ปรากฏการณ์ ‘ฟุตบอล 7 สี’ หรือ ‘กีฬา 7HD แชมเปียน คัพ 2025’ ที่ได้รับความสนใจจากคนในสังคมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้ชื่อของทีมฟุตบอลจาก ‘โรงเรียนหมอนทองวิทยา’ และ ‘โรงเรียน อบจ.ชัยนาท’ กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
แม้การแข่งขันจบลงไปแล้ว แต่การแข่งขันฟุตบอล 7 สี่ครั้งนี้ ได้ทำให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กนักเรียนไทยที่มีความสามารถและยังไม่ถูกค้นพบอีกมากมาย ไม่เพียงแค่ทั้งสองโรงเรียนที่เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่กลุ่มนักเรียนที่มาจากโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ก็กลายเป็นเรื่องที่น่าพูดถึงด้วยเหมือนกัน
ล่าสุดวันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังเชิญทีมนักเตะและโค้ชจากโรงเรียนหมอนทองวิทยาเข้าพบ เพื่อชื่นชม ให้กำลังใจ และโชว์ทักษะฟุตบอลที่สนามหญ้าหน้ากระทรวงฯ
เป็นเรื่องดีที่ทีมบอลเล็กๆ และโรงเรียนเหล่านั้น ได้รับความสนใจมากขึ้น คำถามที่ตามมาคือว่า จะดีกว่าไหม? ถ้าโรงเรียนขนาดเล็กและกลางทั่วประเทศ จะได้รับโอกาสและเข้าถึงทรัพยากรเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองในทุกด้านตั้งแต่แรก โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ ‘มีกระแส’ ก่อนถึงจะได้รับความสนใจ
ย้อนดูกระแส ‘รถขนฝัน’ จากโรงเรียนหมอนทองวิทยา
‘รถขนฝัน’ คือ รถสองแถวสีน้ำเงินคันเก่าที่พาเด็กๆ จากทีมฟุตบอลหมอนทองวิทยาเดินทางไปสู่สนามการแข่งขันต่างๆ จนเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ณ สนามศุภชลาศัย
ภาพรถสองแถวที่มีเด็กนักเรียนนั่งอยู่เต็มคันรถ จนต้องมีเบาะเสริมคั่นตรงกลางเพื่อให้รถคันนี้สามารถบรรทุกนักฟุตบอลรุ่นจิ๋วหลายสิบชีวิต แน่นอนว่าระหว่างทางคงไม่ได้นั่งสบายเหมือนรถทัวร์คันใหญ่ แต่ทีมหมอนทองวิทยาก็สามารถโค่นนักเตะจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ในรอบ 8 ทีม และชนะโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
เรื่องราวของทีมหมอนทองวิทยาเปรียบเหมือนภาพจำของทีมรอง (Underdog) ในอนิเมชั่นหลายเรื่อง คือ เป็นทีมฟุตบอลจากโรงเรียนต่างจังหวัด ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ต้องผ่านความยากลำบากและเผชิญอุปสรรคเพื่อทำตามความฝัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ใครๆ ก็แพ้ทางและต่างเอาใจช่วยให้ทีมรองเหล่านี้คว้าชัยไปด้วยกัน
การที่ทีมหมอนทองวิทยาได้รับความสนใจและการสนับสนุนนั้น เป็นสัญญาณที่ดีในการร่วมพัฒนานักกีฬาเยาวชนและดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของเด็กแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม เหล่านี้ได้สะท้อนถึงความล้มเหลวในระบบการศึกษาไทย ที่ยังไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กทุกคนได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงความสามารถด้านอื่นๆ นอกจากความเป็นเลิศทางวิชาการ
‘งบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัว’ โรงเรียนเล็กพัฒนาเด็กได้ยากกว่าโรงเรียนใหญ่
หากจะพูดถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ก็ต้องเริ่มจากการย้อนดูงบประมาณที่ภาครัฐจัดสรรให้กับโรงเรียนต่างๆ โดยปัจจุบัน ประเทศไทยใช้การจัดการงบประมาณแบบ ‘เหมาจ่ายรายหัว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในชนวนที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาต่างๆ ของประเทศ
การจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัว หมายถึง การจัดสรรงบประมาณตามสัดส่วนของนักเรียนแต่ละโรงเรียน มาจากการกำหนดของ สพฐ. อิงตามค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าจัดการเรียนการสอน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
