ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ ก็ปรากฏตัวอยู่แทบทุกมิติของสังคม แม้กระทั่งในไทย ซึ่งเราอาจไม่คุ้นชินกับการมีอยู่ของพวกเขาในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ หากแต่พวกเขายังคงมีอยู่ในสังคมไทยเรามาอย่างช้านานเช่นกัน
Shine The Series (2025) คือหนึ่งในซีรีส์ของไทยที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่า LGBTQ+ ในช่วงยุค 60 ของไทย อันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง รวมถึงการต่อสู้ทางอุดมการณ์ในสังคม ตัวซีรีส์จึงว่าด้วยเรื่องราวของ การค้นหาตนเองของนักเศรษฐศาสตร์หนุ่ม ‘ตฤณ’ (รับบทโดย อาโป—ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) ผู้มีปมในใจจากอดีตแสนเจ็บปวด จนได้มาเจอกับ ‘ธันวา’ (รับบทโดย มาย—ภาคภูมิ ร่มไทรทอง) หนุ่มฮิปปี้ ผู้ทำให้ชายหนุ่มต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสนเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของ ‘ณรัน’ (รับบทโดย ยูโร—ยศวรรธน์ ทะวาปี) นักข่าวสายลุยผู้พยายามเปิดโปงความดำมืดของรัฐบาล จนนำพาให้ไปพบกับ ‘ไกรเลิศ’ (รับบทโดย สน—ยุกต์ ส่งไพศาล) นายทหารระดับสูงผู้ต้องเก็บซ่อนความลับเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเอง ทั้งคู่จึงเปรียบเสมือนการเผชิญหน้ากันระหว่างสองขั้วอำนาจทางอุดมการณ์แห่งยุค 60s

หากใครได้รับชมซีรีส์กันไปแล้ว ก็คงเห็นถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในช่วงยุค 60s (ราวๆ ทศวรรษ 2510) ของไทย ซึ่งนับเป็นอีกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของเหล่า LGBTQ+ ที่ต้องเผชิญกับความตึงเครียดและการถูกตีตรา อันเป็นผลพวงมาจากแนวคิดของสังคมในสมัยนั้น จนทำให้หลายคนต้องหลบๆ ซ่อนๆ และปิดบังตัวตนไม่ให้ใครรับรู้ เฉกเช่นตัวละครไกรเลิศในซีรีส์
แม้กระทั่งโลกฝั่งตะวันตกที่ขึ้นชื่อเรื่องสิทธิและเสรีภาพ ก็ยังคงไม่มอบพื้นที่ให้แก่ LGBTQ+ พร้อมมองว่าพวกเขาคือความผิดแปลกและความแตกต่างจากชายหญิงทั่วไปในสังคม บ้างก็ถึงขั้นแปะป้ายให้พวกเขาเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช หรือมองว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นคือโรคร้ายอันไร้ทางรักษา
ภาพของการขีดเส้นแบ่งความสามัญธรรมดากับการผิดแผกแตกแยกนี้ ปรากฏขึ้นโดยทั่วไปแทบทุกสังคมในอดีต ทั้งนี้ ถ้าต้องเจาะจงทุกพื้นที่และช่วงเวลา นี่ก็อาจเป็นมหากาพย์ที่หาทางจบได้ยาก The MATTER จึงขอหยิบประวัติศาสตร์ LGBTQ+ ตั้งแต่ปี 2500-2520 มาเล่าในครั้งนี้ เพราะนอกจากจะคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาในซีรีส์แล้ว ยังถือเป็นยุคที่จะทำให้เราได้เห็นถึงการกดทับกลุ่มคนเหล่านี้จากสังคมได้อย่างชัดเจนด้วย
ทศวรรษ 2500 กับยุคสมัยแห่งความสงบเรียบร้อย (?)
