ไม่โหลดแอพฯ ติดคุกหรือเพียงขอความร่วมมือ?
ไม่ล็อกดาวน์แค่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด?
นั่งกินได้แค่ 1 ทุ่ม ไม่ทันข้ามวันเปลี่ยนเป็น 3 ทุ่ม?
คนที่ไม่ได้ตามข่าวสารตลอดเวลาคงมี ‘งง’ ว่าสุดท้าย คุณต้องการสื่อสารอะไรกันแน่ และพวกเราในฐานะประชาชนควรจะฟังใครเป็นหลัก
การรับมือการแพร่ระบาด COVID-19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เผชิญกับอุปสรรคสำคัญด้านการสื่อสาร ทั้งผู้มีอำนาจในรัฐบาล ผู้บริหารท้องถิ่น ไปจนถึงตัวโฆษก ศบค. ที่ให้ข่าวกลับไปกลับมา สร้างความสับสนในหมู่ประชาชน จนที่สุดแล้ว ‘ความเชื่อมั่น-ความเชื่อถือ’ ที่ประชาชนมีต่อภาครัฐก็ลดน้อยถอยลง ทั้งๆ ที่การรับมือกับโรคระบาดระดับอุบัติภัยนี้ ต้องใช้ความร่วมมือของประชาชนเป็นสำคัญ
ถามว่า ศบค.รู้ไหมว่า ตัวเองเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นจากปัญหาในการสื่อสาร ..คำตอบคือรู้! แต่ก็เหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะเริ่มแก้จากจุดไหนก่อนดี จึงมีการเชิญตัวแทนสื่อมวลชนหลายสำนักไปจัดวงพูดคุยเล็กๆ 1-2 ครั้ง ตอนปลายปีก่อน เพื่อขอให้ช่วยสะท้อนปัญหาและขอคำแนะนำสำหรับปรับปรุงการทำงาน
แต่แทนที่พอขึ้นปีปฏิทินใหม่ ปัญหาการสื่อสารจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น นับวันกลับแย่ลงยิ่งกว่าเดิม จึงมีการนัดวงประชุมเพื่อขอคำแนะนำอีกครั้ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นวงใหญ่ ใช้สถานที่คือทำเนียบรัฐบาล และมีผู้นั่งหัวโต๊ะชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการของ ศบค.
มีผู้แทนสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ และองค์กรวิชาชีพ เข้าร่วมกว่า 30 องค์กร (รวม The MATTER ด้วย) ที่สะท้อนข้อคิดเห็นการทำงานของ ศบค.ในหลากหลายมุมมอง ราว 20-30 ประเด็น แต่โดยสรุป หัวใจของปัญหาดูเหมือนจะอยู่ที่เรื่อง ‘ความเชื่อมั่นลดลง-พูดความจริงไม่หมด-การสื่อสารสับสน-ทำงานไม่มีเอกภาพ’
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
– ปัญหาการสื่อสารระหว่างส่วนกลางกับส่วนจังหวัด ที่บางครั้ง ศบค.พูดอย่าง แต่ท้องถิ่นกลับพูดอีกอย่าง
– การแจ้ง timeline ผู้ป่วยไร้มาตรฐาน บางจังหวัดตัดสินใจไม่แจ้งเลย บางจังหวัดก็แจ้งละเอียดมากๆ จนระบุตัวผู้ป่วยได้
– มาตรการออกมาฉุกละหุก ให้ประชาชนไปขอใบอนุญาตเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อสกัดการรวมตัว แต่กลับต้องไปรวมตัวกันขอที่อำเภอหรือจังหวัด
– รอบแรกการสื่อสารได้ผลกว่านี้ เพราะรัฐรู้อะไรก็บอกประชาชน แต่ครั้งนี้ ประชาชนคลางแคลงใจว่ารัฐสื่อสารไม่หมด
– มีการให้ข้อเท็จจริงโดยใช้เทคนิคทางการเมือง ประดิษฐ์ถ้อยคำหรือศัพท์ใหม่ๆ มาหลีกเลี่ยงการชี้แจงตรงๆ