เนื่องจากงบอุดหนุนแต่ละด้านจะมีข้อกำหนดเฉพาะว่าต้องนำไปใช้เพื่ออะไร ดังนั้น หากโรงเรียนต้องการพัฒนาทักษะของนักเรียนในด้านอื่นๆ นอกเหนือการเรียนในห้องเรียน ก็จะเจียดงบจาก ‘ค่าจัดการเรียนการสอน’ และ ‘ค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน’
โดยค่าจัดการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนจะถูกกำหนดไว้ที่คนละประมาณ 1,000-2,000 บาท/เทอม (ขึ้นอยู่กับระดับชั้นการศึกษา) และแบ่งเป็น 3 ประเภทงบรายจ่าย คือ งบบุคลากร (ค่าจ้างชั่วคราว) งบดำเนินงาน และงบลงทุน
ขณะที่ ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนซึ่งได้รับเงินสนับสนุนเพียงคนละ 200-500 บาท/เทอม (ขึ้นอยู่กับระดับชั้นการศึกษา) สำหรับการทำกิจกรรมครอบคลุมตั้งแต่กิจกรรมด้านคุณธรรม-จริยธรรม ลูกเสือ-เนตรนารี ยุวกาชาด หรือการทัศนศึกษา
หมายความว่า การจัดกิจกรรมด้านกีฬาหรือส่งเสริมกีฬาให้กับนักเรียน โรงเรียนจะสามารถใช้งบประมาณจาก ‘งบดำเนินงาน’ ในการซื้อวัสดุอย่าง ลูกบอล ลูกบาส และ ‘งบลงทุน’ จากการซื้อครุภัณฑ์อย่างโต๊ะปิงปอง บาร์โหน หรือการก่อสร้างสนามกีฬาต่างๆ พร้อมการจัดกิจกรรมจากงบพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้แบ่งประเภทของสถานศึกษาตามจำนวนนักเรียน คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษจะมีนักเรียนมากกว่า 1,680 คน โรงเรียนขนาดใหญ่ 720 – 1,679 คน โรงเรียนขนาดกลาง 120 – 719 คน และโรงเรียนขนาดเล็กจะมีนักเรียนไม่เกิน 120 คน
เมื่อคำนวณจำนวนนักเรียนกับงบประมาณต่อหัว พบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่จะได้รับงบจำนวนมากตามสัดส่วนของนักเรียน ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับงบประมาณที่น้อยกว่ามาก ซึ่งอาจทำให้โรงเรียนขนาดใหญ่สามารถเจียดงบประมาณสำหรับการซื้ออุปกรณ์กีฬาที่ได้มาตรฐาน ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กต้องนำเงินไปใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นมากกว่าอย่างการติดตั้งอุปกรณ์การสอนในห้องเรียน หรือการจัดกิจกรรมต่างๆ แทน
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาเรื่องทรัพยากรบุคคลที่โรงเรียนขนาดใหญ่จะสามารถนำเงินไปจ้างครูวิชาพลศึกษาได้หลายคน หรือมีครูที่สามารถดูแลชมรมกีฬาได้โดยไม่กระทบภาระสอนวิชาหลัก ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งจะมีครูคนเดียวรับผิดชอบหลายวิชา ทำให้การดูแลหรือการฝึกซ้อมกีฬากลายเป็นอีกภาระสำหรับครูที่ไม่ได้ศึกษาด้านนี้มาโดยตรง
การศึกษาไทยที่เน้น ‘วิชาการ’ อาจขวางทางสำหรับฝันอื่นๆ
นอกจากปัญหาเรื่องงบประมาณแล้ว ระบบและวัฒนธรรมการศึกษาไทย ยังเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นเส้นทางการเติบโตในความสามารถอื่น นอกจากด้านวิชาการหรือการเรียนรู้ในห้องเรียน โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่เป็นนักกีฬา ซึ่งมักถูกครูผู้สอนตีตราและไม่ใส่ใจการเรียนในห้องเรียน
เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เผยแพร่บทความของ ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชี้ว่า ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องสร้าง ‘พื้นที่กลาง’ ให้เด็กเดินบนเส้นทางที่เขารัก พร้อมเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีนักเรียนกว่า 1.3 ล้านคน ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา แต่การสร้างทีมฟุตบอลและส่งเสริมให้มีการแข่งขันกีฬาในระดับเยาวชน ทำให้เด็กบางคนที่หลุดจากระบบการศึกษา ไม่กลับเข้าโรงเรียน ยอมกลับมาซ้อมฟุตบอลทุกวัน พร้อมเงื่อนไขว่า “ต้องแก้ ร. ให้ครบก่อนลงสนามศุภชลาศัย”
ขณะที่ ใย ยศยิ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนหมอนทองวิทยา เล่าเบื้องหลังระบบการเรียนรู้ในโรงเรียน ซึ่งมีส่วนช่วยให้ทีมฟุตบอลจากหมอนทองวิทยามาไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ คือ มีการจัดการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับจำเป็นและความต้องการของนักเรียนซึ่งเป็นนักเตะของทีม
