ม้วนฟิล์ม 36 รูป ไม่เคยถูกใช้จนหยดสุดท้าย แต่ถูกเปลี่ยนตั้งแต่ไม่ครบ 30 รูปดีเสียด้วยซ้ำ กำลังบอกเล่าการทำงานของช่างภาพ 6 ตุลาฯ 2519 ที่ว่า พวกเขารู้ดีว่าทุกเสี้ยววินาทีสำคัญอย่างไร พวกเขาจะมาพลาดเหตุการณ์ต่อเนื่องเพราะมัวแต่เปลี่ยนฟิล์มไม่ได้
ถ้าจะให้นึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 หลายคนคงนึกถึงภาพชายที่ถูกห้อยอยู่กับกิ่งมะขาม พร้อมชายที่ทำท่าทางคล้ายเงื้อเก้าอี้ฟาดไปยังร่าง ท่ามกลางสายตาของผู้คน ไม่เว้นแต่เด็กเล็ก แต่ที่สะดุดใจที่สุด หนีไม่พ้นรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บ้างบนใบหน้าเหล่านั้น
คงต้องชื่นชม นีล อูเลวิช ช่างภาพของสำนักข่าว AP ที่ลั่นชัตเตอร์จับเสี้ยววินาทีประวัติศาสตร์นั้นไว้ จนถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งสะท้อนความรุนแรงของเหตุนองเลือดที่มีฝ่ายประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 41 คน บาดเจ็บ 145 คน และยังถูกควบคุมตัวอีกนับพัน
แต่อย่างที่รู้กันว่า ตลอดเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องอยู่หลายวันนั้น ยังมีช่างภาพไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่อยู่โยงข้ามวันข้ามคืน โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลาร่วมกับ Doc Club & Pub.จึงได้จัดวงสนทนาประกอบภาพ ในหัวข้อ ‘ซูมอิน 6 ตุลา สนทนากับช่างภาพ’ ขึ้น
The MATTER จึงอยากชวนทุกคนย้อนไปดูภาพข่าวพร้อมคำบอกเล่าจากคนทำงาน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งพยานของเหตุการณ์ ที่ช่วยยืนยันว่าความรุนแรงในวันนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง
คำเตือน บทความนี้มีภาพความรุนแรง และการเสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่
.
.
.
เกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น
ภาพหญิงสวมนุ่งผ้าถุงที่กำลังนอนหลับซบตักชายคนหนึ่ง อยู่กลางสนามหญ้า ถูกบันทึกไว้โดยทีมช่างภาพหนังสือพิมพ์สยามรัฐช่วงปี 2519 ช่วยเปิดบทสนทนาได้เป็นอย่างดี และคลายข้อสงสัยอย่างหนึ่งว่า เหตุวันนั้นไม่ได้มีเพียงนักศึกษาที่เข้าร่วมชุมนุม
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/2519-archives-roll03_24-scaled.jpg)
ภาพชายหญิงที่กำลังนอนหลับ หลังมาร่วมชุมนุม จากการแต่งกายมีการคาดว่าจะเป็นกลุ่มชาวนาที่มีการชุมนุมหน้าทำเนียบฯ มาก่อนหน้า
ในช่วงเวลาดังกล่าวช่างภาพหลายสำนัก ต่างได้รับมอบหมายให้ติดตามเหตุการณ์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ที่นักศึกษาออกมาชุมนุม เพื่อขับไล่ จอมพล ถนอม กิตติขจร ซึ่งบวชเป็นสามเณร ก่อนจะเดินทางกลับมาจำวัดที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
“หลัง 14 ตุลาคม 2516 มีการประท้วงหลายจุด ทั้งเรื่องค่าแรงของกลุ่มแรงงาน เรื่องค่าครองชีพ ชุมนุมของคนทำงานรัฐวิสาหกิจก็มี ในภาพน่าจะเป็นชาวนา ที่มาชุมนุมหน้าทำเนียบฯ ก่อนหน้านั้น แล้วเดินทางมาร่วมชุมนุมที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์” สายัณห์ พรนันทารัตน์ อดีตช่างภาพบางกอกโพสต์ให้ความเห็น
ปรีชา การสมพจน์ อดีตช่างภาพเดลินิวส์ เสริมว่า บริเวณนอกรั้วของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม เต็มไปด้วยมวลชนฝ่ายขวารวมถึงกลุ่มกระทิงแดง ที่เริ่มขว้างปาสิ่งของเพื่อรบกวนคนที่อยู่ภายใน ซึ่งขณะนั้นประตูฝั่งสนามหลวงถูกปิดทุกประตู บรรดาช่างภาพจึงต่างเฝ้ารอกันอยู่ไม่ห่าง
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/2519-archives-roll03_34-scaled.jpg)
เจ้าหน้าที่พร้อมประชาชนกลุ่มหนึ่ง กำลังสังเกตการณ์อยูบริเวณประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งสนามหลวง
ด้านสมบูรณ์ เกตุผึ้ง อดีตช่างภาพสยามรัฐ เล่าว่า มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล เคลื่อนรถถังพร้อมอาวุธครบมือมุ่งหน้าไปยังสนามหลวง โดยผ่านหน้าสำนักพิมพ์สยามรัฐพอดิบพอดี
ก่อนที่ช่วงใกล้สว่างของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จะมีการเปิดฉากพังประตูโดยใช้รถเมล์พุ่งชนเข้าไป นับเป็นการเปิดฉากการสลายการชุมนุม ที่ได้มีหลักฐานเป็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธในมือที่กำลังเล็งไปยังอาคารภายในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอาคารของคณะนิติศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์ฯ ที่ทุกคนต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘พรุน’ ด้วยวิถีกระสุนที่พุ่งจากด้านนอกเข้าไป
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/2519-archives-roll07_42-scaled.jpg)
หลังเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ เจ้าหน้านำนักศึกษาออกมารวมกันยังสนามฟุตบอล โดยให้ถอดเสื้อและนอนคว่ำหน้าลง
“แนวกระสุนมีแต่เข้าด้านใน ไม่มีออกมาเลย…ช่างภาพเราต้องระวังตัว หาที่ปลอดภัยที่สุด ตามหลังคนมีอาวุธ ตามหลังทหารนั่นแหละ” เป็นคำบอกเล่าของ ปวิตร โสรจชนะ อดีตช่างภาพบางกอกโพสต์อีกคนหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น เมื่อในจอปรากฏภาพชายคนหนึ่งที่แต่งชุดลำลองในมือถือวิทยุสื่อสาร เหล่าช่างภาพต่างเริ่มชี้ไม้ชี้มือว่าชายคนดังกล่าวถือเป็นคนมีชื่อเสียงในตอนนั้น บ้างว่ามียศเป็น สห.ทหารเรือ และเป็นนักเลงใหญ่คุมย่านบางลำพู บ้างพูดถึงว่าชายคนดังกล่าวเป็นมือขวาของพล.อ.สายหยุด เกิดผล ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่มมวลชนฝ่ายขวา
ภาพต่อๆ มา เริ่มปรากฏนายทหารชั้นผู้ใหญ่ อย่างพล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในตอนนั้น “ตอนนั้นมันมี ตชด. ถือบาซูกา มีคนตะโกนว่ายิงโดม ท่านก็บอกอย่ายิง โดมไม่เกี่ยวอะไร” ปวิตรถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินกับหู
นอกจากนั้น พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ ยศในตอนนั้น ในฐานะรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ปรากฏในภาพข่าวชุดนี้ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก บ้างอาจจะรู้จักในนามพ่อของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/308989632_8150656558339664_6495396148964915565_n.jpg)
ชายตรงกลาง ที่ถือวิทยุสื่อสาร คือ พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ (ยศในขณะนั้น)
การทำงานบนความเสี่ยง
สำหรับวิธีการทำงานของช่างภาพนั้น สิ่งที่สำคัญคือการต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอด ทั้งร่างกายและอุปกรณ์ทำงาน เพราะการถ่ายภาพในเวลาต่างกันเพียงไม่นาน กลับสามารถสื่อความหมายไปคนละทิศคนละทาง อย่างที่เกิดขึ้นกับชุดภาพของสยามรัฐ ที่บันทึกภาพชายถือกล้องคล้ายเป็นช่างภาพ แต่ในสายตาช่างภาพมีอาชีพทราบดีว่ากล้องรุ่นนั้นไม่ได้เป็นที่นิยมใช้ ก่อนที่วินาทีต่อมาชายดังกล่าวจะประทับปืนขึ้นบ่า และตั้งท่าได้เชี่ยวชาญไม่ต่างกับเจ้าหน้าที่
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/Artboard-1.png)
ชายสวมเสื้อแขนสั้นสีขาวจากที่ถือกล้องถ่ายรูปในมือ ถูกถ่ายภาพจับอาวุธปืนแทนในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ การประเมินสถานการณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน แม้สำนักข่าวแต่ละแห่งจะกระจายคนทำงานในหลายจุด แต่การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีนับเป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่เกิดขึ้นกับกรณีของปรีชา จนเป็นที่มาของภาพ ‘ตอกอก’ ที่ได้รับรางวัลภาพขาวยอดเยี่ยมของมูลนิธิอิศรา อมันตกุล ในปี 2519