ถ้าจะหาจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ให้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาในซีรีส์มากที่สุด ก็อาจต้องมาเริ่มกันที่ทศวรรษ 2500 อันเป็นหมุดหมายสำคัญ สำหรับการไปพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมไทยในแทบทุกแง่มุม และมันก็ได้กระทบต่อการมีอยู่ของบรรดา LGBTQ+ ในสังคมด้วยเช่นกัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2500 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารอย่างเต็มตัว โดยพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารจอมพล ป. พิบูลสงคราม พร้อมนำตัวเองขึ้นสู่อำนาจปกครองประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ของไทย ก่อเป็นความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มาตรการรุนแรงในทางการเมือง รวมถึงการนำเอาความคิดแบบอเมริกันเข้ามาภายในประเทศ ซึ่งนำไปสู่สถานภาพของกลุ่มผู้มีความหลากหลายในเวลาต่อมา
โดยหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ถูกนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานี้ คือองค์ความรู้ทางการเแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ทางการแพทย์แผนตะวันตก ตลอดจนความช่วยเหลือด้านทุนทางการแพทย์ และแนวคิดเกี่ยวกับการมองว่า ‘พฤติกรรมรักร่วมเพศ’ เป็นอาการป่วยทางจิตเวชชนิดหนึ่งก็ได้เข้ามาสู่สังคมไทยในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน
งานศึกษาในเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชายรักร่วมเพศ ของ เทอดศักดิ์ ร่มจำปา ได้อธิบายถึงสถานการณ์ของ LGBTQ+ ในสังคมไทยช่วงทศวรรษ 2500 เอาไว้ว่า การรับรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศนี้ มาพร้อมกับธุรกิจการขายบริการทางเพศให้แก่ชาวต่างชาติ ซึ่งไม่ได้มีเพียงผู้หญิงที่ประกอบอาชีพนี้เท่านั้น หากแต่ยังมีกลุ่มคนที่สังคมเรียกพวกเขาว่า ‘กะเทย’ ทำอาชีพนี้ด้วย
แม้กะเทยจะประกอบอาชีพเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิง แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติที่แตกต่างออกไป เพราะในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ได้มีการสั่งการให้ตำรวจคอยตรวจตรา และกวาดจับกะเทยที่ขายบริการทางเพศ อย่างในปี 2504 มีเหตุการณ์การกวาดจับกะเทยผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ และคุมขังพวกเขาไว้ที่เรือนจำบางขวาง พร้อมด้วยการตรวจสอบทางการแพทย์ และวินิจฉัยว่าพวกเขามีอาการผิดปกติทางจิต ตลอดจนนำเสนอต่อสังคมว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวก ‘ลักเพศ’

สถานการณ์ของกลุ่มคนที่เป็นชายรักร่วมเพศ หรือที่ปัจจุบันเรานิยามพวกเขาว่า ‘เกย์’ เองก็ประสบกับสถานการณ์ความยากลำบากในการใช้ชีวิตไม่แตกต่างกัน งานศึกษาของเทอดศักดิ์ ร่มจำปา และอีกหลายชิ้น ซึ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสังคมของเกย์เป็นส่วนใหญ่ ต่างชี้ให้เห็นว่า ‘ผู้คนที่เป็นชายรักร่วมเพศ’ ไม่สามารถแสดงออกหรือเปิดเผยตัวตนได้ ทว่าพวกเขามีการก่อตัวเป็นชุมชนขึ้นมาอย่างลับๆ ตามสถานประกอบการต่างๆ เช่น บาร์ ซาวน่า หรือสถานเริงรมย์
อย่างไรก็ตาม แม้สังคมอาจรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา แต่นั่นไม่ได้ถึงพวกเขาจะได้รับการยอมรับ เพราะแนวคิดที่ผูกโยงอัตลักษณ์ทางเพศและอาการป่วยทางจิตเวช ยังคงเป็นความคิดกระแสหลักของสังคมในช่วงยุค 2500 ทำให้ภาพรวมของเกย์ จึงไม่ต่างกับกลุ่มคนที่สังคมเรียกว่ากะเทย โดยผู้คนยังคงมองกลุ่มคนรักร่วมเพศแตกนี้ต่างจากผู้คนทั่วไป ตลอดจนแสดงออกถึงความเกลียดชังและตีตราคนเหล่านี้ด้วย