โรงเรียนหมอนทองวิทยามีนโยบายปรับการเรียนการสอนให้เข้ากับกลุ่มนักเรียนที่เป็นนักกีฬา โดยครูผู้สอนแต่ละวิชาจะทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมทบทวนความรู้ให้กับนักเรียนที่อยู่ในช่วงการแข่งขันหรือมีการซ้อมกีฬาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่อยู่ในชมรมฟุตบอลจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเรียน แต่หากนักเรียนคนใดประสบปัญหาก็จะมอบหมายให้ ‘ครูประสาน’ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งมีหน้าที่เฉพาะในการประสานงานกับชมรมฟุตบอลว่า จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเด็กกลุ่มนี้อย่างไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้การแข่งขันกีฬากระทบกับการเรียนของเด็ก
นอกจากนั้น ยังมีการเปิดแผนการเรียนที่รองรับความจำเป็นและความต้องการของเด็กเป็นแผนการเรียนศิลป์-กีฬา ซึ่งมีวิชาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกีฬาสำหรับเทียบโอนหน่วยกิต เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ในทีมฟุตบอลซึ่งต้องฝึกซ้อมหรือเดินทางไปแข่งขัน สามารถเทียบโอนเป็นหน่วยกิตการเรียนรู้ได้
โดยทีมฟุตบอลของโรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิของท้องถิ่น ในการเข้ามาช่วยการจัดการเรียนรู้ให้กับเด็ก ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องฟุตบอล มีการออกแบบโปรแกรมการฝึกฝนทักษะฟุตบอลให้กับเด็ก
“ครูที่นี่เข้าใจดีว่าเด็กแต่ละคนฝัน หรือตั้งเป้าหมายของชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีเวลาจำกัด ในการเดินทางไปตามเส้นทางฝัน หากไม่ทิ้งการเรียน ยังเรียนจนจบมีวุฒิการศึกษา ก็จะสามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ ไม่ได้วัดความสำเร็จจากถ้วยรางวัล แต่จากการเห็นเด็กๆ มีความฝัน และมีโอกาสไปไกลกว่าที่คิดไว้” ผู้อำนวยการโรงเรียนหมอนทองวิทยา กล่าว
ยอดบริจาคหลักล้านและการพัฒนาทีมเยาวชนอย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่สามารถมองเห็นผ่านปรากฏการณ์นี้ คือการได้รับความสนใจจากคนดัง อินฟลูเอนเซอร์ และองค์กรต่างๆ อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า ทั้ง 2 โรงเรียนที่เข้ารอบชิงชนะเลิศ ได้รับเงินสนับสนุนทีมฟุตบอลในหลักล้านบาท
ไกรยส ระบุผ่านบทความว่า ความสนใจที่เกิดขึ้นกับทีมฟุตบอลเยาวชนนี้กำลังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็มีโจทย์สำคัญว่า จะทำอย่างไรให้ทรัพยากรเหล่านี้ไหลกลับไปสู่การพัฒนาเยาวชนอย่างยั่งยืน
หากพิจารณาวงการกีฬาไทยที่ผ่านมา จะเห็นว่าคนไทยมักให้ความสำคัญกับ ‘ผู้ชนะ’ หรือกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว มากกว่าการสนับสนุนตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งทำให้มีอีกหลายความฝันที่ดับสลายไปเพียงเพราะไม่มีทรัพยากร ที่จะช่วยสร้างเส้นทางให้พวกเขาสามารถไปถึงจุดหมาย
ไกรยส กล่าวว่า ระบบที่ดีต้องไม่เน้นลงทุนเฉพาะเด็กที่คว้าเหรียญหรือเป็นแชมป์ แต่ลงทุนตั้งแต่ต้นทาง คือ เด็ก ครู โรงเรียน ระบบการเดินทาง และความปลอดภัย ซึ่งจะเป็นหัวใจของความเสมอภาคทางการศึกษา
แม้จะเป็นนสัญญาณที่ดีที่ฟุตบอล 7 สี ช่วยดึงความสนใจให้ภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจการพัฒนาวงการกีฬาไทย และโรงเรียนขนาดเล็ก-กลางมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปในระยะยาวว่ากระแสที่เกิดขึ้นนี้จะนำไปสู่แก้ไขปัญหาในเชิงระบบ เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการศึกษาได้มากขึ้นหรือไม่
และหากวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นคงเป็น ‘รถขนฝัน’ ที่แท้จริงสำหรับเยาวชนไทย
อ้างอิงจาก