพยาบาลรัฐคงได้ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเธอยังเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ที่ทำให้ระบบสาธารณสุขภาครัฐดำเนินการต่อไปได้
‘ไม่ใช้ผู้ช่วยทำงานแทน-เพิ่มค่าแรงให้คนทำงาน’ ข้อเสนอแนะถึง ‘สภารังสีเทคนิค’ ในอนาคต
นักรังสีการแพทย์ยังเป็นหนึ่งในวิชาชีพที่ไม่มีสภาวิชาชีพ อย่างแพทยสภา สภาการพยาบาล หรือสภาเภสัชกรรม แต่ได้มีความพยายามจะจัดตั้ง ‘สภารังสีเทคนิค’ เร็วๆ นี้
เมื่อต้นเดือนกันยายน 2568 ได้มีการเปิดรับฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพรังสีเทคนิค จัดตั้งเป็นสภาฯ มีอำนาจกำกับดูแล ในวาระ 2 ซึ่งต้องนำไปรวบรวมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
The MATTER ได้สอบถามถึงข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า หากมีการจัดตั้งสภาวิชาชีพในอนาคต นักรังสีการแพทย์อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือการผลักดันอะไรบ้าง?
“อันดับแรกคือ เราเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลน…โดยเฉพาะในโรงพยาบาลศูนย์ต่างจังหวัดหรือโรงพยาบาลชุมชน ส่วนใหญ่มีนักรังสีเทคนิคประจำเพียง 1 คนเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหาว่า มีการใช้ผู้ช่วยมาทำงานแทนเรา จากปริมาณงานที่เยอะกว่าเจ้าหน้าที่ หลายโรงพยาบาลจึงไปฝึกผู้ช่วยที่เขาไม่ได้จบด้านนี้มาโดยตรแทน” มินท์ธิตา กล่าว
จากข้อมูลก่อนหน้านี้จะเห็นชัดเจนว่า ความแตกต่างของนักรังสีการแพทย์ในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ต่างกันถึงเท่าตัว และยิ่งในโรงพยาบาลชุมชนยิ่งมีความขาดแคลนบุคลากรหนักไปอีก เหล่านี้กลายเป็น ‘ช่องว่าง’ ให้หลายสถานพยาบาลว่าจ้าง ‘ผู้ช่วยนักรังสีการแพทย์’
แม้ตามกฎหมายการประกอบโรคศิลป์จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่ได้จบการศึกษาด้านรังสีเทคนิค ใช้เครื่องมือด้านรังสีกับผู้ป่วยหากปราศจากการกำกับดูแลของนักรังสีการแพทย์ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ปฏิบัติงานไม่เพียงพอ ทำให้บางครั้งผู้ป่วยก็ได้รับการตรวจโรคหรือถ่ายภาพเอกซเรย์กับผู้ช่วยเหล่านี้ โดยเฉพาะในสถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิกทันตกรรม โรงพยาบาลชุมชน ซึ่งอาจมองได้เป็นทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการหวังลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
“บางโรงพยาบาลขนาดเล็ก เมื่อเขาคำนวณแล้วไม่อยากมีค่าใช้จ่ายเยอะ ก็ไม่ให้คนที่เป็นนักรังสีขึ้นเวรเลยด้วยซ้ำ บอกว่าจ้างแพงกว่าคนที่เป็นผู้ช่วย มองว่าผู้ช่วยก็เอกซเรย์เหมือนเราได้ ซึ่งผมก็แอบรู้สึกเสียใจนะ เพราะทำให้นักรังสีบางคนทำงานได้ไม่เต็มที่และผู้ป่วยก็ไม่ได้รับบริการจากนักรังสี” อภิวัฒน์ กล่าว
บางคนอาจมองว่า นักรังสีการแพทย์ไม่สำคัญขนาดนั้น เพราะผู้ช่วยก็สามารถเรียนรู้เครื่องมือและถ่ายภาพออกมาได้เหมือนกัน แต่อภิวัฒน์กล่าวว่า การฉายรังสีสู่ร่างกายคนไข้นั้น ต้องใช้การคำนวณปริมาณรังสีที่ต้องใช้ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน หรือแม้แต่การฉายภาพกระดูกหรือกล้ามเนื้อก็ยังใช้ค่ารังสีที่แตกต่างกัน
นอกจากนั้น นักรังสีการแพทย์ยังมีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการป้องกันรังสี ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้น การฉายรังสีโดยผู้ที่ไม่ได้เรียนด้านนี้โดยตรง นอกจากส่งผลต่อภาพที่จะส่งให้หมอวินิจฉัยแล้ว ยังส่งผลต่อผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติงานที่อาจได้รับปริมาณรังสีเกินความจำเป็น
“เราอยู่โรงพยาบาลศูนย์ฯ ต้องรับผู้ป่วยจากรพช. มาตลอด บางครั้งต้องทำงานซ้ำซ้อน เพราะภาพถ่ายจากรพช. ไม่ได้มาตรฐาน จากผู้ช่วยที่ไม่มีความเข้าใจกายวิภาคและปริมาณรังสีที่เหมาะสมในการถ่ายภาพ เมื่อต้องเอกซเรย์อีกครั้ง ผู้ป่วยก็ได้รับรังสีมากเกินความจำเป็น…หากมีนักรังสีคอยควบคุมการถ่ายภาพตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยลดภาระงานเราและทำให้โฟลว์การรักษาราบรื่นขึ้นด้วย” ชมพู กล่าว
เหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังจากการขาดแคลนนักรังสีการแพทย์ และค่าตอบแทนในโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ไม่สามารถดึงดูดนักรังสีให้เข้าไปทำงานได้ หากภาครัฐอยากกระจายนักรังสีการแพทย์ไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ให้ไม่กระจุกตัวแค่ในเอกชน ก็ควรเพิ่มกรอบอัตรากำลังของโรงพยาบาลรัฐให้สมเหตุสมผลกับปริมาณงาน พร้อมสร้างสวัสดิการหรือค่าตอบแทนที่ดึงดูดให้คนอยากทำงานในระบบมากขึ้น
“หลายโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐควรมีนักรังสีมากกว่าหนึ่งคนให้ผลัดกันอยู่เวร แต่ละจังหวัดควรมีเครื่องตรวจพิเศษ (CT Scan, MRI) อย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่าย และจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมารวมกันที่โรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ด้วย” เคพีกล่าว
“อยากให้เพิ่มค่าตอบแทน ค่าเวร ค่าใบประกอบวิชาชีพ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐที่กำลังขาดแคลนคนทำงาน เพราะขนาดเราอยู่โรงพยาบาลรัฐ สังกัดมหาวิทยาลัย ค่าแรงยังดีกว่าโรงพยาบาลรัฐทั่วไป ถ้าเอกชนก็จะมากขึ้นไปอีก ส่วนค่าใบประกอบวิชาชีพที่เอกชนได้ 5000-8000 บาท มากว่าเรา 5-8 เท่า จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าจะผลิตคนออกมาเท่าไหร่ ก็ไหลไปอยู่เอกชนหมด ส่วนรัฐก็ขาดแคลนเหมือนเดิม” ภัทรภร กล่าว
กล่าวโดยสรุปคือ หากมีการจัดตั้งสภาวิชาชีพรังสีเทคนิคในอนาคต พวกเขาต่างหวังว่าจะมีการเร่งดำเนินการผลักดันในประเด็นด้าน ‘มาตรฐานวิชาชีพ’ ที่มีแนวทางการควบคุมการประกอบอาชีพนักรังสีการแพทย์อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานและเป็นประโยชน์
พร้อมการผลักดัน ‘สวัสดิการบุคลากร’ โดยปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการให้สอดคล้องกับภาระงาน และลดช่องว่างระหว่างโรงพยาบาลรัฐ-เอกชน โดยเฉพาะค่าใบประกอบวิชาชีพที่ใช้อัตราเดิมมาหลายสิบปี ซึ่งหากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ปัญขาดแคลนบุคลากรในระบบโรงพยาบาลรัฐก็จะลดลงไปด้วย
นอกจากนั้น สภารังสีเทคนิคที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต้องเป็น ‘ตัวแทน’ ในการสร้างความเข้าใจแก่สังคมและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ว่านักรังสีการแพทย์เป็น ‘วิชาชีพเฉพาะทาง’ ที่มีความจำเป็น ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใครก็สามารถทดแทนได้ เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของอาชีพนี้และสร้างมาตรฐานกระบวนการรักษาผู้ป่วยอย่างมีระบบ
ถ้าหากปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จะช่วยลดวิกฤตการขาดแคลนบุคลากรในระบบโรงพยาบาลรัฐได้อย่างยั่งยืน