อย่างในสื่อสิ่งพิมพ์ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ในช่วงเวลานั้น ได้ใช้คำว่า ‘เกย์’ ในการกล่าวถึงกลุ่มคนที่ค้าบริการทางเพศ จากกรณีคดีฆาตกรรมดาร์เรล เบอร์ริแกน (Darrell Berrigan) บรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ ซึ่งตำรวจได้มุ่งเน้นไปที่ประเด็นเกี่ยวกับการค้าบริการทางเพศ สื่อหลายแห่งจึงประโคมข่าวและนำเสนอนิยามของคำว่าเกย์ออกมาในเชิงลบ จึงทำให้การเป็นเกย์จะยังคงถูกปกปิดและอยู่ในมุมลับของสังคมต่อไป
ส่วนกลุ่มหญิงรักร่วมเพศในสังคมไทย แม้จะมีงานศึกษาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหญิงรักร่วมเพศในไทยไม่มากนัก เมื่อเทียบกับเกย์หรือกะเทย แต่ก็ยังมีงานศึกษาอยู่หลายแห่งที่กล่าวถึงคนกลุ่มนี้ เช่น งานศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนหรือผ้หญิงรักเพศเดียวกันในตะวันตกและเอเชีย ของ อาทิตยา อาษา และ สุกฤตยา จักรปิง ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงทศวรรษ 2500 แนวคิดเรื่องเพศแบบตะวันตกที่กล่าวข้างต้นมีอิทธิพลอย่างมากในสังคมไทย รวมถึงกลุ่มหญิงรักร่วมเพศด้วยเช่นกัน อาจมีการจำแนกพฤติกรรมของหญิงรักหญิงที่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปบ้าง เช่น แต่งตัวมาดแมน มีท่าทางห้าวหาญเหมือนผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นสังคมไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้คำว่า ‘กะเทย’ ในการเรียกทั้งชายและหญิงรักร่วมเพศ
จากข้อมูลศึกษาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าสังคมไทยในยุค 2500 อันขึ้นชื่อเรื่องความสงบสุบภายใต้รัฐบาลเผด็จการนี้ กลับไม่ได้สงบอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็นฉากหน้าที่ปิดบังสถานการณ์อันตึงเครียดเอาไว้เบื้องหลัง สถานการณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ ในช่วงเวลานั้น ก็ต้องเผชิญทั้งการถูกตีตราและความเกลียดชังจากผู้คนในสังคม อันเป็นผลพวงจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
ทศวรรษ 2510 กับยุคสมัยที่ผู้คนเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของ LGBTQ+
มาสู่ทศวรรษ 2510 อันเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์ต่างๆ ภายใน Shine The Series เกิดขึ้น ซึ่งแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาจากทศวรรษก่อนหน้ามาเพียงเล็กน้อย ทว่ากลับมีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นในแทบทุกภาคส่วนของสังคม
มาดูกันที่สภาพสังคมในยุคนี้กันก่อน โดยหลังจากที่ พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม ควันหลงเผด็จการทหารก็ไม่ได้จางหายไปไหน เพราะ จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกสฤษดิ์ ซึ่งแม้จะได้รับมรดกตกทอดทางอำนาจหลายๆ อย่างมาจากยุคก่อนหน้า แต่ยุคสมัยก็ดันเปลี่ยนไป และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงยุค 1960s ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมที่ไม่มั่นคงเท่าเมื่อก่อน ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกว่า รัฐบาลทหารไม่มีประสิทธิภาพพอจะสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของพวกเขาได้ นำไปสู่การแบ่งแยกและตีกันทางอุดมการณ์ความคิด หลายฝ่ายในสังคมต้องการความเสรีมากขึ้น

ภาพของ LGBTQ+ ในช่วงนี้เองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน กลุ่มคนรักร่วมเพศ เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสังคม และผู้คนเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขามากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนปรากฏชัดเจนผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อันถือเป็นเป็นสื่อกระแสหลักของสังคมในยุคนั้น โดยเทอดศักดิ์ ร่มจำปาก็ได้นำเสนอเกี่ยวกับตัวอย่างของข่าวในสื่อสิ่งพิพม์เอาไว้ในงานศึกษาของตนเช่นกัน อย่างในปี 2515 มีการนำเสนอข่าวความก้าวหน้าการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงกลายเป็นชาย และภาพข่าวสมรสระหว่างชายกับชาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นิยามคำว่า ‘เกย์’ ในยุคสมัยนี้ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหมายถึงคนกลุ่มไหนในสังคม หากแต่ยังมีการใช้ปนๆ กับคำว่ากะเทย สำหรับพูดถึงกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมเป็นชายรักร่วมเพศในบางครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ได้มีการพยายามสร้างคำนิยามและแบ่งประเภทของชายรักร่วมเพศให้ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน อย่าง ในคอลัมน์เกี่ยวกับเกย์ของ ‘โก๋ ปากน้ำ’ (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2518) มีการใช้บทบาททางเพศมาเป็นกำหนด ด้วยการใช้คำว่า ‘เกย์คิง’ และ ‘เกย์ควีน’ เป็นต้น
ในส่วนสถานการณ์ของเกย์ในช่วงเวลานี้ พวกเขามีตัวตนและผู้คนก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขามากขึ้น แต่ไม่ได้ถึงขั้นยอมรับและเปิดพื้นที่สาธารณะให้พวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขายังปรากฏตัวในพื้นที่เฉพาะ เช่น สถานบันเทิงสำหรับเกย์ หรือกระทั่งนิตยสารสำหรับเกย์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่สำคัญที่ค่อยๆ ผลักดันพื้นที่เกย์ให้สังคมได้เห็นในวงกว้างมากขึ้นในเวลาต่อมาด้วย
ส่วนกลุ่มคนผู้เป็นหญิงรักหญิง สถานการณ์ของพวกเธอเองก็คล้ายคลึงกับสถานการณ์ของเกย์และกะเทย ผู้คนเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนเหล่านี้ มีพื้นที่ปรากฏผ่านสื่อบ้างประปราย แต่จะเริ่มมีการนิยามคำศัพท์มาใช้เรียกชัดเจนมากขึ้น อย่างการใช้คำว่า ทอมบอย’ ในการเรียกผู้หญิงวัยรุ่นที่แต่งกายแบบผู้ชาย และเรียก ‘ดี้’ (มาจากคำว่าเลดี้) ในการอ้างถึงคนรักของทอม จนทำให้คำว่า ‘ทอมดี้’ เริ่มแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้นในช่วงทศวรรษนี้นั่นเอง
ท้ายสุดแล้ว เรื่องราวของเหล่า LGBTQ+ ใน 2 ทศวรรษนี้ จึงถือเป็นภาพสะท้อนสำคัญของประวัติศาสตร์ LGBTQ+ ในสังคมไทย อันเต็มไปด้วยยุคสมัยแห่งการตีตรา แปะปาย และกีดกันกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ให้มีพื้นที่มากพอในสังคมไทย
ซึ่งสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษนี้ ก็ได้บ่มเพาะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้ลุกขึ้นต่อสู้และเรียกร้องถึงพื้นที่ที่ควรมีของพวกเขาในยุคถัดๆ ไปมากขึ้น จนกลายมาเป็นสิทธิและเสรีภาพอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน
เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย ประเทศไทยไม่เคยมีแค่ 2 เพศ
อ้างอิงจาก
knowledge-center.museumsiam.org