ในอดีตการเป็น LGBTQ+ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกยอมรับในสังคม ทำให้พวกเขามักโดนแปะป้าย กลั่นแกล้ง และดูถูกเหยียดหยาม ราวกับสิ่งที่พวกเขาเป็นคือความผิดบาป ถึงอย่างนั้นความรุนแรงของความเกลียดชังนี้ ก็ทำให้ยุคหนึ่งการเป็น LGBTQ+ เป็นความผิดทางกฎหมายขั้นรุนแรงเลยทีเดียว
เหมือนกับใน Boots (2025) ซีรีส์ดราม่าคอมเมดี้ และ coming of age ว่าด้วยเรื่องราวของ คาเมรอน โคป (รับบทโดย ไมลส์ ไฮเซอร์) เกย์หนุ่มวัยกระเตาะ ผู้ถูกสังคมกลั่นแกล้ง จนต้องปลีกตัวแยกออกมาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อโคปตัดสินใจเข้าร่วมหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ร่วมกับเพื่อนสนิทของเขาอย่าง เรย์ แม็กอัฟฟีย์ (รับบทโดย เลียม โอ) ซึ่งโคปหวังให้การเข้าร่วมกองทัพครั้งนี้ จะนำพาความเปลี่ยนแปลง และสิ่งใหม่ๆ มาสู่ชีวิตของเขาเอง

*เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของซีรีส์ Boots*
กดข่มความเป็นเกย์
สำหรับคนที่ถูกกลั่นแกล้งมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในกองทัพก็ย่อมหวาดกลัว และตื่นตระหนกเป็นธรรมดา การฝึกฝนสุดเข้มข้น เสียงคำรามจากครูฝึกหรือการเผชิญหน้ากับเหล่าชายชาตรีแสนดิบเถื่อน ผู้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โคปต้องมายืนอยู่ในจุดนี้ การจะอยู่รอดไปจวบจนวันสิ้นสุดการฝึกได้จึงยากเกินกว่าที่ตัวโคปจะจินตนาการ
หนำซ้ำการต้องเก็บซ่อนความเป็นเกย์เอาไว้ในเบื้องลึกของจิตใจก็ยิ่งเป็นเรื่องท้าทายในค่ายทหารแห่งนี้ เพราะนอกจากการข่มตัวตนไม่ให้แสดงออกเกินไปแล้วการต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้ชายนับร้อยตลอดทั้งวันทั้งคืน ก็ยิ่งกระตุ้นตัวตนความเป็นเกย์ของโคปขึ้นมา ทำให้ตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นโคปที่พยายามหาวิธีที่ต่างๆ นานา มาควบคุมและกดตัวตนเกย์ของตัวเองลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมประกอบสร้างตัวตนชายแท้ขึ้นมาเป็นฉากหน้าให้กลมกลืนไปกับที่แห่งนี้
ทั้งการฝึกและการซ่อนตัวตนถูกดำเนินไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกของเรื่อง เราจะได้เห็นความอีหลุกขลุกขลัก เพราะไม่เป็นตัวเองของโคป ตลอดจนความพยายามอย่างมากในการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งทัดเทียมกับเหล่าชายชาตรีในกองร้อย จนทำเอาผู้ชมอย่างเราอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้ตัวละครเอกของเราก้าวข้ามและแข็งแกร่งขึ้นให้ได้

กระนั้นก็เหมือนตัวซีรีส์จะเห็นว่าผู้ชมเริ่มส่งกำลังใจให้โคปกันอย่างเต็มที่ เลยยิ่งกลั่นแกล้งตัวละครตัวนี้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการส่ง จ่าสิบเอก เลียม โรเบิร์ต ซัลลิแวน (รับบทโดย แม็กซ์ พาร์คเกอร์) ครูฝึกขาโหดจากเกาะกวม มาร่วมจัดหนักให้กับโคปแบบไม่ยั้งมือ ทั้งการจับตาดูโคปเป็นพิเศษ การมอบภารกิจพิเศษให้ทำ หรือการลงโทษเจ้าตัวอย่างหนักหน่วง เชื่อว่าใครที่ชมมาถึงตรงนี้ ก็คงรู้สึกสงสารโคป และแอบหมั่นไส้ครูฝึกคนนี้อยู่แน่นอน
แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ซัลลิแวน กลับกลายเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยพาตัวโคปก้าวข้ามอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะซัลลิแวนไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย เพียงแต่มองเห็นตัวเองวัยหนุ่มในตัวของโคป และอยากช่วยฝึกให้โคปแข็งแกร่งพอจะรับมือกับปัญหาที่จะตามมาอีกมากมายหลังจากนี้
นอกจากเรื่องของการปิดบังตัวตนความเป็นเกย์ในกองทัพ ซึ่งเป็นแก่นหลักของเรื่องแล้ว ยังมีพาร์ทของการเติบโตและมิตรภาพในค่ายที่สำคัญไม่แพ้กัน ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครโคป จากแต่เดิมที่เป็นคนเงียบๆ และขี้ระแวง โดยเฉพาะกับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นชายแท้รอบตัว ก็ได้เริ่มเปลี่ยนไป จนตัวเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกคน ผ่านสะพานเชื่อมที่เรียกว่า มิตรภาพ
จากเดิมที่ตัวโคปต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว บ่อยครั้งที่ต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ เพียงลำพัง ทว่ายิ่งตัวเลขตอนเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งเผยให้เห็นเพื่อนที่เข้ามาคอยช่วยเหลือ และช่วยให้โคปผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆ มากขึ้นตามไปด้วย
Boots จึงไม่ใช่ซีรีส์ที่นำเสนอเพียงแง่มุมของการปิดบังตัวตนความเป็นเกย์หรือการถูกกลั่นแกล้งในค่าย แต่ยังเป็นซีรีส์ที่ฉายภาพการเติบโตของตัวละครอย่างโคปให้ผู้ชมอย่างเราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร จากความหวาดกลัวที่เคยอยู่ในแววตา แปรเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ ที่นำพาให้โคปทะยานทะลุทุกอุปสรรคภายในเรื่องไปได้

The Pink Marine เรื่องจริงของการเป็นเกย์ในค่ายทหาร
เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลใน Boots ไม่ได้ถูกสร้างหรือแต่งขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด ทว่ามันเป็นส่วนหนึ่งจาก The Pink Marine (2016) หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของ เกร็ก โคป ไวท์ (Greg Cope White ) เกย์หนุ่มในวัย 18 ปี ผู้สมัครเข้ากองทัพพร้อมกับเพื่อนสนิท ในยุคที่การเป็นเกย์ในกองทัพยังคงเป็นเรื่องผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทำให้ตัวของไวท์ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันและความท้าทายมากมายภายในกองทัพ
ไวท์ให้สัมภาษณ์กับสื่อก่อนวันฉายซีรีส์ Boots รอบปฐมทัศน์เอาไว้ว่า ในค่ายทหารมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นแบบเดียวกับเขา แต่ทุกคนต้องเสแสร้งว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ พร้อมแสดงออกดั่งชายชาตรี เพราะทุกคนต่างก็หวาดกลัวที่จะถูกจับได้
ทว่าหัวใจสำคัญของ The Pink Marine ไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อสู้ดิ้นรนกับการยอมรับตัวเอง หรือการปิดบังตัวตนที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการตั้งคำถามต่อคำจัดกัดความเกี่ยวกับความเป็นชายแบบเดิมๆ ของสังคม ตลอดจนการค้นพบการยอมรับและมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ระหว่างที่ตัวของไวท์ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายฝึกนาวิกโยธินด้วย
ไวท์ไม่ได้ตั้งใจให้หนังสือเล่มนี้เป็นแค่บันทึกประสบการณ์ของตนเองเพียงอย่างเดียว เขาเผยให้เห็นว่า แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ตัวเขาอยากเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา คือช่วงหนึ่งเขาคยได้ยินข่าวเด็กวัยรุ่นหลายคนเลือกจบชีวิตตัวเองหลังจากการถูกกลั่นแกล้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาไม่ได้มีเพศสภาพเหมือนกับคนอื่นๆ ข่าวนี้ทำให้ตัวเขานึกย้อนถึงนรกในค่ายทหารที่เคยผ่านมา สาเหตุที่ตัวเขาผ่านพ้นมันมาได้ เพราะตัวเขาหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นในสักวันหนึ่ง ประกอบกับในยุคนั้น ไม่มีทั้งหนังสือหรือรายการโทรทัศน์ที่ช่วยปลอบประโลมคนแบบพวกเขาได้เลย ไวท์จึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนที่เป็นเหมือนกับเขา รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้อีกต่อไป
จากปิดบัง สู่วันเปิดเผย
หนึ่งในประเด็นหลักสำคัญจากทั้ง Boots และ The Pink Marine คือการนำเสนอภาพของการปิดบังความเป็นเกย์ เพราะเป็นเรื่องผิดกฏหมายอย่างรุนแรงในยุคสมัยนั้น สำหรับผู้ชมซีรีส์ก็คงได้เห็นภาพการตามล่าและการสอบสวนอย่างเข้มงวดหลังจากมีใครสักคนถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเกย์ในกองทัพไปแล้ว ซึ่งเป็นประเด็นที่เปิดประตูสู่โลกความเป็นจริงของเรา ว่าในทุกวันนี้สถานะทางกฎหมายของกลุ่ม LGBTQ+ มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง โดยครั้งนี้เราจะขอพูดถึงเฉพาะในสหรัฐฯ ตามปูมหลังของซีรีส์
