“ไปทำทำไม ธรรมชาติสร้างมาก็ดีอยู่แล้ว”
“หน้าปลอม นมปลอม ยังหวังจะหารักแท้อยู่หรอ”
“กลัวลูกออกมาแล้วหน้าไม่เหมือนแม่”
“ทำไมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น”
ในโลกที่ยังคงมีสิ่งที่เรียกว่า beauty standard การที่หน้าตา ผิวพรรณ หรือรูปร่างของเราไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน (ที่ใครไม่รู้กำหนดไว้) นั้น ช่างเป็นอะไรที่ ‘น่าเจ็บปวด’
ใครที่เคยถูกล้อเลียนรูปร่างหน้าตา หรือผ่านการโดน body shaming มาก่อน ยกตัวอย่างเช่น ขาใหญ่ หน้าบาน นมแบน ดั้งแหมบ อ้วนดำ ฯลฯ น่าจะมีคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ในใจตลอดว่า “แค่หน้าตาไม่ดีก็ผิดแล้วเหรอ?” ทั้งๆ ที่มันเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้มากนัก และไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความสามารถหรือศักยภาพของเราเลยสักนิด
และปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า การมีรูปร่างหน้าตาที่ดี มักจะพ่วงมาด้วยโอกาสดีๆ ในชีวิต หรือที่เราเรียกกันว่า beauty privilege ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่า คนหน้าตาดีจะได้รับการยอมรับ และได้สิทธิประโยชน์มากกว่าคนหน้าตาธรรมดา เพราะสังคมมีความเอนเอียงตามมาตรฐานความสวย และเชื่อว่าหน้าตากับความสามารถมีส่วนที่เชื่อมโยงกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้บางคนเลือกที่จะเข้าหาวิธีการที่เรียกว่า ‘ศัลยกรรม’ เพื่อปรับเปลี่ยนหรือลบจุดด้อยนั้นตรงนั้นทิ้งไป รวมไปถึงอาจจะด้วยเหตุผลอื่นๆ ทางการแพทย์ เช่น ขากรรไกรมีปัญหา เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไปทำศัลยกรรมมาก็ถูกตีตราอีกทีว่าเป็น ‘ของปลอม’ ‘ไม่แท้’ ‘ไม่จริง’ อยู่ดี หรือเรียกพฤติกรรมนี้ได้ว่าเป็น ‘การประณามการศัลยกรรม’ หรือ plastic surgery shaming
การประณามการศัลยกรรม มีแนวคิดมาจากการยกย่องสิ่งที่คงไว้ตาม ‘ธรรมชาติ’ ไม่ผ่านมีดหมอ ไม่ผ่านการยัดพลาสติกเข้าไปในร่างกาย และมักจะดูถูกคนที่ไปทำศัลยกรรมมาว่าเป็นพวกไม่พอใจในร่างกายตัวเองบ้างแหละ ไม่รักตัวเองบ้างแหละ แต่อาจจะลืมมองไปว่า ทุกคนไม่ได้เกิดมาตรงตามมาตรฐานความสวยหล่อที่สังคมตีกรอบไว้ตั้งแต่แรก
แต่ยุคสมัยนี้ การศัลยกรรมนับเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ทำกัน และถูกมองในแง่ของวิธีการเสริมสร้างความมั่นใจ ทำให้คลินิกศัลยกรรมความงามตั้งอยู่ทุกหัวมุมถนน ครองพื้นที่ห้างสรรพสินค้าไปทั้งชั้น หลายคนเคยไปปรับรูปหน้า เสริมจมูก จัดฟัน ตัดกราม จนกล้าที่จะถ่ายรูปและมีความมั่นใจที่จะออกสังคม แต่ทำไมยังมีบางคนยังคงมองการศัลยกรรมเป็นเรื่องน่าอายหรือไม่สมควรอยู่ ทั้งๆ ที่มันสะท้อนถึงความรู้สึก insecure ความไม่สบายใจในร่างกายของใครบางคน และสะท้อนค่านิยมที่บิดเบี้ยวในสังคมได้ดีทีเดียวว่าเราให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาในมิติเดียวมากเกินไปหรือเปล่า?
หรือที่จริงแล้ว เราควรพยายามลบค่านิยมเกี่ยวกับความสวยในสังคมออก แล้วผลักดันแนวคิดที่เรียกว่า body positivity แทนหรือเปล่านะ? เพื่อให้ทุกคนชื่นชมกับความงามแบบปัจเจก หากทำได้ การศัลยกรรมที่มีเหตุผลเพียงเพราะแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่สวยไม่หล่อ ก็คงจะลดลงไปได้เยอะ
แต่ในเมื่อปัจจุบันมาตรฐานนั้นยากเกินกว่าที่จะลดลงมา ก็อยากให้มองการศัลยกรรมเป็นเพียงแค่ ‘ทางเลือก’ หนึ่งในชีวิต เช่นเดียวกับการกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ที่เราก็มีสิทธิ์เลือกได้เต็มที่โดยไม่มีใครมาชี้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี
และหากการศัลยกรรมช่วยเพิ่มความมั่นใจหรือช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเราได้ ก็ทำไปเถอะ ขอแค่เลือกที่วิธีหรือคลินิกที่ปลอดภัย ไว้วางใจได้ก็พอแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.bustle.com
www.businessinsider.com