“ครูอยากให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ของเขา ถึงมันเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก แต่ก็ถือว่าเป็นความท้าทายในการจัดการศึกษาของโรงเรียนเพื่อป้องกันการหลุดระบบซ้ำ”
นี่คือคำพูดจากใจที่มาจากครูสุทิสา สุธาบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเนกขัมวิทยา จังหวัดราชบุรี ที่พาเราลงพื้นที่ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ไปพบและพูดคุยกับน้องๆ อดีตนักเรียนที่หลุดจากการศึกษาในระบบมาสู่การเป็นนักเรียนนอกห้องเรียน
น้องธีร์ เด็กที่ชอบเลี้ยงวัวมากกว่าไปโรงเรียน และน้องฟิวส์ เด็กที่ต้องการการส่งเสริมภาวะการเรียนรู้เป็นพิเศษ คือเด็กทั้งสองคนที่ผู้ใหญ่ใจดีพาเรามาลงพื้นที่ในวันนี้ ทั้งสองเคยศึกษาโรงเรียนในระบบเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป แต่จุดพลิกผันที่แตกต่างของสองคนทำให้เขาต้องออกจากห้องเรียนในระบบมาสู่ห้องเรียนแห่งโลกความจริงผ่านการจัดแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ Individual Education Plan (IEP) ด้วยความตั้งใจของผู้ใหญ่ที่อยากให้เด็กๆ ที่หลุดจากระบบได้รับวุฒิการศึกษาเพื่ออนาคตข้างหน้าของพวกเขา
แต่กว่าที่แผนงานทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ จะต้องประสานพลังจากผู้ใหญ่หลายภาคส่วน ตั้งแต่ อสม. ในชุมชนที่คอยช่วยสอดส่องเด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนหนังสือ โรงเรียนเนกขัมวิทยาที่รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลแผนการศึกษา และ กสศ. ผู้สนับสนุนเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอันเนื่องมาจากความยากจน นี่คืออาสาสมัครสามพลัง ผู้เดินหน้าโครงการ Zero Dropout ที่เป้าหมายคือ ‘เด็กทุกคนต้องได้เรียน’
ประสานพลัง สู่การสร้างความเติบโตทางการศึกษาที่เข้าถึงเด็กโดยตรง
ฐานข้อมูลนักเรียนที่หลุดนอกระบบคือจุดแรกสุดที่จะทำให้เรารู้ว่าเด็กเหล่านี้อยู่ส่วนไหนบ้าง นั่นเป็นในทางปฏิบัติ แต่ในความเป็นจริง นักเรียนหลายคนอาจไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของทางภาครัฐ เช่น เด็กอาจยังมีชื่ออยู่ในโรงเรียนแต่ไม่ได้ไปเรียน หรือเด็กย้ายออกจากโรงเรียนแล้วแต่ยังคงมีชื่อเป็นนักเรียนเดิมอย่างน้องฟิวส์ ทำให้กลไกของอาสาสมัครสามพลังในพื้นที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสำรวจชุมชนของตนเองแล้วนำมาแจ้งต่อกับทางโครงการ
ลำดับถัดมาจึงเป็นเรื่องของการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันและความสนใจเฉพาะของนักเรียนแต่ละคนที่เรียกว่า แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ซึ่งที่ราชบุรีเอง มีโรงเรียนเนกขัมวิทยาเป็นผู้จัดการศึกษาในแบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบด้วยหลักสูตรของโรงเรียน การศึกษานอกระบบที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของเด็ก และการศึกษาตามอัธยาศัยตามศักยภาพและความสนใจ ซึ่ง 2 แบบหลัง เป็นการนำประสบการณ์การเรียนรู้ในชีวิตจริงของเด็กๆ มาเทียบเคียงกับการเรียนในระบบรายวิชาต่างๆ เรียกว่าเป็นการคิดแบบย้อนกลับจากการเรียนในห้องเรียนที่ใช้รายวิชาเป็นหลักแล้วค่อยนำไปบูรณาการต่อ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่น้องธีร์ เขาเคยเป็นนักเรียนในระบบจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เขาไม่ไปโรงเรียนโดยที่ตอนแรกแม่ก็ยังไม่รู้ แต่สุดท้ายแล้วเขาสารภาพกับแม่ว่าเขาโดนคุณครูที่โรงเรียนตีบ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเรียนไม่ทันเพื่อน ถึงแม้จะชอบเรียนตีกลองชุดที่โรงเรียนมากก็ตาม เขาจึงเลือกเด็ดขาดว่าจะไม่เรียน เพราะใจอยู่ที่การเลี้ยงวัว ปลูกถั่ว และทำสวนฝรั่งกับพี่ๆ ที่บ้าน ซึ่งแม่ของธีร์ก็ไม่ฝืนเขา เพราะกลัวลูกเตลิดไปไกลกว่านี้ จากสาเหตุเท่ากับว่าระบบการศึกษาที่ล้มเหลวนี่เองที่เป็นผู้ผลักธีร์ออกจากระบบไป
ถ้ามองมุมกลับดู คุณครูพบว่าในชีวิตของธีร์มีการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันที่เป็นวิถีชีวิตอยู่แล้ว ทางโรงเรียนจึงจัดการศึกษาที่เป็นทางเลือกให้กับเขา โดยตั้งต้นที่ความเชี่ยวชาญทางด้านการเลี้ยงวัวที่ทำให้เขาหาเงินได้ด้วยตัวเองด้วยการขายวัวได้ถึง 30,000 บาท คุณครูบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจในตัวเขา เพราะเด็กทุกคนมีศักยภาพของตัวเอง เพียงแค่เราเข้าใจในตัวเขา ก็จะช่วยสนับสนุนเด็กคนนี้ให้เดินทางได้ไกลต่อไปอีกในเส้นทางที่เขาตั้งใจ
“นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมช่วยเด็กหนึ่งคนต้องใช้คนเยอะมาก จุดเริ่มต้นต้องเริ่มจากคนในพื้นที่ก่อนที่คอยช่วยสังเกตเด็กๆ ในชุมชน อย่างที่มีคนเคยบอกว่า เด็กหนึ่งคนต้องอาศัยทุกคนในชุมชนช่วยกันเลี้ยง แล้วจากการคุยกับน้องธีร์ก็ทำให้พบว่ายังมีเพื่อนแถวบ้านอีก 4-5 คนที่ไม่ได้เรียนเหมือนกัน และเราก็สามารถเข้าไปช่วยจัดการเรียนรู้ให้เด็กได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน โดยเอาโจทย์ของเขาเป็นตัวตั้ง”
รูปแบบการเรียนนอกห้องเรียนทำได้หลายอย่าง เรียกว่าทลายข้อจำกัดของการศึกษาในรั้วโรงเรียนแบบเดิมก็ไม่ผิดนัก นอกจากการค้นหารายวิชาที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็กๆ แล้ว ยังมีการจัดรูปแบบการเรียนในแบบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ศูนย์การเรียน หรืออย่างน้องธีร์ที่ใช้การเรียนแบบออนไลน์จากบ้าน ร่วมกับการพบกลุ่มสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยคุณครูจะเป็นผู้ติดตาม พูดคุย ประเมิน และให้คำแนะนำในเรื่องการเรียน ซึ่งวิธีการประเมินผลจะมาจากหนึ่งชิ้นงานที่น้องทำ จะเทียบกับตัวชี้วัดของรายวิชาที่หลากหลายโดยยึดหลักบูรณาการ นับเป็นการลดภาระของน้องด้วยอีกทางในการที่จะต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
ตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างครอบครัวกับระบบการศึกษาของเด็ก
ในกรณีของน้องฟิวส์ เขาย้ายบ้านมาที่ใหม่ ชื่อของเขาจึงยังคงค้างอยู่ในโรงเรียนเดิม เพราะอาศัยอยู่กับทวดที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นจัดการอะไรอย่างไรดี ก็ได้พี่สุวรรณที่เป็นทั้งสมาชิกสภาเทศบาล, อสม. และอาสาสมัครสามพลัง เป็นผู้เข้ามาช่วยเป็นคนกลางเชื่อมต่อระหว่างครอบครัวและการศึกษา
จากโรงเรียนเดิม คุณครูพบว่าน้องฟิวส์มีปัญหาภาวะการเรียนรู้จึงพาไปตรวจ แต่เพราะครูต้องย้ายโรงเรียนเลยทำให้ขาดความต่อเนื่องในการติดตามนักเรียนต่อ และเมื่อน้องฟิวส์ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ก็ได้พบกับพี่สุวรรณที่เป็นอาสาสมัครชุมชนผู้มีความรู้ในเรื่องของสวัสดิการสังคมและระบบสาธารณสุขเป็นทุนเดิม ทำให้ทีมงานคุณครูได้เข้ามาพบกับน้องฟิวส์เพื่อดำเนินการต่อในเรื่องการเรียนรู้ของน้อง