ปรีชา เล่าว่า เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปถึงช่วงที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนักศึกษาบางส่วน ที่หลบอยู่ในหอประชุมใหญ่ออกมายังประตูฝั่งสนามหลวง เดินมาไม่กี่ก้าวก็จะมีคนภายนอกมาลากตัวไป โดยที่เจ้าหน้าที่ทำอะไรไม่ได้ และไม่มีใครยืนยันได้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ แต่ที่แน่ชัดคือคนกลุ่มนั้นไม่มีโอกาสพูดอะไรเลย เป็นเช่นนั้นอยู่ราว 4-5 คน จนเขาเริ่มเอะใจจึงเดินตามออกไปจนถึงพื้นที่สนามหลวง
ในขณะที่เล่าน้ำเสียงของปรีชาสะอึกเป็นช่วงๆ เมื่อหวนนึกถึงภาพคนที่ถูกลากและทุบตีไปตลอดทาง ก่อนที่เขาจะสามารถถ่ายภาพคนเอาไม้แหลมตอกเขาไปที่ร่างของที่นอนนิ่งอยู่ไว้ได้ 2 ภาพ “ผมถ่ายไปร้องไห้ไปนะ ความรู้สึกมันแย่มาก”
จากนั้นจึงถอนตัวกลับออกมายังพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าผู้คนบริเวณนั้นจะหันมาเล่นงานเขาหรือไม่
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/L1400166-1.jpg)
วินาทีที่มวลชนลากร่างคนที่ตำรวจนำตัวออกมาจากหอประชุมใหญ่ มธ. ไปยังบริเวณสนามหลวง โดยมีการทุบตีไปตลอดทาง
“ตอนนั้นคนเจ็บที่ตำรวจเอาตัวออกมา เขาเจ็บมากอุทานได้แค่ ‘เอะ’ คนก็รุมตีหมดบอกคนแกว ไม่ใช่คนไทย พูดไทยไม่ได้ มันไม่ใช่ เขาเจ็บจนพูดไม่ออก” ปวิตรกล่าวเสริม โดยที่ช่างภาพทุกคนต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นผลมาจากวิทยุยานเกราะ และหนังสือพิมพ์ดาวสยามที่ปลุกระดมผู้คนมาตลอดหลายวันว่า มีอาวุธถูกส่งมาเก็บไว้ในอุโมงค์ใต้ธรรมศาสตร์ ซึ่งหลังเหตุการณ์สงบก็ไม่พบหลักฐานยืนยันว่าเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม ข้อคำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อย ว่าช่างภาพที่อยู่ในที่เกิดเหตุจะรับมือต่อผู้คนกำลังถูกทำร้ายได้อย่างไรนั้น “เราในฐานะสื่อ เราไม่รู้หรอกใครขวาใครซ้าย รู้แค่ว่าเหตุการณ์อยู่ตรงไหนเราอยู่ตรงนั้น” เป็นหลักการทำงานหนึ่งที่ปวิตรยึดถือ
เช่นเดียวกับสายัณห์ ที่อธิบายว่า ในการทำงานจะมีนักข่าวในพื้นที่อีกกลุ่มที่คอยตรวจสอบความถูกต้อง หน้าที่ของช่างภาพคือทำอย่างไรก็ได้ให้สามารถนำภาพกลับไปยังสำนัก แม้จะไม่เคยถูกขัดขวางการถ่ายจากฝากใด แต่เขาก็ต้องหาวิธีเก็บฟิล์มที่ถ่ายไว้แล้วอย่างดี อีกทั้งทุกภาพที่ถ่ายไปจะต้องสามารถชี้แจงให้กองบรรณาธิการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในรูปนั้น
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2022/09/2519-archives-roll02_19-1-scaled.jpg)
เหตุการณ์ตอนค่ำของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หลัง พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เข้าทำรัฐประหาร
“คนยิ้ม คนดีใจ คนเชียร์มีหมด ตอนนั้นมันถูกปลุกกระแสให้บ้าคลั่ง” เป็นสิ่งที่ปรีชาเห็นผ่านเลนส์ และสะเทือนใจที่ผู้คนถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา แต่สิ่งที่ช่างภาพทำหน้าที่ได้ภายใต้ข้อจัดคือ การบันทึกเรื่องราวให้ได้มากที่สุด
ทุกชัตเตอร์ที่ลั่นออกไปของบรรดาช่างภาพ ล้วนเต็มไปด้วยความตั้งใจในการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยหน้าหนึ่ง แม้ในอดีตภาพเหล่านี้จะถูกเผยแพร่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะการรัฐประหารในเย็นวันนั้นได้ควบคุมการรายงานข่าวแทบทั้งหมด ส่งผลให้ภาพบางภาพยังคงถูกเก็บในลิ้นชักเพื่อรอการสืบค้นต่อไป