แรกเริ่มเดิมที การเป็น LGBTQ+ ในกองทัพสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และมีการกีดกันกลุ่มคนเหล่านี้ออกจากการรับราชการทหารมาโดยตลอด ตัวอย่างเช่น ในปี 1963 มีการออกกฎระเบียบของกองทัพสหรัฐฯ หมายเลข 40-501 ที่ห้ามไม่ให้บุคคลข้ามเพศ (transgender) เข้ารับราชการ เนื่องจากมีความเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มี ‘ความผิดปกทางจิตใจ’ หรือในปี 1981 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งหมายเลข 1332.14 ซึ่งห้ามไม่ให้บุคคลที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันเข้ารับราชการในกองทัพ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน (Bill Clinton) ออกนโยบาย ‘Don’t ask, don’t tell’ ซึ่งห้ามไม่ให้บุคลากรทางทหารเลือกปฏิบัติหรือคุกคามสมาชิกหรือผู้สมัครทหารที่เป็น LGBTQ+ และในขณะเดียวกันก็ห้ามไม่ให้บุคคลผู้เป็น LGBTQ+ ทุกคนเปิดเผยตัวตนของตัวเองด้วย

ฟังดูเหมือน Don’t ask, don’t tell จะเป็นนโยบายที่ดี พร้อมเปิดกว้าง อ้าแขนรับทุกกลุ่มคน แต่หากมองให้ลึกลงไปนโยบายนี้กลับนำไปสู่ปัญหาเรื่องการแสดงออกถึงตัวตนและอัตลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ ในกองทัพ เนื่องจากการบังคับให้ต้องปิดบังตัวเองต่อไป ไม่ต่างอะไรกับช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะออกนโยบายนี้เลย
มิหนำซ้ำนโยบายดังกล่าว ยังนำไปสู่การปลดทหารผู้มีศักยภาพจำนวนมากด้วย โดยข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ระบุเอาว่า ระหว่างที่นโยบาย Don’t ask, don’t tell มีผลทางกฎหมาย มีทหารถูกปลดประจำการกว่า 13,472 นาย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะพวกเขาเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนและรสนิยมทางเพศ
ด้วยปัญหาด้านความไม่เท่าเทียมและการกีดกันกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้ในปี 2004 องค์กร Log Cabin Republicans (กลุ่มรีพับลิกันที่รณรงค์เพื่อความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ได้ยื่นฟ้องนโยบาย Don’t Ask, Don’t Tell โดยให้เหตุผลว่า นโยบายนี้ละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตราแรก ซึ่งคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก และ มาตราที่ 5 ซึ่งคุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
การเรียกร้องยังคงดำเนินเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2010 รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) ลงนามยกเลิกนโยบาย Don’t Ask, Don’t Tell ซึ่งมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2011 เป็นต้นไป พร้อมเปิดให้ เหล่าทหาร LGBTQ+ สามารถแสดงออกและรับราชการได้อย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลากหลายประเด็นเกี่ยวข้องกับสิทธิและผลประโยชน์ของกลุ่ม LGBTQ+ ในกองทัพที่ยังคงต้องเรียกร้องและต่อสู้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จาก The Pink Marine ถึง Boots สะท้อนให้เราเห็นว่า ในอดีตที่ผ่านมา มีกลุ่ม LGBTQ+ หลายคนต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในกองทัพ แม้ว่าพวกเขาจะมีจิตใจที่มุ่งมั่นต่อการรับใช้ชาติ ก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้อยู่ต่อในกองทัพ
การต่อสู้เพื่อสิทธิในการรับใช้ชาติของกลุ่ม LGBTQ+ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คือการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่ผลักดันให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเฉกเช่นเดียวกับทุกคน
อ้างอิงจาก