“แค่อยากให้เขาอ่านออกเขียนได้ มีวุฒิพึ่งตัวเองได้ก็พอ” ทวดบอกกับน้องฟิวส์ ที่ทุกวันนี้รับจ้างทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ แถวบ้านไปพร้อมกับการเตรียมตัวเข้าเรียนกับโรงเรียนเนกขัมวิทยา จริงๆ แล้วน้องฟิวส์ชอบวิชาวิทยาศาสตร์มาก ชอบการลงมือทำและทดลอง
การจัดการศึกษาเฉพาะจึงต้องประเมินเพื่อจัดทำแผนการเรียนโดยเจ้าหน้าที่การศึกษาพิเศษ ร่วมกับมิติทางด้านสุขภาพ ด้วยการประสานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในการตรวจคัดกรองภาวะการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนเฉพาะต่อไป โดยเป้าหมายเบื้องต้นในตอนนี้คือ ต้องสามารถอ่านออกเขียนได้ พร้อมกันกับการเตรียมความพร้อมในชีวิตให้กับเขา แล้วค่อยใช้การพูดคุยสอบถามรายละเอียดในการประเมินเนื้อหารายวิชาอื่นๆ ต่อไป
จะเห็นได้ว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายังอยู่แทรกซึมอยู่กับเด็กๆ ทั่วประเทศไทย ซึ่งการยุติปัญหาเหล่านี้จนทำให้จำนวนเด็กนอกระบบการศึกษากลายเป็นศูนย์ได้ (Zero Dropout) จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และส่งผลดีกับทั้งตัวเด็กเองและภาพรวมของประเทศ
แนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจากทาง กสศ. จึงเป็นการพัฒนานโยบายเชิงสำรวจในการศึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบ เพื่อสร้างมาตรการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้ ‘โครงการสนับสนุนและพัฒนาลไกการขับเคลื่อนครูและเด็กนอกระบบการศึกษา” โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่ความเข้าใจในความแตกต่างในสภาวะของเด็กแต่ละคน แล้วใช้กลไกอย่างที่เล่ามาในกรณีตัวอย่างข้างต้นในการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กแบบรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กได้เติบโตทั้งในทางวิชาความรู้และการใช้ชีวิตได้เหมาะสมอย่างที่เขาอยากจะเป็น
การจัดการศึกษาที่เจาะจงสำหรับเด็กแต่ละคนนับเป็นเรื่องยากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูง คุณครูบอกว่า ‘ใจ’ ต้องมาก่อน เพราะจากการลงพื้นที่ไปพบกับเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา เราจะได้เห็นชีวิตการทำงานหลากหลายรูปแบบของเด็กๆ ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ปัญหาของเขา คุณครูพบว่านี่แหละคือหน้าที่ของครูที่จะต้องช่วยเขาให้ตลอดรอดฝั่ง
“เราอยากให้เขาสนุกกับการเรียนรู้ของเขา ซึ่งมันก็ค่อนข้างเป็นโจทย์ที่ยากเหมือนกัน แต่ก็ท้าทายสำหรับการศึกษาของโรงเรียนนะคะ เพื่อป้องกันการหลุดระบบซ้ำ เพราะน้องๆ ก็เคยหลุดจากระบบโรงเรียนมารอบนึงแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเนกขัมวิทยา เมื่อเรารับน้องมาอยู่ในความดูแลของโรงเรียนแล้ว สิ่งที่โรงเรียนต้องทำคือ ดูแลประคับประคองให้น้องสามารถเรียนรู้ได้ แล้วก็จบการศึกษาได้วุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีคุณค่ากับชีวิตของเขามากเพราะเป็นการสร้างทางเลือกให้ชีวิตเขาไปต่อได้อีก อันนี้คือเป้าหมายสำคัญที่เราจัดการศึกษาตรงนี้นะคะ” คุณครูสุทิสาทิ้งท้าย