‘หลวงตา 85 ปี ล่วงละเมิดทางเพศสามเณรภาคฤดูร้อนวัย 9 ขวบ’
‘สามเณร 5 ขวบไม่ยอมสึก อยากไปนิพพาน’
สารพัดข่าวเกี่ยวกับ ‘สามเณรเด็ก’ ในช่วงนี้ ทั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อสามเณรภาคฤดูร้อน และกระแสต่อเด็กที่อยากเรียนรู้รสพระธรรมไปตลอดชีวิต ทำให้สังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย ทั้งรู้สึกเอ็นดูสามเณรน้อย บ้างเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความรู้สึกกังวลต่อความปลอดภัยของการส่งเด็กไปบวชเรียน
และถึงที่สุดคือการตั้งคำถามว่า ‘เหมาะสมหรือไม่ที่เด็กวัยนี้จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์’ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นอย่างการเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน หรือการบวชเรียนระยะยาวก็ตาม
The MATTER จึงพาไปสำรวจ เพื่อค้นหาคำตอบว่า การให้เด็กวัย 3-12 ปี ไปใช้ชีวิตเป็นสามเณรนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? สามารถตอบจุดประสงค์การเรียนรู้พระธรรมคำสอนหรือพัฒนาการเด็กไหม และเมื่อเกิดเหตุการล่วงละเมิดทางเพศ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคมจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร ผ่านมุมมองของจิตแพทย์ คนทำงานคุ้มครองเด็ก และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
‘บาป บุญ คุณ โทษ’ เด็กเล็กเข้าใจได้จริงไหม ข้อดีข้อเสียของการให้เด็กบวชเณรคืออะไร
ผศ.นพ.สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงธรรมชาติของเด็กว่า เด็กก่อนวัยเรียน (Preschool Age) หรือวัย 3-5 ปี พัฒนาการทางสติปัญญายังไม่ซับซ้อน ยังไม่เข้าใจอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลเสียทีเดียว และเด็กวัยเรียน (School Age) หรือวัย 6-12 ปี อาจควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจแนวคิดเชิงนามธรรม (abstract thinking)
“การที่เด็กเล็กจะเข้าใจเรื่องความเชื่อหรือบาปบุญคุณโทษแบบที่ควรจะเป็นจริงๆ จึงยากมาก” นพ.สมบูรณ์กล่าว โดยอ้างอิงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ว่ามนุษย์จะเริ่มเข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรมเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หรือช่วงเริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ตามธรรมชาติของเด็กเล็ก ก็มักจะอยากทําตัวให้ดีตามที่พ่อแม่สอน หากพ่อแม่ ซึ่งเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตของเด็กที่สุด ป้อนข้อมูลอะไรให้เด็กซ้ำๆ ว่าเรื่องนี้ดี เป็นเรื่องที่ทำแล้วพ่อแม่จะชื่นชม ซึ่งรวมถึงเรื่องศาสนา ความเชื่อ เด็กก็จะทำตามซ้ำๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับและคำชื่นชม แม้อาจไม่เข้าใจว่าจริงๆ สิ่งนี้คืออะไร
อย่างไรก็ดี การส่งลูกหลานไปบวชเรียนเป็นสามเณรภาคฤดูร้อนในช่วงวัยนี้ ก็อาจมีข้อดีในแง่ที่เด็กได้ฝึกช่วยเหลือตัวเอง และได้ฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก จากการที่ต้องกินอาหาร ล้างจาน หรือซักผ้าด้วยตัวเอง และจากการต้องไปอยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก ยังได้ฝึกพัฒนาการทางอารมณ์ อดทนรอคอย และรู้จักการแบ่งปัน เข้าอกเข้าใจผู้อื่น แต่ผู้ดูแลก็ต้องระมัดระวังการสอนสิ่งที่เหนือกว่าความรู้ความเข้าใจของเด็ก หรือการสอนในสิ่งที่เป็นนามธรรมจนเกินไป
