อยากเรียนต่อจัง แต่แค่งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ปวดหัวเกินพอละ
ย้อนกลับไปช่วงใกล้จะจบมหาวิทยาลัย หลายคนอาจมีความคิดอยากจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่ ศึกษาวิธีการสมัครเรียน อ่านหนังสือเตรียมสอบ และเตรียมตัวไปอย่างดี ทว่าพอถึงเวลาเรียนจบ ด้วยสาเหตุอะไรหลายๆ อย่าง อาจทำให้เราไม่สามารถเรียนต่อได้ทันทีทันใด จนต้องหันไปทำงานซะก่อน
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าทำงานสัก 2-3 ปี แล้วจะกลับไปเรียนต่ออย่างที่เคยฝันไว้ แต่วันดีคืนดี ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเรื่อยๆ ไฟในการเรียนต่อที่เคยโชติช่วงก็เริ่มมอดดับลง ความมุ่งมั่นที่อยากเรียนต่อก็ลดลงทีละเล็กละน้อยจนหมดไฟในท้ายที่สุด
เพราะอะไรกันไฟเรื่องการเรียนที่เคยมีถึงหายไปตอนทำงาน แล้วพอจะมีวิธีไหนช่วยจุดไฟนี้ให้สว่างขึ้นอีกรอบได้บ้าง?
ทำไมเราถึงหมดไฟในเรื่องเรียนเมื่อเริ่มทำงาน
อย่างที่รู้กันว่า การจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะต้องอาศัยการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ตลอดจนขั้นตอนอีกมากมายกว่าที่เราจะได้เข้าไปเรียน
ขึ้นชื่อว่าการเรียน ย่อมมีเรื่องของการสอบแข่งขัน เราอาจต้องเตรียมตัวทบทวนเนื้อหา และอ่านหนังสือให้พร้อมสำหรับการสอบ ถ้าย้อนไปช่วงวัยเรียนซึ่งหน้าที่หลักของเรามีแค่การเรียน การอ่านหนังสือสอบจึงอาจไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตาม ในวัยทำงาน เราย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ภาระงานมากมายจึงอาจกินเวลาชีวิตเรา ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเรียน จนบางครั้งก็อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟได้ จากการสำรวจความคิดเห็นของหนุ่มสาวออฟฟิศกว่า 1,600 คน โดย Crucial Learning พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 2 ใน 3 ได้ประสบกับปัญหาด้านสุขภาพจิตจากการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสูญเสียสมาธิต่อการจดจ่อสิ่งต่างๆ ซึ่งกว่า 73% ของชาวออฟฟิศบอกว่า พวกเขารู้สึกขาดพลังจนนำไปสู่ความเครียดและความกังวลต่อทุกสิ่งที่ต้องทำในชีวิต
นอกเหนือจากนี้ หากติดตามข่าวสารเศรษฐกิจในปัจจุบัน พบว่า เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนและความผันผวนสูงมาก ซึ่งปัญหาด้านนี้เองอาจเป็นหนึ่งสิ่งที่ส่งผลต่อการเรียนต่อของเราได้ไม่น้อยเลย โดยงานศึกษาร่วมระหว่าง University of Guadalajara และ Pablo de Olavide University เกี่ยวกับผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจต่อการทำงาน ซึ่งศึกษาจากการเปรียบเทียบบัณฑิตจบใหม่ในแต่ละปีของคาตาโลเนีย พบว่า ปัญหาด้านเศรษฐกิจสามารถนำไปสู่ปัญหาด้านการว่างงาน และความมั่นคงในการทำงานที่ลดลงในกลุ่มของบัณฑิตที่จบใหม่ได้
ดังนั้น อาจไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ หากเราจะรู้สึกหมดไฟในเรื่องของการเรียนหลังจากเข้ามาสู่สังคมการทำงาน เพราะไม่ว่าจะด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงกองงานมากมายที่เราต้องจัดการจนหัวหมุน จนทำให้เราแทบไม่มีเวลาจะไปโฟกัสกับเรื่องเรียนต่อ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ คนที่เรียนจบมาพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนแบบนี้ และต้องเลือกให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อน ท้ายที่สุดหลายคนจึงอาจรู้สึกหมดไฟกับความคิดที่อยากเรียนต่อได้