– การให้ข่าวมีกลิ่นอายการเมืองอยู่ เช่น ไม่ใช่คำว่าพื้นที่สีแดงเข้ม แต่ไปใช้คำว่าพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทั้งที่ความหมายเดียวกัน
– ถ้าใครให้ข้อมูลผิด คนที่จะแก้ไขข้อมูลนั้นๆ ควรจะเป็นคนเดิม ไม่ควรจะเป็นอีกคน เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน
– โฆษก ศบค.จะพูดทุกอย่างไม่ได้ เพราะอาจผิดพลาด ควรจะให้ผู้เกี่ยวข้องมาช่วยพูดด้วย
– key message ของรัฐในการรับมือโรครอบนี้คืออะไร ยังจะใช้วิธีเจ็บแต่จบ-กดตัวเลขเป็นศูนย์อยู่ไหม หรือเราจะอยู่กับโรคไปยาวๆ แต่ใช้มาตรการเข้มข้นน้อยกว่า เพื่อให้ประชาชนยังทำมาหากินได้
– ถ้า ศบค.ไม่สามารถให้ข่าวหลายๆ รอบได้ ควรจะทำ dashboard ข้อมูลติดเชื้อแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนได้ตรวจสอบไหม
ฯลฯ
หนึ่งในบุคคลที่ถูกวิพากษ์เรื่องการทำงานมากที่สุด ก็คือ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ที่ในวันเดียวกับที่มีการประชุม ได้สื่อสารผิดพลาดเรื่องแอพฯ ‘หมอชนะ’ ว่าใครไม่โหลดเท่ากับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีโทษทั้งปรับและจำคุก
นพ.ทวีศิลป์กล่าวเปิดใจว่า หลักการที่ส่วนตัวยึดถือทุกครั้งในการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชน ก็คือหลัก 3 T คือ True เป็นข้อมูลจริง, Transparency โปร่งใส และ Timing จังหวะเวลาถูกต้อง ซึ่งต้องมีทั้ง 3 อย่างนี้ สังคมถึงจะให้ T ที่สี่ คือ Trust ความเชื่อมั่น
โฆษก ศบค.ยังชี้แจงว่า เหตุที่การให้ข้อมูลระยะหลังๆ ไม่ค่อยลงรายละเอียดมาก เพราะจำนวนเคสมีเยอะกว่ารอบก่อน ที่มีจำนวนเคสสูงสุดต่อวันแค่ 188 เคสเท่านั้น แต่รอบล่าสุดมีวันละหลายร้อยเคส แต่ละวันต้องตื่นตีสี่ ประชุมหลายวงประชุมก่อนจะออกมาแถลงข่าว ทำให้อาจมีบางอย่างไม่ครบถ้วนก็ต้องขออภัย แต่ยืนยันว่าทุกอย่างที่นำเสนอมีแต่ข้อเท็จจริง ไม่มีใครมาสั่งให้พูดหรือไม่พูดอะไร
“หลายๆ ครั้งที่ยังแถลงไม่ได้ เพราะข้อมูลยังไม่ชัดเจน และที่บางครั้งข้อมูลสับสน เพราะนี่คือช่วงเวลาวิกฤต ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน”
นพ.ทวีศิลป์ยังบอกว่า วิกฤต COVID-19 รอบนี้ใหญ่และซับซ้อนกว่ารอบที่แล้วมาก และที่ผ่านมา ศบค.ก็ทำงานแบบตั้งรับ รูปแบบการสื่อสารก็ยังเป็นแบบเดิม ยังต้องมายืนแถลงที่เดิมอยู่ ที่สุดแล้ว ตัวเลขผู้ป่วยของไทยก็คงจะไหลไปเรื่อยๆ แบบสหรัฐอเมริกา ความสำคัญน่าจะอยู่ที่มาตรการรับมือมากกว่า ส่วนตัวก็ขอขอบคุณทุกคำแนะนำ และจะพยายามปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนให้ดีที่สุด เพราะถ้าการติดเชื้อน้อยลง ครอบครัวของตัวเองก็จะปลอดภัยด้วย
หลังหารือกับตัวแทนสื่อมวลชน โฆษก ศบค. กล่าวคำขอโทษผ๋านการแถลงข่าว กรณีสื่อสารเกี่ยวกับ COVID-19 โดยเฉพาะกรณีแอพฯ ‘หมอชนะ’ (ระหว่างนาทีที่ 1.00-2.45 น.)