ดังนั้น การที่พ่อแม่ให้ลูกออกไปเจอสิ่งแวดล้อมนอกบ้านเป็นสิ่งปกติตามช่วงวัย เพื่อให้เด็กรับรู้ว่ามีสังคมอื่นๆ อยู่ด้วยนอกจากครอบครัว แต่ นพ.สมบูรณ์ เน้นย้ำว่า ไม่ว่าจะเป็นการส่งไปโรงเรียนที่ไปตอนเช้า กลับตอนเย็น หรือการไปบวชเรียนเป็นสามเณรที่ต้องไปอยู่ในวัด 24 ชั่วโมง ก็จะต้องคัดกรองสถานที่และผู้ดูแล ว่าสามารถดูแลเด็กให้ปลอดภัยทั้งทางทรัพย์สิน และร่างกายได้
ดูแลอย่างไร เมื่อเด็กเกิดบาดแผลทางใจจากการเผชิญความรุนแรงทางเพศ
หลังเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ นพ.สมบูรณ์ อธิบายถึงธรรมชาติของเด็กว่า เด็กจะมีแรงและอำนาจ (power) ด้อยกว่าผู้ใหญ่ ขณะเกิดเหตุก็จะรู้สึกว่าต่อต้านไม่ได้ และหลังจากนั้นจะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งคิดว่าเขาสมควรแล้วที่จะถูกกระทํา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มักจะเกิดกับผู้เป็นเหยื่อ
“เขาอาจรู้สึกผิดกับตัวเอง รู้สึกผิดกับพ่อแม่ กับคนที่เขารัก รู้สึกผิดว่าทําไมตัวเองสู้ไม่ได้ ว่าทําไมตัวเองไม่รีบนำเรื่องมาบอกผู้ใหญ่ ว่าทําไมตัวเองถึงเลือกที่จะเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น” นพ.สมบูรณ์กล่าว
ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา ก็จะกลายเป็นแผลในใจของเด็ก จนเกิดเป็นโรคทางจิตเวช คือ โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder) หรืออาจเกิดเป็นความเครียดทั่วๆ ไปที่ทำให้เศร้า จนกลายเป็นความรู้สึกไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ ไร้ความหวัง และพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า ที่จะทำให้มีปัญหาการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจรุนแรงถึงฆ่าตัวตายได้
สำหรับผลกระทบในระยะยาว เด็กอาจไม่มั่นใจ ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง ตั้งคําถามกับความดีความชั่ว ความรู้สึกมีคุณค่าหรือไร้คุณค่า จนอาจส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่เชื่อใจคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่มีรูปร่างลักษณะที่เหมือนผู้ที่เคยกระทําต่อเขา และอาจมีปัญหากับคู่รักในอนาคต
และจนถึงที่สุด เมื่อเด็กเติบโตผู้ที่เป็นเหยื่อกลับกลายไปเป็นผู้ที่กระทําผู้อื่น เพราะเหยื่อหลายคนถูกกระทำซ้ำๆ จนชินชากับความรุนแรง เขาจึงจะมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ก็อาจจะกลายไปเป็นผู้กระทําผู้อื่นได้
แล้วเราจะดูแลจิตใจเด็กเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง? ธัชมาศ ไกรฤทธิ์ ผู้ประสานงานโครงการสิทธิเด็กและคุ้มครองเด็ก จาก Save the Children ระบุว่า การดูแลให้ความช่วยเหลือเด็ก ต้องมองครอบคลุมทั้งเนื้อตัวร่างกาย จิตใจ รวมถึงด้านสังคม เพราะเด็กยังต้องมีชีวิตที่ดำเนินต่อไป แผนการช่วยเหลือจึงต้องวางแผนกันอย่างรอบด้าน โดยสหวิชาชีพร่วมมือกัน ทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และอื่นๆ
ไม่เพียงแค่กับเด็กเท่านั้น สหวิชาชีพยังจำเป็นต้องทำงานกับครอบครัวเด็กด้วย “เหมือนเวลาเจ็บป่วย เราก็ไปหาหมอเพื่อติดตามอาการตามนัด เช่นเดียวกัน คนที่จะอยู่กับเด็กตลอดเวลา ช่วยเหลือเด็กได้จริงๆ คือพ่อแม่ จึงต้องทำงานสร้างความเข้าใจกับพ่อแม่ด้วย” ธัชมาศอธิบายเสริม