แล้วเราพร้อมที่จะไปเรียนต่อหรือยัง
เมื่อเรารับรู้ว่าตนเองหมดไฟ แต่ความรู้สึกอยากเรียนต่อก็ยังติดค้างอยู่ในใจจะทำยังไงดี? งั้นเราอาจลองสำรวจตัวเองก่อนสักนิด เพื่อตอบตัวเองให้พร้อมกับอีกก้าวหนึ่งของชีวิตที่กำลังมาถึง
สิ่งแรกที่ต้องสำรวจอาจเป็นเรื่องกำลังทรัพย์ เพราะการเรียนต่อย่อมมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ยิ่งกรณีที่เราไปเรียนต่อในต่างประเทศ เราอาจต้องลาออกจากงานประจำและสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ไป ดังนั้น ตัวเราต้องไตร่ตรองให้ดีว่า เราสามารถแบกรับค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเทอม ค่ากินอยู่ และจิปาถะอื่นๆ ได้ไหม
ต่อมาคือเรื่องจิตใจ การกลับเข้าสู่สังคมการเรียนอีกครั้ง อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายคน เราต้องทบทวนตัวเองให้ดีว่า เราพร้อมแค่ไหนกับการทุ่มเทเวลาให้กับการเรียน
นอกจากนี้ การเรียนต่อยังกลายเป็นอีกโจทย์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่เราเพิ่งเรียนจบ เพราะหลังจากที่ทำงานแล้ว เราจะเริ่มเห็นถึงลู่ทางในชีวิต การเรียนต่อจึงอาจไม่ใช่แค่ก้าวไปสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น แต่สำหรับหลายคนอาจสามารถย้อนกลับมาตอบได้ว่า การเรียนนี้จะช่วยสนับสนุนชีวิต หรือการทำงานในปัจจุบันตลอดจนในอนาคตได้มากน้อยแค่ไหนกัน
หลังจากสำรวจตัวเองแล้ว ก็อาจลองตั้งคำถามและหากคำตอบให้ตัวเองว่า เราพร้อมขนาดไหนแล้วสำหรับการเรียนต่อ โดยคำถามอาจจะเป็น เราจะมีความสุขไหม ถ้าเราต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย? เราอยากไปเรียนต่อเพราะมันคือความฝันของเราจริงๆ ใช่ไหม? การเรียนต่อจะสามารถต่อยอดสิ่งที่เราทำอยู่ได้หรือเปล่า? หรือการเรียนต่อจะกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ซึ่งเปิดโอกาสให้เราได้เจอลู่ทางใหม่ๆ ในชีวิต?
เราจะเติมไฟสำหรับการไปเรียนต่อยังไง
เอาล่ะ หากเราลองสำรวจกำลังทรัพย์ จิตใจ และตอบคำถามให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกว่าการเรียนต่อยังคงเป็นเป้าหมายหนึ่งในชีวิตที่อยากทำมันให้ได้ ทว่าตอนนี้เองก็ยังรู้สึกหมดไฟอยู่ งั้นลองมาดูวิธีเติมไฟสำหรับการเรียนต่อ จากโรงเรียนธุรกิจและการเงินแห่งลอนดอน (LSBF) กันสักหน่อยว่า ไฟที่มอดไปแล้วจะกลับมาโชติช่วงได้อย่างไรบ้าง
- กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน – ก่อนอื่นเลยเราควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและแน่วแน่ เพื่อทำให้เราลุกสามารถขึ้นมาเตรียมตัวในขั้นถัดไป
- สร้างกิจวัตรประจำวันให้ติดเป็นนิสัย – พอมีเป้าหมายที่ชัดเจนก็ต้องไม่ลืมทำทุกอย่างให้เป็นกิจวัตร เพราะการทำให้เป็นกิจวัตร ไม่เพียงแต่สร้างความเคยชินแก่ตัวเรา แต่จะยังคอยช่วยย้ำเตือนเราถึงเป้าหมายในการเรียนต่อได้ดียิ่งขึ้น
- ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ – หากไฟเริ่มติดขึ้นมาแล้ว ก็ระวังไฟจะลุกไหม้ตัวเราได้ การดูแลทั้งสุขภาพกายและใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากเรามีไฟพร้อม แต่สภาพร่างกายหรือจิตใจไม่พร้อม อาจทำให้เราไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เราควรทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงสุขภาพตนเองเป็นอันดับแรกเสมอ
- สร้างภาพความสำเร็จของเราให้เป็นแรงผลักดัน – แม้ไฟในการเรียนต่อจะเริ่มมาแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าสิ่งนี้สามารถดับลงได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น เราเองก็อย่าลืมเติมเชื้อเพลิงให้ไฟอย่างสม่ำเสมอด้วยการสร้างภาพความสำเร็จของเรา เพื่อคอยกระตุ้นและผลักดันให้เราก้าวตามความฝันของเราต่อไปได้เรื่อยๆ และยั่งยืน
