ข่าวการเสียชีวิตของพริตตี้สาว พร้อมๆ กันกับการแชร์ข้อมูลงาน N ประเภทต่างๆ ซึ่งกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ ตั้งแต่ N ธรรมดา N อัพ N แรง N บิกินี ไปจนถึง N VIP รวมถึงการเปิดประเด็นธุรกิจ ‘เพศพาณิชย์’ ของผู้เคยเป็นอดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด ทำให้หลายๆ คนมีแนวโน้มที่จะเข้าใจว่า พริตตี้ = ขายตัว ไปโดยปริยาย
คำถามคือทั้ง 2 อย่างนี้มันเท่ากันจริงหรือไม่? ตัวผู้เขียนเองก็อยากรู้เช่นกัน
และจากการสืบค้นข้อมูลก็พบว่า โลกของอาชีพที่เรียกกันว่า ‘พริตตี้’ มีความสลับซับซ้อน กว้างใหญ่ไพศาล ที่สำคัญ มีวิวัฒนาการ แปรเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมและเทคโนโลยี (คำศัพท์อย่างสารพัด N ทั้งหลาย ก็เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลายปีหลัง)
การสรุปง่ายๆ แบบฟันธงไปเลยว่า พริตตี้ = ขายตัว (หรือแค่คิดว่าพริตตี้ส่วนใหญ่อาจจะรับงาน N VIP) ไม่เพียงตัดโอกาสทำความเข้าใจอาชีพนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ยังอาจทำให้เราพลาดในการทำความเข้าใจสังคมไทยในบางแง่มุมที่หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่มันมีอยู่จริง ที่สำคัญคือใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
เมื่อรูปร่างหน้าตาคือทุนทรัพย์
แม้พริตตี้หลายๆ คนจะเรียกร้องให้ดูกันเรื่องความสามารถ และโดยความเป็นจริง แค่ความสวยอย่างเดียวไม่พอทำให้ได้รับค่าตอบแทนที่ดีหรืออยู่ในอาชีพนี้ได้อย่างยั่งยืน ..แต่ก็ปฏิเสธข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ได้เช่นกันว่า กุญแจที่ใช้ไขประตูบานแรกให้เปิดออกก่อนก้าวเข้ามาทำอาชีพนี้ก็คือ หน้าตา รูปร่าง ไปจนถึงบุคลิก
แค่ชื่ออาชีพ ‘พริตตี้’ หรือ pretty ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะที่น่าจะใช้กันแค่ในเมืองไทยเท่านั้น ก็บ่งบอกแล้วว่า อะไรคือทุนทรัพย์สำคัญ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ว่าจ้าง
หากจะสืบสาวที่มาของอาชีพพริตตี้ในเมืองไทยกันจริงๆ หลายคนชี้นิ้วไปที่งานมหกรรมรถยนต์ หรือ Motor Show ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2522 ตั้งแต่ยังจัดงานที่สวนลุมพินี โดยผู้ทำหน้าที่พริตตี้คนแรกๆ ของไทย ก็คือ อัญชลี ไชยศิริ และ ศิรินภา สว่างล้ำ ซึ่งทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตัวงาน และหากใครได้เห็นรูปถ่าย การแต่งกายของทั้งคู่ก็เป็นเพียงการสวมเสื้อยืดคอกลมสกรีนชื่องานและกางเกงขายาว ไม่ต้องแต่งตัวเซ็กซี่เช่นพริตตี้ในงาน Motor Show ยุคปัจจุบัน
และถ้าหากสืบค้นไปไกลกว่านั้น ตำนานเกี่ยวกับพริตตี้ในระดับโลก มักอ้างอิงถึงสาวสวยที่ทำหน้าที่เชิญถ้วยรางวัลให้ผู้ชนะในการแข่งรถยนต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เรียกกันว่า Trophy Girls ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 โดยผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวที่ว่ากันว่าโด่งดังระดับเป็นตำนาน ก็คือ ลินดา วอห์น (Linda Vaughn) ซึ่งโด่งดังช่วงปี ค.ศ. 1960 จนได้รับฉายาว่าเป็น ‘สุภาพสตรีอันดับหนึ่งของวงการมอเตอร์สปอร์ต’
แต่ก็มีอีกหลายๆ กระแสที่บอกว่า อาชีพพริตตี้เริ่มต้นจากพนักงานของห้างสรรพสินค้าในแผนกเครื่องสำอางซึ่งมีหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์ ที่เรียกกันว่า BA (beauty advisor) ขณะที่ก็มีอีกกระแสหนึ่ง คือการที่แบรนด์เบียร์ยี่ห้อหนึ่งนำสาวสวยมาช่วยส่งเสริมการขาย
แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ในเวลาต่อมา ก็พบเห็นสาวสวยในสนามแข่งรถจนเป็นเรื่องปกติ ภายใต้ชื่อเรียก umbrella girls (เพราะทำหน้าที่กางร่มให้กับนักแข่ง), pit girls หรือ grid girls แต่ถ้าไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่นก็เรียกกันว่า race queen แต่พอมาเมืองไทย ก็กลายเป็นอาชีพ pretty ในที่สุด
ถือเป็นลักษณะเฉพาะแบบไทยๆ ที่หยิบยืมศัพท์ต่างประเทศมาใช้ได้อย่างเฉพาะตัว (เช่นเดียวกับอาชีพ coyoty) จนเจ้าของภาษาได้มาเห็นอาจงุนงง
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2019/09/pretty1.jpg)
ว่ากันว่า อาชีพพริตตี้ในเมืองไทย เริ่มจากงาน Motor Show ในปี พ.ศ.2522 (ที่มาภาพ: ฐานเศรษฐกิจ)
ตำนานพริตตี้ไทยโดยสังเขป
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอาชีพพริตตี้เป็นสิบๆ ชิ้น หลายชิ้นให้ข้อมูลน่าสนใจตามแต่ประเด็นที่ผู้วิจัยตัวหัวข้อเอาไว้ แต่มีบางชิ้นที่เราเห็นว่ามีข้อมูลสนุกๆ อยากนำมาแลกเปลี่ยนกัน นั่นคือ การสร้างความหมายของสาวพริตตี้ในอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสื่อมวลชน ของ กมลวรรณ ขุมทรัพย์ (เผยแพร่ปี พ.ศ. 2548) และ แนวจริตของพริตตี้ในเขตกรุงเทพมหานคร ของ ณัฐฎา คงศรี (เผยแพร่ปี พ.ศ. 2560) ที่ให้ภาพแวดวงพริตตี้ได้อย่างน่าสนใจ
ที่สำคัญคือการที่งานวิจัย 2 ชิ้นทำห่างกันราวสิบปี ก็ทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแวดวงพริตตี้ ใครอยากข้อมูลแบบละเอียด คลิกไปที่ชื่องานวิจัยได้เลย
เนื้อหาโดยสรุปก็คือ นับแต่เริ่มต้นในงาน Motor Show ครั้งแรก ก็มีการใช้พริตตี้เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์งานต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ไม่รวมถึงการจัดการประกวดมิสมอเตอร์โชว์ที่ยิ่งสร้างความสนใจจากสาธารณชนมากขึ้นอีก เพราะดารานักแสดงชื่อดังหลายๆ คน ก็แจ้งเกิดจากการเป็นมิสมอเตอร์โชว์ เช่น น้ำฝน-กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์, โอ๋-ภัคจีรา วรรณสุทธิ์, เอ๊ะ-อิสริยา สายสนั่น ฯลฯ
แต่ภาพลักษณ์ของพริตตี้ในงานมอเตอร์โชว์ จากแนะนำตัวงาน ช่วยค่ายรถยนต์ต่างๆ ประชาสัมพันธ์สินค้า ก็ถูกทำให้ดูเซ็กซี่มากขึ้นเรื่อยๆ จากการนำเสนอผ่านสื่อมวลชน – และกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวพริตตี้มาจนถึงทุกวันนี้ คือนอกจากสวย บุคลิกดี ยังต้องเซ็กซี่อีกด้วย
อาชีพพริตตี้ถูกผูกติดกับงาน Motor Show มาเป็นสิบปี กระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 หลังจากนั้นหลายๆ แบรนด์ที่ต้องการฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนั้น ก็ใช้กลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ให้คนสนใจ ด้วยการจ้างสาวสวย (และหนุ่มหล่อ) มาช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าตามงานอีเวนต์ต่างๆ
และเนื่องจากพริตตี้ส่วนใหญ่ ไม่มีสัญญาว่าจ้างถาวร จำนวนไม่น้อยเลยเข้ามาทำงานในลักษณะพาร์ทไทม์หรือฟรีแลนซ์ ทำให้เป็นไปได้ว่าคนใกล้ๆ ตัวของคุณสักคน อาจปลีกเวลาจากงานประจำไปรับงานพริตตี้ในบางโอกาส
หลายเฉดของ ‘อาชีพ’ พริตตี้
งานวิจัยของ ณัฐฎา คงศรี ซึ่งได้ข้อมูลเชิงลึกบางส่วนจากการสัมภาษณ์พริตตี้ 11 คน ยังจำแนกประเภทของพริตตี้ออกเป็น 8 ประเภท นั่นคือ
- เชียร์เบียร์
- แนะนำผลิตภัณฑ์
- งานอีเวนต์
- งาน MC
- งานสวัสดี
- งานทานข้าว
- งาน entertain
- งาน VIP
งานแต่ละประเภทจะมีความยากง่าย ชั่วโมงการทำงาน และอัตราค่าตอบแทนแตกต่างกันออกไป ไม่ใช่ว่าพริตตี้ทุกคนจะทำได้ทุกอย่าง และไม่ใช่ว่าพริตตี้จะรับงานทุกอย่างมาทำ นี่คือเหตุผลที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นๆ ของบทความว่า ความสามารถเกี่ยวข้องกับได้รับการว่าจ้างในงานบางประเภทด้วย เช่น งาน MC หรือที่เรียกกันว่า ‘งานโฟน’ ก็ต้องมีความสามารถในการพูดแนะนำแบรนด์/สินค้า รวมถึงสามารถจบการขายได้ด้วย บางคนรู้ตัวว่าไม่ถนัดการพูด ก็มักเลือกรับแค่งานอีเวนต์ หรือ ‘งานยืนสวย’ หรือบางคนถนัดโพสต์ท่ามากกว่าก็มักไปรับงานถ่ายแบบ
หากดูประเภทงานทั้ง 8 ของพริตตี้ดีๆ จะพบว่า งานที่ 1.-4. จะทำงานในที่สาธารณะ ส่วนงานที่ 5.-8. จะทำงานในพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น โดยว่ากันว่างานที่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับผู้มีอาชีพพริตตี้จำนวนไม่น้อย ก็คือ ‘งานสวัสดี’
ถามว่างานสวัสดีคืออะไร? พูดง่ายๆ ก็คืองานที่พริตตี้เข้าไปแนะนำตัวกับผู้ว่าจ้าง พูดคุยกันเล็กน้อย แล้วรับค่าตอบแทนกลับมา ซึ่งมักเป็นงานที่ใช้เวลาน้อย แต่กลับได้ค่าตอบแทนสูง จากนั้นหลายคนก็อาจรับงานทานข้าว ดูหนัง บางครั้งก็ไปทำ ‘งานโกหกพ่อแม่’ เช่น รับจ้างไปอวดว่าเป็นแฟน