นพ.สมบูรณ์ อธิบายเสริมถึงสิ่งที่พ่อแม่ควรทำเพื่อช่วยป้องกันและดูแลเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ ว่าเด็กที่ถูกกระทำอาจมีความกลัวเกิดขึ้น เช่น กลัวว่าถ้าเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังแล้วจะถูกมองว่าโกหก พ่อแม่ไม่เชื่อ กลัวทําให้ผู้ใหญ่ทะเลาะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีนี้ที่ผู้กระทำเป็นพระ
“พระถูกผูกโยงอยู่กับเรื่อง ความดี-ความชั่ว และพระเป็นตัวแทนของ ‘ความดี’ การที่เด็กคนหนึ่งจะพูดว่าถูกกระทําในสิ่งที่ไม่ดี จากคนที่ใครๆ ก็มองว่าดี จึงเป็นเรื่องยากมากที่เด็กจะกล้าบอก”
ดังนั้น พ่อแม่จะต้องทำให้เด็กรู้ว่าพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นคนที่เด็กจะสามารถบอกได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี พ่อแม่จะยินดีรับฟัง ยินดีที่จะช่วยเหลือ ซึ่งทำได้โดยการที่พ่อแม่ต้องหัดฟังก่อนที่จะสอน ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เหมือนการเลี้ยงลูกแบบไทยๆ ที่พ่อแม่มักจะตำหนิหรือขู่ให้เด็กกลัว ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยความกลัวจะทําให้เด็กไม่กล้าบอกในสิ่งที่เขามีความเสี่ยงที่เขาจะถูกตำหนิ และไม่ยอมบอกเมื่อเผชิญความรุนแรง
นอกจากนั้น ก็ควรนำเรื่องเพศพูดคุยและสอนให้เด็กได้เรียนรู้ ก่อนวัยเรียนเป็นช่วงวัยที่ต้องเรียนรู้เรื่องอวัยวะอยู่แล้ว ก็ต้องสอนถึงถึงอวัยวะเพศว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว และแม้แต่พ่อแม่ก็จะมีกรอบว่าสามารถจับตรงไหนได้บ้าง เช่น ให้แม่จับได้แค่เวลาช่วยทำความสะอาด รวมถึงสอนว่า “ถ้ามีคนจะมาจับตรงนี้ของหนู หนูจะมีวิธีการปฏิเสธยังไง”
และเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเรียน ก็ควรสอนให้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ถ้าถูกคนแปลกหน้าชวนไปไหนสองต่อสองก็ไม่ควรไป ให้ปฏิเสธอย่างไร หรือจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไร ซึ่ง นพ.สมบูรณ์ กล่าวว่า การสอนเรื่องเพศศึกษาให้เหมาะสมกับวัยนี้ ก็จะช่วยป้องกันปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศได้
ที่สำคัญคือผู้ปกครองควรเข้าใจในความปกติของเด็กแต่ละช่วงวัย เลี้ยงลูกตามพัฒนาการที่ควรจำเป็น หากจะส่งไปบวชเรียนก็จะต้องดูว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ไม่ขัดขวางการเจริญเติบโตหรือการเรียนรู้ของเด็กในเรื่องของทางโลก และไม่สอนแบบขู่ให้เด็กกลัวและยอมทำตาม แต่ให้เด็กทําเพราะว่าเขาอยากทําด้วยตัวเขาเอง ทำแล้วมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ทำแล้วเขารักตัวเองมากยิ่งขึ้น “ถ้าเด็กทําแล้วเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น ผมคิดว่าก็ควรส่งเสริม” นพ.สมบูรณ์ กล่าว
มาตรการต่อ ‘ผู้กระทำ’ เพื่อให้เด็กและสังคมปลอดภัย
“แล้วหลังเกิดเหตุ ‘พระ’ ที่เป็นผู้กระทำ จะมีการลงโทษไหม หรือจะเป็นอย่างไรต่อ?” คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจหลายๆ คน The MATTER จึงติดต่อไปพูดคุยกับ สุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ถึงมาตรการของสำนักพุทธฯ ในกรณีที่เกิดเหตุลักษณะนี้
สุพัฒน์อธิบายว่า หน้าที่ของสำนักพุทธฯ จะมุ่งจัดการที่ผู้กระทำ โดยย้อนไปตั้งแต่การคัดคนเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการดูแลสามเณร ก็ต้องผ่านกระบวนการตั้งแต่การเข้ามาบวช ซึ่งจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้บรรพชาอุปสมบท และพระอุปชาก็จะเป็นผู้คัดกรอง
อย่างไรก็ดี เมื่อเข้ามาบวชเรียนแล้วจนได้อยู่ในชั้นปกครอง หรือชั้นครูบาอาจารย์ แล้วเกิดเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศเด็กเช่นนั้น ก็ถือเป็น ‘เรื่องส่วนบุคคล’ ของพระรูปนั้น ซึ่งสำนักพุทธฯ จะมีการนำเสนอข้อมูลให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ช่วยสอดส่องดูแล และกำชับไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก เพราะท่านเองก็มีนโยบายไม่ให้ล่วงละเมิดทางเพศสามเณรภาคฤดูร้อน
หลังเกิดเหตุการณ์ล่วงละเมิด สำนักงานพุทธฯ จะเข้าไปช่วยเหลือเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการตามขั้นตอนของคณะสงฆ์ ในด้านของคดีอาญาซึ่งเป็นเรื่องทางบ้านเมือง ก็ปล่อยให้ทางบ้านเมืองดำเนินการสืบสวนไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ส่วนในด้านทางสงฆ์ ที่มีพระธรรมวินัยสงฆ์ ก็จะมีเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตัดสิน ส่วนจะมีความผิดระดับไหน หรือถึงขั้นต้องลาสิกขาหรือไม่ คณะสงฆ์จะเป็นผู้พิจารณา
“แน่นอนว่าสำนักพุทธฯ มีความรับผิดชอบในการคัดกรองคนเข้ามาทำงาน แต่ต้องถามว่า มันเพียงพอไหม” ธัชมาศบอกถึงความกังวลต่อการคัดกรองผู้ดูแลสามเณรของสำนักพุทธฯ ว่าจะใช้มาตรฐานใดในการบอกว่าดูแลเด็กได้หรือไม่ เพราะคนเป็นครูยังต้องฝึกอบรม และมีใบวิชาชีพเพื่อดูแลเด็ก เพราะการดูแลเด็กไม่ใช่แค่เพียงดูแลด้านปัจจัย 4 แต่ผู้ดูแลต้องมีความรู้เกี่ยวกับเด็ก และมีทักษะที่เพียงพอ
นอกจากนั้นยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่า พระ 1 รูปจะต้องดูแลเด็กจำนวนกี่คน เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมที่จะดูแลได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะการดูแลสามเณรภาคฤดูร้อนนี้จะต้องใช้เวลามากกว่าครูเสียอีก เพราะเด็กจะไปโรงเรียนแค่ช่วงกลางวันและกลับไปหาพ่อกับแม่ ในขณะที่การบวชเรียนต้องอยู่ในวัดตลอด 24 ชั่วโมง
ธัชมาศจึงเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ควรมีความร่วมมือเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานการดูแลเด็กระหว่างบวชเรียน
อย่างไรก็ดี อีกคนที่ควรเข้ามามีบทบาทคือผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะเป็นผู้ที่มีอำนาจในพื้นที่โดยตรง ที่จะสามารถเข้าไปตรวจสอบวัดได้ว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือได้รับเบาะแสว่าที่นี่อาจดูแลได้อย่างไม่เหมาะสม โดยใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เข้ามาพิจารณา
ทั้งนี้ สุพัฒน์ทิ้งท้ายโดยฝากถึงสังคมว่า “ช่วงนี้ข่าวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศสามเณรมีข่าวออกมาอยู่ แม้จะไม่บ่อย แต่เกิดเรื่องแต่ละครั้งก็จะสร้างความไม่สบายใจให้พี่น้องศาสนิกชน แต่อยากให้ใช้วิจารณญาณในการดูข่าว ไม่ควรเหมารวมว่าพระภิกษุที่ดำเนินการลักษณะนี้ที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับพุทธศาสนา จะเป็นพระภิกษุส่วนใหญ่”
สังคมและภาครัฐควรทำอย่างไร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กจะเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ
‘มากกว่าการเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ต้องอยู่ในวัดแทนบ้าน’ Unicef เผยผลการศึกษาว่า วัดไทยให้การดูแลสามเณรอยู่มากถึงกว่า 33,510 รูป และยังไม่รวมถึงเด็กที่อยู่ในวัดแต่ไม่ได้บวชเรียน (เด็กวัด) ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 2,000 คน
ธัชมาศ ระบุว่า บางทีเด็กก็จำเป็นต้องไปอยู่ในวัดในรูปแบบที่เป็น ‘สถานรองรับ’ หรือสถานที่ที่ไม่ใช่การอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งเกิดจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กของครอบครัวนั้นๆ
ซึ่งการจะต้องอยู่ในสถานรองรับเช่นนี้ อาจไม่ได้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กมากนัก ด้วยวิธีการเลี้ยงดูที่มีผู้ดูแลน้อย มีกิจวัตรประจำวันเคร่งครัด ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน และอาจขาดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย หรือทำให้ขาดทักษะชีวิตบางอย่างได้
ธัชมาศจึงเน้นย้ำไปถึงนโยบายภาครัฐว่า ถ้าหากครอบครัวมีปัญหาความยากจน ปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็ต้องมีสวัสดิการมารองรับให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกได้ และต้องสนับสนุนให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง พ่อแม่มีทักษะในการเลี้ยงดูลูก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องไปอยู่ในการเลี้ยงดูทดแทนที่ไม่จำเป็นในสถานรองรับ
ในสิ่งที่สังคมทำได้ นพ.สมบูรณ์ ฝากว่า “สังคมต้องตระหนักร่วมกันว่าเด็กเป็นบุคคลที่เปราะบาง ที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ เราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันปกป้องคุ้มครองพวกเขาเหล่านั้น โดยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี” นอกจากนั้นในกระบวนการทางกฎหมายก็ต้องเอื้อให้ผู้ปฏิบัติ เช่น ให้ตํารวจบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ ให้หมอที่ต้องรับการดูแลเคสเหล่านี้ทำงานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการทรัพยากรให้คนทำงานได้เพียงพอ การป้องกันมันดีกว่าแก้ไข”
โดย นพ.สมบูรณ์ อยากให้สังคมรับรู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และมีความเข้าใจที่ถูกต้องกับเรื่องนี้ เช่นจากกรณีล่าสุดที่พระล่วงละเมิดทางเพศสามเณร ก็มีผู้ใหญ่บ้านเสนอให้ยอมความโดยแลกกับเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรยอมรับได้ “มันคือการยินยอมให้สิ่งที่ผิดดำเนินต่อไป ทำให้เด็กจะถูกล่วงละเมิดต่อไปจากคนคนเดิมที่ยังอยู่ในสถานะความเป็นพระ” นพ.สมบูรณ์กล่าว
นอกจากนี้สังคมสามารถร่วมกันสอดส่องดูแลได้ เช่น หากเห็นว่าคุณครูคนนี้ชอบเรียกเด็กเข้าไปหาสองต่อสอง ก็ต้องช่วยกันส่งเสียงบอก ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้เด็ก อย่างไรก็ดี นพ.สมบูรณ์ฝากว่า พ่อแม่ควรระมัดระวัง แต่ก็ไม่ควรระแวงจนเกินไป เพื่อให้เด็กได้ใช้ชีวิตและมีพัฒนาการได้อย่างเหมาะสม
ธัชมาศชวนสังคมตั้งคำถามถึงความชินชาที่เห็นเด็กอยู่ในสถานรองรับต่างๆ ไม่เพียงแค่วัดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานสงเคราะห์ และสถานที่อื่นๆ ที่มักจะมีกิจกรรมที่ประชาชนจะเข้าไปช่วยเหลือ เลี้ยงอาหาร โดยชวนคิดว่า “เด็กควรมาอยู่ในสถานที่แบบนี้จริงหรือ” โดยอยากสนับสนุนให้เด็กได้อยู่ในบ้านที่ปลอดภัยกับพ่อและแม่ ไม่ใช่สถานรองรับที่มีความเสี่ยงเช่นนี้
“เราก็หวังว่าจะมีแรงขับเคลื่อนจากสังคมและผู้มีอำนาจ ในการเร่งมือจัดการ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ซ้ำอีกต่อเด็ก” ธัชมาศกล่าว
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editor: Phafan Nokaeo