เตรียมตัวยังไงถ้าเรามีไฟแล้ว
หลังจากเติมไฟในการเรียนต่อกันเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าอาจมีเรื่องของการเตรียมตัวสอบ หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เราต้องทำงานประจำไปด้วย สำหรับบางคนที่ยังไม่ตัดสินใจลาออกทันที ซึ่งก็อาจมีจังหวะที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายและหมดไฟได้เช่นเดียวกัน
เบรนดอน เบอร์ชาร์ด (Brendon Burchard) โค้ชด้านการพัฒนาศักยภาพ จึงได้นำเสนอวิธีสำหรับเตรียมตัวเรียนต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้เราไม่วนลูปจนกลับไปรู้สึกหมดไฟได้ดังเดิม ดังนี้
- รีเซ็ตตัวเองก่อนเริ่มเสมอ – หลังจากเลิกงานมา หลายคนคงมีทั้งความเครียดและความกดดันก่อตัวขึ้นในจิตใจ หนำซ้ำยังต้องมานั่งทบทวนและอ่านหนังสือสำหรับเรียนต่ออีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกบั่นทอนพลัง เบรนดอนจึงแนะนำให้เราลองรีเซ็ตตัวเองก่อนเริ่มทำกิจกรรมอื่นๆ อาจด้วยการตั้งสมาธิ เรียกสติ พยายามขจัดความรู้สึกลบให้ออกไป พร้อมเคลียร์สมองให้โล่ง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ
- กำหนดเวลาให้ชัดเจน – เราควรกำหนดเวลาในการเรียนและอ่านหนังสือให้ชัดเจนไปเลยในแต่ละครั้ง เพื่อไม่ให้ตัวเราต้องเหนื่อยจนเกินไป และไม่เสี่ยงที่จะรู้สึกหมดไฟอีกครั้งในอนาคต
- รู้เสมอว่าต้องทำอะไร – บางครั้งทำงานมาทั้งวันอาจมีสติหลุดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้จักที่จะดึงสติตัวเองกลับมาให้รู้อยู่ตลอดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เบรนดอนอยากให้เราได้ลองตั้งสติก่อนเริ่มทบทวนบทเรียน เพื่อไม่ให้เราต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ พอถึงเวลาอ่านหนังสือปุ๊บ เราจะได้รู้ทันทีว่าวันนี้เราต้องทำอะไรบ้างเป็นขั้นตอน
- พักได้เสมอ แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง – นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกเหนื่อย ก็สามารถแวะพักได้ตลอดเวลา อย่าหักโหมหรือเคร่งเครียดจนเกินพอดี แต่ถึงอย่างนั้น แบรนดอนก็ได้เน้นย้ำว่า เราสามารถพักผ่อนได้เสมอ แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้เรารู้สึกชินและติดเป็นนิสัย จนเริ่มมองข้ามความสำคัญของการเรียนต่ออย่างที่เคยตั้งใจไว้ได้
- ทำหลังเลิกงานให้ราบรื่นมากที่สุด – แน่นอนว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับชาวออฟฟิศในการอ่านหนังสือและเตรียมตัวสอบต่างๆ คงหนีไม่พ้นช่วงเย็น ซึ่งก็เป็นอีกช่วงเวลาที่มีความวุ่นวายไม่น้อย แบรนดอนจึงแนะนำให้เราลองหาวิธีที่เหมาะสมมากที่สุด สำหรับทำให้หลังเลิกงานราบรื่นและไม่วุ่นวายจนเกินไป เช่น ทำอาหารไว้ล่วงหน้าไหม หรือสามารถเรียนไปด้วยพร้อมใช้เวลากับครอบครัวไปด้วยได้ เราจะได้สามารถเต็มกับการอ่านหนังสือได้
เติมไฟแล้ว รู้วิธีเตรียมตัวแล้ว อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่เราไม่ควรลืมคือ การมีเวลาผ่อนคลายกับตัวเองเสมอ ไม่หักโหมทำทุกจนเกินไป เพราะยิ่งเราทำทุกอย่างเกินพอดีก็อาจกลายเป็นว่า ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนนั้นรุมเร้าจนกลับมารู้สึกหมดไฟได้ดังเดิม
เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องเติมไฟแล้ว ก็อย่าลืมเติมใจตัวเองด้วย
อ้างอิงจาก