เมื่อสถานการณ์บังคับให้ต้องติดอยู่ในบ้านนานๆ กิจวัตรประจำวันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทำงาน กิน นอน ดูเน็ตฟลิกซ์ ทำงาน กิน นอน ดูเน็ตฟลิกซ์ ทำงาน กิน นอน ดูเน็ตฟลิกซ์ วนไปอย่างนั้นทั้งวัน ทุกวัน วนไปอย่างนั้นซ้ำๆ จนเริ่มเบื่อ
ไหนลองลุกไปทำอย่างอื่นดูบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไร นอกจากเก็บกวาดข้าวของที่กระจายอยู่ตามพื้น เพราะหลายวันที่ผ่านมาปล่อยจอยมากไปหน่อย ไม่แปลกที่ตอนนี้ทางเดินในบ้านจะถูกจับจองด้วยสิ่งของที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อพูดถึงงานบ้าน ไม่ว่างานเล็กๆ น้อยๆ หรืองานจริงจัง ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับใครหลายคนอยู่ดี ปัดฝุ่นเอย ล้างจานเอย ถูบ้านเอย ทำความสะอาดบันไดเอย ขอร้องงง ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลยยย
แต่ถ้ารู้ว่าหลายครั้งที่เรารู้สึกเครียด กังวล หงุดหงิด หรือพบว่าไม่มีสมาธิทำงานให้เสร็จได้เหมือนเมื่อก่อน มีผลมาจากสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ บางทีอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้นะ
เพราะข้าวของที่กระจัดกระจาย ไม่เพียงแต่จะทำให้ห้องดูรกเท่านั้น แต่จิตใจเราก็รู้สึกรุงรังตามไปด้วย การมองไปยังห้องที่มีถุงเท้านอนไร้คู่ กางเกงในม้วนขดเป็นเลขแปด ขวดน้ำที่กลิ้งเข้าไปหลบภัยทอยู่ใต้เตียง หรือเสื้อผ้าที่ใส่แล้วกองเป็นพะเนิน ความยุ่งเหยิงเหล่านี้สามารถเพิ่มระดับความเครียดให้เราได้โดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแค่นั้น บ้านยังสะท้อนความเป็นตัวเราออกมาได้มากกว่าที่คิด คาร์ล จุง (Carl Jung) จิตแพทย์และนักทฤษฎีชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้เสนอแนวคิดที่ว่า บ้านมีความหมายเชิงสัญลักษณ์และมีความสำคัญทางจิตใจ มากกว่าเป็นแค่ที่พักพิงทางกายภาพ ทั้งยังสะท้อนตัวตนของมนุษย์ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ วิธีที่เราสร้างพื้นที่ในการอาศัย จึงเชื่อมโยงกับการถ่ายทอดสภาพจิตใจของเราด้วย
งานวิจัยสมัยใหม่จำนวนมากก็สนับสนุนแนวคิดนี้ ทำให้จิตวิทยาสิ่งแวดล้อมเป็นที่พูดถึงมากขึ้น และมีการศึกษาสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์และพฤติกรรมมนุษย์ด้วย ตั้งแต่การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ ปรับแสงสว่าง ไปจนถึงการทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สามารถกระทบสุขภาพจิตและร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว
เราจึงจะเห็นว่า ในขณะที่เครียดหรือรู้สึกเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกเชิงลบ หลายคนเลือกที่จะไปออกกำลังกาย โยคะ หรือนวดสปา แต่บางคนกลับเลือกที่จะฝุ่นดูด เช็ดเคาน์เตอร์ครัว หรือจัดเรียงเสื้อผ้าในตู้ให้เป็นระเบียบ เพราะสิ่งเล็กๆ เหล่านี้คือการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ก็ส่งผลให้เราสุขภาพดีขึ้นด้วย
แต่ถ้าพูดแบบนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพ งั้นเรามาดูผลกระทบของการทำงานบ้านแต่ละแบบที่มีผลต่อสุขภาพจิตเรากันดีกว่า
เมื่อของอยู่เป็นกลุ่มก็หายกลุ้มใจ
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่า เวลาข้าวของกระจัดกระจาย จะส่งผลให้ระดับความเครียดเราเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว มีหลักฐานอ้างอิงจากผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin พบว่า ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเกิดความเครียดและเหนื่อยล้า เนื่องจากพื้นที่ที่พวกเธออยู่อาศัยนั้นรก และเต็มไปด้วยงานบ้านหลายอย่างที่ยังทำไม่เสร็จ ทำให้ระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ผู้หญิงอีกกลุ่มรู้สึกสงบ เนื่องจากบ้านของพวกเธอน่าอยู่