สำหรับเรื่องแอพฯ ‘หมอชนะ’ พล.อ.ณัฐพลบอกว่า เป็นความคิดของตัวเองที่จะเอามาใช้ หลังจากมีนักธุรกิจจะเข้ามาในไทย แต่หากต้องกักตัว 14 วัน ก็จะเป็นเวลานานเกินไป หรือจะให้มีทีมแพทย์ติดตามก็จะเสียค่าใช้จ่ายมากไป จึงคิดถึงการให้มีแอพฯ ติดตามตัวขึ้นมาแทน ประกอบกับเหตุการณ์เทศกาลดนตรี Big Mountain ช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2563 ที่มีคนเข้าชม 50,000 คน จะใช้แอพฯ ‘ไทยชนะ’ ที่ใช้การสแกนหรือลงชื่อในกระดาษคงไม่ไหว เดิมจะเริ่มใช้เทศกาลปีใหม่ ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่บังเอิญเกิดการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาครเสียก่อน
“การแพร่ระบาด COVID-19 รอบหลัง เกิดกรณีที่คนปกปิด ไม่เปิดเผยข้อมูลการเดินทาง จึงคิดว่าแอพฯ หมอชนะน่าจะเอามาช่วยได้ ความจริงหมอทวีศิลป์ก็ทักท้วงว่า แอพฯ นี้ยังใหม่อย่าเพิ่งรีบใช้ ผมก็บอกว่าต่อให้ใหม่ก็ต้องใช้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ใช้สักที ผมยอมโดนด่า เพื่อให้มีเครื่องมือมาช่วยหมอในการสอบสวนโรค”
ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการ ศบค.ยังย้ำว่า ตนรู้แต่แรกแล้วว่า คนไทยทุกคนไม่ได้มีสมาร์ทโฟนที่จะโหลดแอพฯ หมอชนะไว้ในเครื่องได้ ซึ่งก็อาจจะใช้การจดไว้ในกระดาษทดแทนกันไป และยืนยันว่า ใครที่ไม่ได้โหลดแอพฯ คงไม่มีโทษถึงขั้นจำคุก สูงสุดก็อาจจะแค่ปรับ
ส่วนข้อเสนอให้ ศบค.ปรับปรุงการสื่อสารให้ออกมาเป็น single message หรือสื่อสารไปในทางเดียวกัน พล.อ.ณัฐพลบอกว่า มันมีเหตุผลที่ทำให้ทำไม่ได้อยู่ แต่ขออนุญาตไม่พูดในที่สาธารณะ
การประชุมระหว่าง ศบค.กับทีมงาน และตัวแทนสื่อฯ ดังกล่าว ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง โดยก่อนแยกย้ายมีข้อเสนอจากฝ่ายสื่อว่า หลัง ศบค.ได้รับฟีดแบ็กและนำกลับไปทบทวนตัวเอง ก็ควรจะกลับมาบอกด้วยว่าจะปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานอย่างไรบ้าง ‘ที่เป็นรูปธรรม’
เพราะนี่คือวิกฤตระดับชาติ ที่การสื่อสารให้คนทั้งประเทศเข้าใจว่า ภาครัฐกำลังทำอะไรอยู่ จะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างไร จะขอความร่วมมืออะไร เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น
วิกฤต COVID-19 ไม่ควรจะวิกฤตซ้ำ ด้วยปัญหาในการสื่อสาร ที่ไม่มีเอกภาพและไม่มีประสิทธิภาพ
[ หมายเหตุ: การประชุมระหว่าง ศบค.กับตัวแทนสื่อฯ มีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ.2564 ระหว่างเวลา 13.30-15.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ]