แก๊สน้ำตาตกหน้าบ้าน กระสุนยางยิงขึ้นแฟลต เสียงประทัดดังต่อเนื่อง
พักหลังมานี้อาจพูดได้ว่า ‘ชาวดินแดง’ เผชิญกับสิ่งเหล่านี้ชนิดวันเว้นวัน แต่เจอประจำ ไม่ได้หมายความว่าพอใจ เจอทุกวัน ไม่ได้แปลว่าจะเห็นด้วย และเจออยู่ตลอด ไม่ได้หมายความว่าพวกเขายอมรับ และไม่มีสิทธิได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าบ้านของตนเอง
The MATTER ลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง พวกเขามองอย่างไรกับการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ในระยะหลัง ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และเรียกร้องอะไรจากทั้งสองฝ่าย
แฟลตดินแดง
ระหว่างการสลายชุมนุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนชั้น 3 อาคารหลังแรกของแฟลตดินแดง ได้ถูกกระสุนยางยิงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ยิงเข้าที่บริเวณใบหน้าฝั่งขวา เกิดเป็นรอยช้ำสีม่วง ทิ้งแผลปวดบวมไว้แทนของที่ระลึก
ชายคนดังกล่าวคือ ยงยุทธ ขาวสุวรรณ อายุ 55 ปี อาชีพลูกจ้างบริษัท ยงยุทธเล่าว่าวันนั้น เวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนได้กระชับพื้นที่จนมาถึงหน้าบริเวณแฟลตดินแดง โดยระหว่างนั้นยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่คอยปาประทัดและยิงพลุไฟใส่เจ้าหน้าที่ และชาวบ้านบางคนในแฟลตดินแดงเอง ก็ปาข้าวของลงใส่เจ้าหน้าที่เช่นกัน แต่สำหรับยงยุทธ เขาเพียงออกไปริมระเบียงแล้วตะโกนว่า
“อย่ายิง (แก๊สน้ำตา) ข้างในมีเด็ก” เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่เคยยิงแก๊สน้ำตาอย่างไรทิศทาง จนมาตกในบริเวณแฟลตดินแดงมาแล้ว
สิ้นสุดเสียงของยงยุทธ เสียงที่ตามมาคือกระสุนยางที่แหวกอากาศมากระทบกับใบหน้าของเขา แต่ในตอนนั้น ความเจ็บกายยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บใจ เขาตะโกนสวนไปว่า “คุณยิงผมทำไม ถ้าเป็นคุณโดนบ้างจะว่าไง ?” ก่อนต้องก้มหลบแสงจากไฟฉายของเจ้าหน้าที่ และกลับเข้าไปในบ้านให้ลูกสาวทำแผลให้
ยงยุทธเล่าว่า ในตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บมากนัก แต่รอยจากกระสุนยางก็ทำให้เลือดไหลออกมาเล็กน้อย และทิ้งรอยฟกช้ำบริเวณใบหน้า จนเขาต้องตัดสินใจลางานในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากอากาารปวดที่ตามมาภายหลัง
“มันไม่เจ็บมาก แต่มันบวม บวมเป็นภูเขา แต่ผมคิดว่ามันไม่ถึงกับกระดูกแตกเลยไม่อยากไปโรงพยาบาล”
“ผมคิดว่าพวกที่ประท้วงก็มีอารมณ์หนึ่ง ตำรวจก็ทำหน้าที่ของเขา เวลาเขายิงแก๊สบางทีก็มาตกในรั้ว (แฟลตดินแดง) ตรงชั้นล่าง”
“ผมไม่อยากให้เจ้าหน้าที่รุนแรงแบบนี้ อย่างน้อยๆ ควรมีการคุยกับผู้ชุมนุม ที่ผ่านมานี่ ยิงกันไปมาอยู่แบบนี้ กลับไปกลับมา และถามว่าที่ยิงกันเนี่ย ควันมันไปไหน ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง หรือห้องผมเองก็มีเด็กตัวเล็ก ผมเจอภาวะแบบนี้ ได้กลิ่นสูดกลิ่น ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่มองถึงชาวบ้านบ้าง ประท้วงก็ประท้วงไป แต่เวลายิงก็มองบ้างว่ามันมีผลกระทบต่อใครบ้าง”
สำหรับข้อสังเกตถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยงยุทธชี้ไปที่รอยช้ำบริเวณใต้ตาของเขา ก่อนพูดว่า “ยิงใส่อย่างเดียว ไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร”
“อย่างน้อยๆ ตำรวจต้องแจ้งคนอยู่แฟลตหน่อย ‘ทางเจ้าหน้าที่จะทำมาตรการนี้ๆ’ แต่นี่เล่นยิงแบบนี้ ไม่รู้จะจบอย่างไร’”
เขากล่าวต่อว่า “ผมว่าเจ้าหน้าที่ควรเจรจามากกว่า และการคุย การปฏิบัติต่อประชาชนให้มันนิ่มนวลหน่อย ไม่ใช่จะยิงอย่างเดียว ยิงด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ สักแต่จะยิงใส่เข้าไปเหมือนเอามัน ตายๆ ผมอยากให้เขาคิดถึงจุดนี้ ความจำเป็นที่จะยิงอยู่ตรงไหน ยิงมากน้อย ตอนนี้โดนหมดคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่”
เมื่อถามว่าเขาิดอย่างไรกับการชุมนุมและข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เขากล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า “ผมอยากให้นายกฯ มองดูให้ดี ถึงเขาจะเรียกว่าเปลี่ยนม้ากลางศึกก็ตาม แต่ถ้าเราปล่อยอยู่แบบนี้ มันมีอะไรที่มันดูแล้วกระเตื้องขึ้นบ้าง”
“มันมีอยู่สองอย่าง ไม่ทรงก็ทรุด ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา เศรษฐกิจก็ไม่ดี ความเชื่อถือต่างประเทศก็ไม่มี”
ร้านของชำในถนนดินแดง 1
ในวันที่ 15 สิงหาคมเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนได้กระชับพื้นที่สาดกระสุนยางและยิงแก๊สน้ำตาเข้ามาในถนนดินแดง 1 หลังผู้ชุมนุมบางส่วนปาประทัดออกมาจากภายในซอย พี่เอี่ยม (นามสมมุติ) เจ้าของร้านของชำในซอยดังกล่าวซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าของบ้านที่แก๊สน้ำตาตกมาบริเวณหน้าบ้านเล่าว่า เธอวิ่งหนีไปหลบอยู่ที่โคนต้นโพธิ์กลางซอย และตะโกนหาเจ้าหน้าที่ว่า
“พี่ตะโกนออกไปว่ายิงมาทำไม มีอะไรทำไมไม่คุยกัน นี่มันที่ชุมชนยิงมาแบบนี้ได้ไง”
“ยิง (แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง) เข้ามาแบบนี้ บ้านเขามีทั้งลูกเล็กเด็กแดงกัน ยิงเข้ามาได้ไง บ้านอีกหลัง (ชี้ไปฝั่งตรงข้าม) แก๊สน้ำตาลอยมาตกที่หลังคาบ้านเขา”
เธอเล่าถึงผลกระทบที่เธอได้รับมาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งมีการนัดชุมนุมและเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องว่า “มันโดน (แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง) ตลอดอะ มันโดนมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมแล้ว วันที่ 7 ก็มาโดนอีก วันที่ 10 ก็มาโดนอีก”
เธอเล่าว่าเทียบกับปี 2553 ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีการแจ้งเตือนชาวบ้านก่อนทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้ หลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปและเน้นความรุนแรงมากขึ้น
“ทุกทีตั้งแต่ปี 53 เขาไม่เคยทำแบบนี่ เขาเดินเข้ามาบอกก่อนตลอด แต่รัฐบาลนี้มันรุนแรง มันสั่งยิงเลยๆ อย่างเดียว”
“มันทำเกินไป คุณเข้ามาถามมาตรวจก่อนสิ ไม่ใช่มาถึงยิงเอาๆ เด็กมันเห็นกระสุนมันก็หนีแล้ว มันก็เหลือแต่ชาวบ้าน แล้วถามหน่อยเสียงดังตู้มต้ามใครไม่ออกมาดูล่ะ จะให้ไล่เข้าบ้านได้ไง แก๊สมันก็ลอยเข้ามาในบ้านอีก”
พี่เอี่ยมเล่าต่อว่า เธออยากให้เจ้าหน้าที่เน้นวิธีพูดคุยเจรจามากกว่านี้ แต่ดูเหมือนทางเจ้าหน้าที่เองก็กระอักกระอ่วนใจและไม่สามารถตอบคำถามเธอได้เต็มปากเต็มคำนัก
“เมื่อวานเจ้าหน้าที่เข้ามาพี่ก็พูด พวกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ไม่คุยกันหรอ จะยิงแบบนี้อย่างเดียวได้ไง เข้าใจอยู่พวกคุณเขาสั่งมา แล้วนายกฯ ล่ะไม่คุยหรอ”
“ไม่คุยก็ดีเหมือนกัน เอาไปเลย ไหนๆ ก็ทำมาหากินไม่ได้แล้ว ยิงกันเข้าไปเลย นี่ยังไอไม่หายเลย” เธอประชด
สำหรับมุมมองของเธอต่อข้อเสนอของผู้ชุมนุม เธอตอบกลับมาอย่างทันควันว่า “7 ปีที่ผ่านมาพี่ไม่เคยชอบเลย ดูสิปฏิวัติมาบอกจะจัดระเบียบ ฉันอยากให้มาตรวจสอบดูโต๊ะบอล หวยฮานอย หวยลาว นั่งกากันโจ่งแจ้ง ทำไมประเทศอื่นเขาจัดการได้ ดูเราสิ และจะบอกไม่คอรัปชั่นหรอ มันจะรู้ได้ไง คุณไม่ให้ตรวจสอบ”
“และดูสิ ขึ้นภาษีบุหรี่ ทุกวันนี้เป็นไง ไม่ได้ขายบุหรี่ไทยแล้ว LM ของนอกซองละ 60 บาท บุหรี่ไทยซองละเป็นร้อย”
เธอทิ้งท้ายว่าคิดถึงพี่โทนี่ วูดซัม หรืออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เพราะเขาเป็นคนที่เก่ง ให้โอกาสและการศึกษาเยาวชน
“จะบอกว่าเขา (พล.อ.ประยุทธ์) ลงไปแล้วคนอื่นดีกว่า เราก็ไม่รู้เนอะ แต่มันต้องให้โอกาสเขาก่อน สุดๆ แล้วคือชอบทักษิณ (ชินวัตร) หัวก็ดี ช่วยคนจน ดูสิเด็กสมัยก่อน เรียนดีให้ทุนการศึกษาเรียนต่อ ทุกวันนี้อะไร ยึดทรัพย์อย่างเดียว ชิบหายไหมละ และใครมันอยากจะเรียน”
“แล้วฝากบอกหน่อย ออกกฎหมายใหม่ ให้เด็กอายุ 15 ปี เขาทำงานได้ เด็กมันจะได้ไม่ว่าง และอย่างงี้ เด็กมันก็ไม่มีงานทำ มันก็เพ่นพ่าน แง๊นอยู่แบบนี้ ให้เขาทำงานสิ” เธอทิ้งท้าย
ร้านอาหารตามสั่ง ในถนนดินแดง 1
ตรงข้ามร้านของชำของพี่เอี่ยม มีร้านอาหารตามสั่งร้านนึงตั้งอยู่ มันเป็นร้านที่อยู่ใกล้กับจุดที่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาลงมาใส่หลังคาบ้านภายในซอย หนึ่ง (นามสมมุติ) หนุ่มวัยรุ่นอายุ 17 ปี ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งนักเรียนระบบออนไลน์ พ่อครัวประจำของร้าน และญาติของเจ้าของร้านแสดงความเห็นถึงการสลายชุมนุมว่า
“ผมรู้ว่าตำรวจทำตามหน้าที่ แต่เขาทำเกินไปหรือเปล่า? อย่างวันก่อนเขายิงแก๊สน้ำตาเข้าบ้านพี่ผม (ชี้ไปบ้านข้างๆ) และมันโดนตรงป้าย พี่ชายผมกลัวมันไหม้บ้านก็เลยไปคุยกับเขา เขา (เจ้าหน้าที่) บอกว่าคุณก็ไปฟ้องดิ แต่จะให้ฟ้องใคร ฟ้องอย่างไรล่ะ พวกคุณเป็นพวกเดียวกันหมด”
“และเขายังพูดต่ออีกว่าถ้า 3 ทุ่มไม่เข้าบ้าน ผมจับคุณนะครับ มันเลยเวลาเคอร์ฟิว แต่พวกผมก็อยู่ในบ้านกันอยู่แล้ว เขาพูดแล้วก็เอากระบองชี้หน้าหมดเลย มันขู่กันเกินไปหรือเปล่าแบบนี้”
และในฐานะร้านอาหาร การสลายชุมนุม โดยเฉพาะจากแก๊สน้ำตา หลายครั้งกระทบต่อการทำตามออเดอร์ของลูกค้า จนบางครั้งต้องแคนเซิลลูกค้าไปก็มี
“ร้านเป็นร้านอาหาร พอแก๊สน้ำตามาบางทีก็ต้องหลบ ลืมปิดแก๊สบ้าง บางทีกะทะไหม้ ส่งข้าวให้ลูกค้าช้าอีก ยิ่งวันที่ 10 สิงหาคมอะหนักเลย แก๊สน้ำตามาจากไหนไม่รู้ เข้ามาตกหลังบ้านผม สุดท้าย ต้องแคนเซิลไปสองออเดอร์เลย”
“มันทำเกิน (เน้นเสียง) ไปนะพี่ ก่อนหน้านี้ก็ยิงลงมาจากทางด่วน เข้าตาไฮโซลูกนัท (ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย) ไปแล้ว อะไรแบบนี้ มันต้องมีคนรับผิดชอบนะพี่ แต่จะให้ไปฟ้องได้ไง มันก็พวกเดียวกันหมด” ถึงแม้เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่มันก็เป็นความคิดเห็นที่สะท้อนความสิ้นหวังต่อระบบตุลาการของประเทศนี้ได้ดี
เขากล่าวต่อถึงทิศทางการชุมนุมและข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมว่า โดยส่วนตัวเขามองว่าการชุมนุมไม่ได้รุนแรงด้วยตัวมันเอง แต่เป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ ที่กลายเป็นชนวนให้การปะทะเกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่มีการชุมนุม
“ถ้าเขา (พล.อ.ประยุทธ์) ยอมออกก็จบ ถ้าตำรวจไม่ปะทะมันก็จบ ให้เขาเดินไปบ้าน (กรมทหารราบที่ 1) ก็จบ เพราะเขาก็บอกอยู่ว่าแค่ตั้งใจเดินไปคุย”
“มันมีบางกลุ่มที่ใจร้อนจริง แต่ถ้าปล่อยให้เดินไปผมว่าก็จะไม่มีปัญหากันแล้ว คือสุดท้ายผมว่าเจ้าหน้าที่แหละ ที่กลายเป็นชนวนให้ปะทะกัน ซึ่งประชาชนไม่มีอะไรเลย มีแค่หนังสติ๊ก แต่เขามีกระสุนยาง”
เขาทิ้งท้ายในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งว่า ตอนนี้เขาติด 0 อยู่เกือบ 20 ตัว ซึ่งส่วนหนึ่งยอมรับว่าเป็นเพราะเขาไม่ตั้งใจเรียน แต่อีกส่วนหนึ่งคือเขาไม่ชอบการเรียนออนไลน์ และปัญหา COVID-19 ทำให้เขาไปโรงเรียนเพื่อแก้ตัวที่ติดไม่ได้