ทั้งนี้ สารพัดงานที่ว่าจะมีเรตค่าจ้างตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่น ต่อการทำงานไม่กี่ชั่วโมง แต่หากเป็นพริตตี้ที่มีนามสกุล เช่น นามสกุลจากนิตยสารชื่อดังทั้งหลาย ก็อาจทำให้ค่าตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2019/09/pretty2.jpg)
ชูวิทย์แสดงอัตราค่าเงินของพริตตี้ที่รับงาน N (ที่มาภาพ: ไทยรัฐทีวี)
งาน N : งานเลือกคน คนเลือกงาน
พริตตี้ที่รับงาน N ไม่จำเป็นต้องจบลงบนเตียง และไม่ใช่พริตตี้ทุกคนจะรับงาน N
งาน N ย่อมาจาก entertain ไม่ใช่ว่าพริตตี้ทุกคนจะทำได้ เพราะต้องใช้ทักษะสูงมาก ทั้งต้องยิ้มสวย คุยเก่ง ยังต้องสร้างความบันเทิงให้ลูกค้าได้ด้วย หลายคนยังปฏิเสธจะรับงานเช่นนี้เพราะมองว่า ‘เปลืองตัว’
หลายๆ คนน่าจะได้เห็นอินโฟกราฟิกและข้อความในกรุ๊ปไลน์ของคนในแวดวงพริตตี้ด้วยกันว่า ปัจจุบันมี N หลายประเภท ทั้ง N ธรรมดา (ห้ามแตะเนื้อต้องตัวพริตตี้) N อัพ (ยาเสพติด) N บิกินี (ใส่ชุดว่ายน้ำ) N แรง (ล้วงควักได้แต่ห้ามมีเพศสัมพันธ์) ไปจนถีง N VIP – แต่ในงานวิจัยที่เราอ้างถึงจะแยกงาน N กับงาน VIP ออกจากกัน
ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้พริตตี้บางคนเลือกรับงาน N ก็มีทั้งปัจจัยเรื่องรายได้ เกรงใจลูกค้า (เพราะมักรู้จักมายาวนาน) อยากลองงานในรูปแบบใหม่ ไม่รวมถึงปัจจัยเรื่องการเข้าถึงสิ่งเสพติดทั้งหลาย
พริตตี้บางคนรับงาน N ไปต่างประเทศกับลูกค้าได้เงินกลับมาเป็นแสน ขณะที่บางคนก็พัฒนาจากงาน N ไปเป็นงาน VIP กระทั่งถึงขั้นมีคนเลี้ยงดูในที่สุด
แต่เนื่องจากพริตตี้เป็นอาชีพที่มีอายุการทำงานสั้น แถมแข่งขันสูง และเหตุผลที่หลายๆ คนเข้าสู่แวดวงพริตตี้ก็มาจากเรื่องค่าตอบแทนเป็นหลัก ก็อาจเป็นไปได้ว่า หลายๆ คนอาจเปลี่ยนใจมารับงาน N ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม กระทั่ง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักการเมืองอดีตเจ้าของฉายาเจ้าพ่ออาบอบนวด ก็ยังพยายามแยกผู้ที่รับอาชีพพริตตี้ กับผู้ที่ใช้อาชีพพริตตี้แฝงเข้ามาขายบริการทางเพศออกจากกัน (ด้วยการใช้คำว่า ‘พริตตี้เก๊’)
ทั้งหมดทั้งมวลคือข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพพริตตี้ (ซึ่งไม่ได้มีแค่ผู้หญิงนานแล้ว แต่ยังมีพริตตี้บอย และชื่อเรียกอื่นๆ แต่ทำงานในลักษณะเดียวกัน) หวังว่าข้อมูลที่เราเล่ามาโดยสังเขปจะช่วยให้หลายๆ คนเข้าใจจักรวาลของอาชีพนี้มากขึ้นว่า มันมีโอกาส อุปสรรค ความเสี่ยง และความท้าทายอย่างไร
และไม่ใช่ทุกคนจะเข้าไปสู่ธุรกิจ ‘เพศพาณิชย์’ แม้จะอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงกว่าอาชีพอื่นๆ อยู่บ้างก็ตาม