และผลการศึกษาจาก Princeton University ยังพบอีกว่า ของที่กระจัดกระจาย ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง ทำให้ผู้อยู่อาศัยยากที่จะโฟกัสกับงานตรงหน้า ซึ่งพวกเขาอธิบายว่า คอร์เท็กซ์การมองเห็นของมนุษย์ สามารถถูกรบกวนด้วยวัตถุที่ไม่เกี่ยวของกับงานตรงหน้า เช่น ของกระจุกกระจิกบนโต๊ะ หรือตามพื้นห้อง ทำให้ประสิทธิที่มีต่องานลดลง เนื่องจากสมาธิถูกทำลายไป พูดง่ายๆ ก็คือข้าวของที่อยู่ไม่เป็นที่ ก็เปรียบเสมือนกับโปรเจ็กต์หนึ่งที่ยังทำไม่เสร็จ และการที่เราทำอะไรไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ก็นำมาความเครียดได้ ยิ่งถ้าคนๆ นั้นมีพื้นฐานของความขี้กังวลอยู่แล้วด้วย
เมื่อของรกส่งผลให้เราเครียดและกังวลวิธีกำจัดความรู้สึกเหล่านี้จึงมีเพียงทางเดียวก็คือ จัดเก็บให้เป็นระเบียบ โดยทางจิตวิทยาไม่เพียงแต่จะช่วยลดความรู้สึกเชิงลบดังกล่าว หรือช่วยให้เรากลับมามีสมาธิทำงานมากขึ้น แต่การจัดบ้านยังเพิ่มความรู้สึกของ ‘การได้ควบคุม’ หรือ sense of control ให้กับเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์โรคระบาดที่เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย หรือรู้สึกว่าช่วงนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราสักอย่าง แต่อย่างน้อยเราก็สามารถ ‘ควบคุมสภาพแวดล้อม’ ที่เราอาศัยอยู่ได้ด้วยตัวเอง ด้วยการกำหนดได้ว่า ของชิ้นนี้ควรอยู่ตรงไหน อะไรควรอยู่ในห้องนี้บ้าง เดินไปตรงนี้จะเจอกับอะไร หรือวางแบบไหนถึงจะหยิบจับสะดวก
เมื่อจัดวางเป็นที่เป็นทางหรือทำความสะอาดส่วนต่างๆ ก็เหมือนเป็นการขจัดความเครียดและความกังวลที่มีก่อนหน้านี้ให้หายไป ก็นำมาสู่ความรู้สึกเชิงบวกต่างๆ เช่น จิตใจสงบ มองแล้วสบายตา หรือกลับมามีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น
การจัดบ้านยังเพิ่มความรู้สึกของ ‘การได้ควบคุม’
หรือ sense of control ให้กับเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในสถานการณ์โรคระบาดที่เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
หรือรู้สึกว่าช่วงนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราเลยสักอย่าง
แต่อย่างน้อย เราก็สามารถ ‘ควบคุมสภาพแวดล้อม’
ที่เราอาศัยอยู่ได้ด้วยตัวเอง
เปลี่ยนบรรยากาศในห้องด้วยการลองคุมโทน
อีกศาสตร์หนึ่งของการแต่งบ้านหรือแต่งห้องที่ทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือการ ‘คุมโทนสี’ ให้ไปในทิศทางเดียวกัน เวลาเห็นพื้นที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยสีที่เรากำหนด ก็จะรู้สึกพึงพอใจ และรู้สึกว่าบ้านน่าอยู่มากขึ้นหลายเท่า ซึ่งการเลือกโทนสีเพื่อตอบสนองการรับรู้หรือความรู้สึกนี้ เราเรียกกันว่า ‘การบำบัดด้วยสี’ (color therapy) เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมานานแล้วว่าเป็นการรักกษาสุขภาพแบบองค์รวม (ทั้งกายและใจ) โดยเน้นที่การเลือกสเปกตรัมของแสงหรือสี ที่มีผลต่ออารมณ์และสุขภาพร่างกายของเรา
แต่การรับรู้ของสีมักจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีตหรือวัฒนธรรม จึงไม่อาจบอกได้ว่าสีไหนที่จะทำให้รู้สึกพึงพอใจที่สุด เพราะแต่ละคนนั้นจะรู้สึกกับสีแต่ละสีแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้ว สีแดงและสีส้มจะมีความยาวคลื่นสูง ทำให้ต้องปรับใช้สายตาเยอะ และกระตุ้นร่างกายได้ดี ส่วนสีฟ้าและสีเขียวจะมีความยาวคลื่นต่ำ ทำให้ไม่ต้องปรับสายตาเท่าไหร่นัก และทำให้ร่างกายสงบมากขึ้น
ถ้าเราอยากให้ ‘ระดับพลังงาน’ ในบ้านเป็นยังไง ก็ลองเลือกสีตามนั้นดู หรืออาจเลือกสีที่กระตุ้นความทรงจำดีๆ ก็ได้ เช่น เลือกโต๊ะไม้สีอ่อนที่ทำให้นึกถึงบ้านคุณยาย หรือตกแต่งห้องด้วยแจกันสีแดงที่แม่เคยชอบ ซึ่งการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ นอกจากจะทำให้บ้านหรือห้องดูดี มีสไตล์บ่งบอกตัวเราที่ชัดเจน ยังทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้านด้วย
จัดบ้านใหม่ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
เคยสงสัยมั้ยว่า ทั้งที่เรากับคนในบ้านนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ด้วยกันแท้ๆ แต่ไม่ยักจะคุยกันเท่าไหร่เลย ไม่ใช่ว่าเราเบื่อหรือเกลียดขี้หน้ากันอะไรหรอก แค่ขี้เกียจหันหน้าหรือเดินไปคุยเท่านั้นเอง
บางครั้งดีเทลต่างๆ ในของห้องก็ไม่เอื้อต่อการสื่อสารเท่าที่ควร โดยเฉพาะการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ ที่นักวิจัยหลายคนกล่าวว่ามีผลต่อการปฏิสัมพันธ์หรือการแสดงออกของผู้คน เช่น การจัดวางเก้าอี้และโซฟาเป็นรูปตัวแอล หรือใช้เก้าอี้ที่มีโครงสร้างแบบ tête-à-tête เป็นตัวเอส จะทำให้ผู้คนหันหน้าเข้าหากันและสนทนาการมากขึ้นโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การจัดห้องจึงกำหนดได้ว่าเราอยากจะเข้าหาผู้คนหรืออยากแยกเป็นเอกเทศมากกว่ากัน
แต่ถ้าอยากให้คนในบ้านเกิดการพูดคุยสื่อสารมากขึ้นล่ะก็ เคท เกลแฟนด์ (Kate Gelfand) นักตกแต่งภายใน แนะนำให้ซื้อโซฟาแบบแบ่งส่วน หรือสามารถถอดเปลี่ยนได้ เพราะจะช่วยให้เราปรับรูปแบบการนั่งเป็นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ หรือจะเป็นเก้าอี้ที่รองรับสรีระ เช่น beanbag ที่สามารถจับมานั่งวางตรงไหนก็ได้ในห้อง ก็จะช่วยกระตุ้นผู้คนอยากรวมตัวกันมากขึ้น อีกทั้งงานบ้านหรือการจัดย้ายข้าวของ ยังเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เราได้ใช้เวลาร่วมกับคนในบ้านได้ด้วยนะ
และนอกจากการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่จะทำให้คนในบ้านได้เห็นหน้ากันมากขึ้นแล้ว การที่เราเห็นโซฟาที่เคยตั้งอยู่ตรงนี้ย้ายไปตรงนู้น โต๊ะทำงานหันหน้าไปอีกทิศ หรือชั้นวางของไปอยู่อีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้รู้สึกแปลกตา ตื่นเต้น เหมือนได้ห้องใหม่เหมือนกันนะ สภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากเดิมนี่แหละจะช่วยให้เราเฉาน้อยลงช่วงกักตัว และถ้าจัดวางดีๆ จะพบว่าที่จริงห้องนั้นก็มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างกว่าที่คิดนะเนี่ย
ตกแต่งข้างในให้รู้สึกถึงข้างนอก
ในสถานการณ์ไม่ปกติอย่างโรคระบาดขนาดใหญ่ เป็นเรื่องยากที่เราจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเหมือนแต่ก่อน วันดีคืนดีอยากออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน สูดอากาศที่สวนสาธารณะ นั่งเล่นที่คาเฟ่ตอนกลางวัน หรือแฮงเอาท์ที่บาร์โปรดตอนค่ำก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะภาพชินตาในตอนนี้กลายเป็นผนัง กำแพง เพดาน และระเบียงบ้านเฉยเลย
การอยู่เหงาๆ เบื่อๆ ทำให้มนุษย์ที่มีแหล่งพลังงานจากโลกภายนอกอย่าง ‘มนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ต’ แทบขาดใจ ดีไม่ดีแม้แต่มนุษย์อินโทรเวิร์ตก็จะบ้าตายแล้วเหมือนกัน แล้วเราจัดการปัญหานี้ยังไงได้บ้างนะ?
อย่างที่แนะนำไปตามข้อข้างบน การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่ช่วยให้ห้องดูแปลกตา และทำให้รู้สึกแปลกใหม่ในทางที่ดี หมายความว่าปัจจัยทางกายภาพเหล่านี้ส่งผลต่อการรับรู้เราด้วย แล้วถ้าเราลองแต่งบ้านหรือแต่งห้อง ให้ใกล้เคียงกับสถานที่หรือสภาพแวดล้อมข้างนอกที่เราคิดถึงล่ะ?
ถ้าคิดถึงบาร์ยามค่ำคืนก็ตกแต่งมุมเล็กๆ ในห้องให้เป็นบาร์ส่วนตัว มีเครื่องดื่มคู่ใจและไฟหม่นๆ พร้อมเปิดเพลงคลอเบาๆ ถ้าคิดถึงคาเฟ่ก็สร้างมุมดื่มกาแฟยามเช้า รับแสงอาทิตย์สักเล็กน้อย หรืออีกวิธีที่ง่ายสุดที่ทำให้เราได้สัมผัสโลกภายนอก ก็คือ ‘การตกแต่งห้องด้วยต้นไม้’ เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกเหมือนได้เดินออกไปนอกบ้านหรือเดินเล่นในสวนเล็กๆ ผลการวิจัยยังเผยอีกว่า การได้มองอะไรที่เป็นธรรมชาติบ่อยๆ จะช่วยลดระดับความเครียดได้ด้วย
แต่งบ้านให้เป็นตัวเองที่สุด
หลายคนมักจะคิดว่าการแต่งห้องต้องใช้เซนส์ทางศิลปะสูง จึงต้องการคำแนะนำหรือไอเดียจากคนอื่นตลอดเวลา ในที่นี้รวมถึงอินสตาแกรมหรือ pinterest ที่มีรูปห้องสวยๆ คุมโทนมินิมอล แต่เชื่อมั้ยว่าถ้าเราแต่งห้องตามตัวอย่างในนั้น สักพักเราจะเริ่มเบื่อ เพราะอาจไม่มีสไตล์ที่ใช่เราสักเท่าไหร่ หรือแต่งห้องไปเรื่อยๆ อาจรู้สึกไม่มีความสุข เพราะกดดันว่าจะต้องแต่งออกมาให้เหมือนห้องใน pinterest ถึงจะเรียกว่าสวย ดูดี
ซึ่งวิธีแบบนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงที่เราพยายามพูดพร่ำมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะบ้านที่จะเยียวยาเราได้ ควรจะสะท้อนตัวตนของเราออกมา และกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกเชิงบวกให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นแล้ว แต่งในแบบที่ตัวเองพอใจและมองว่าสวยเถอะนะ
หรือเอาดีๆ แค่บ้านสะอาดสะอ้าน จัดวางของเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ถือว่าน่าอยู่มากขึ้นแล้วล่ะ
นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมด งานบ้านหรือการแต่งบ้านยังมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้ชีวิต อย่างเช่น ‘การจัดไฟห้อง’ โดยทำห้องนอนให้สลัว เพื่อช่วยให้หลับง่ายขึ้น ปรับมุมทำงานให้แสงเข้าอย่างเพียงพอ เพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัวตลอดเวลา และอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้เราค้นพบความรู้สึกดีๆ ระหว่างทาง ยังไงก็ขอให้การทำความสะอาดบ้าน ส่งเสริมสุขภาพใจของเรา มากกว่าทำให้หงุดหงิดนะ
ไม่รู้ว่าการกักตัวครั้งนี้จะลากยาวไปถึงเมื่อไหร่ ไหนๆ บ้านก็กลายเป็นสถานที่ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยบ่อยที่สุดแล้ว ลองมาทำให้สถานที่นี้กลายเป็น healing home ที่น่าอยู่และเยียวยาจิตใจเราได้กันเถอะ
อ้างอิงข้อมูลจาก