“ตั้งแต่มี COVID-19 มานี่ ผมติด 18 ตัวยังไม่ได้แก้เลย คือผมยอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กเรียน แต่ปัญหาคือผมอยากไปแก้ แต่มันแก้ไม่ได้ และผมก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าแล้ว ผมก็อยากให้มันจบ”
“ผมอยากกลับไปเรียน เรียนออนไลน์ไม่รู้เรื่องเลย ผมเลยเข้าแค่อาทิตย์แรก แล้วก็ไม่เข้าอีกเลย เพราะมันเรียนไม่รู้เรื่อง”
ก่อนจากกัน เขาแสดงความเห็นถึงช่วงเวลาครองอำนาจตลอด 7 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช. ว่า “ 7 ปีที่ผ่านมา ผมไม่มีความสุขเลย พอเขาเข้ามาเหมือนเป็นเกาหลีเหนือเลย เขาคุมประเทศเลย เราทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง สงกรานต์ก็ไม่ได้เลยมาสองปีแล้ว จะไปเล่นดนตรีร้านเหล้าก็ไปไม่ได้ ร้านปิดหมดอีก”
ซอยบุญอยู่
“อยู่ตรงนี้มันโดนอยู่แล้ว เมื่อคืนผมเดินมาเห็นเลเซอร์ส่องมา สักพักยิงมาตกสองลูก (แก๊สน้ำตา) เลย ไม่ได้มีการแจ้งบอกอะไรเลย”
พี่ยอด (นามสมมุติ) หนึ่งในวินมอเตอร์ไซค์ที่มีคิวอยู่หน้าซอยบุญอยู่ ซึ่งห่างจากจุดปะทะที่แยกดินแดงมาไม่ถึง 300 เมตร มองว่าการสลายชุมนุมของเจ้าหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมารุนแรงเกินไป ไม่ยึดหลักสากล และไม่มีมาตรฐาน
“ผมพูดไม่ถูก มันรุนแรงไป อย่างเมื่อวานนี้ (15 สิงหาคม) หลังที่เต๊นท์เขามา (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เด็กเขากำลังจะกลับกันแล้ว ก็เอาน้ำฉีดลงมา พอถึงสองทุ่มกระสุนยางก็มาเลย ยิงตลอด”
“ผมว่ามันเกินไป ไม่ชอบใจที่เจ้าหน้าที่ยิงแต่หัวอย่างเดียวเลย เมื่อวานนี้ (15 สิงหาคม) คนพันแผลที่หัวอย่างเดียวเลย ทั้งที่ตามหลัก มันต้องยิงต่ำจากหน้าอกลงไป แต่นี่ยิงหัวอย่างเดียวเลย”
เขายอมรับว่าตนเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมทุกข้อ โดยเฉพาะในเรื่องการนำวัคซีนที่มีคุณภาพเข้ามาแทนวัคซีนจากประเทศจีน เพราะตัวเขาเองก็รับอีกหน้าที่หนึ่ง เป็นอาสาคอยรับส่งผู้ป่วย COVID-19
“เขาควรจะให้วัคซีนดีๆ กับพวกแนวหน้า หมอ พยาบาล อาสาที่ไปรับคนไข้ ไม่อย่างงั้นก็ติดกันหมด แล้วใครจะมาดูแลคนป่วยล่ะ”
เขากล่าวถึงอีกสองข้อเสนอของผู้ชุมนุมที่ว่า ให้นายกฯ ลาออก และให้มีการปรับลดงบประมาณกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ระหว่างคนคนเดียวกับคนทั้งประเทศ เราควรให้น้ำหนักกับใครมากกว่ากัน
“มันก็เหมือนๆ กับทุกทีอะ คนคนเดียวกับคนทั้งประเทศ และพี่ล่ะครับคิดอย่างไร นักข่าว?”
“ปฏิรูปกับล้มล้างมันคนละอย่างกัน ปฏิรูปคืออยากให้สถาบันอยู่สูงกว่านี้ อยากให้มันดีขึ้น นานาชาติเขาจะได้ยกย่องสถาบันเราทั่วโลก แต่บางคนเอาไปกลับคำ ทำให้เข้าใจผิดกันไปหมด”
“ผมอยากให้นายกฯ ฟังประชาชนหน่อย ไม่ใช่ฟังแค่คนคนเดียว แค่นั้นแหละครับ” เขาทิ้งท้าย
Photograph By Channarong Aueudomchote
Ilustrator By Kodchakorn Thammachart