ช่วงนี้ตื่นเช้ามาก็ต้องดื่มกาแฟ specialty ออกไปหาซื้ออุปกรณ์ชงมัทฉะติดบ้าน ตกเย็นก็ขอเข้าไปจอยรันคลับ อยู่ๆ กิจกรรมมากมายพุ่งเข้าใส่ไม่มีพัก เทรนด์นี้เพิ่งจะหมดไป เทรนด์ใหม่ก็ต่อคิวรอแล้ว
ถ้าเราเต็มใจทำมันจะผิดอะไรล่ะ ทำแล้วมันมีความสุขมันเดือดร้อนใครตรงไหน แน่นอนว่ามันไม่ผิดเลย อยากจะจอยอีกกี่กิจกรรม เปลี่ยนแฟชั่นทุกไตรมาส เก็บมุมถ่ายรูปย่านยอดฮิตก่อนเขาก่อนใคร ทุกคนมีอิสระที่จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไรอยู่แล้ว การวิ่งตามเทรนด์ถ้าทำแล้วมีความสุข ตัวเราไม่เดือดร้อน ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เราพึงกระทำได้
แต่บางวัน หากความต้องการวิ่งตามเทรนด์ของเรา มันไปแตะขีดจำกัดของเราเอง จนเรารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะเก็บหมดทุกเทรนด์ที่ต้องการ เริ่มรู้สึกบีบคั้นใจจนไม่อยากพลาดอะไรไปสักอย่างเดียว แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะสลัดทิ้งสิ่งเก่าแล้วลุกไปล่าสิ่งใหม่ เป็นปัญหางูกินหางวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าสิ่งนี้มันกำลังก่อให้เกิดทุกข์มากกว่าสุขแล้วหรือเปล่า
อาการนี้เกิดขึ้นได้บ่อยในโลกที่เทรนด์มาไวไปไว วิ่งเข้าออกชีวิตเราเป็นว่าเล่น จนอาการนี้ถูกเรียกว่า FOMO ย่อมาจาก ‘fear of missing out’ ความกลัวที่จะพลาดอะไรไป กลัวจะตกขบวน จนเกิดความกังวลเมื่อมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา จนเกิดความเครียดกับตัวเอง และอาจส่งผลกระทบถึง self-esteem ด้วย โดย FOMO อาจเกิดได้กับทั้งเทรนด์เล็กๆ อย่างการถ่ายรูปในร้านลับในย่านยอดฮิตย่านใหม่ ไปจนถึงภาพใหญ่อย่างมายเซ็ต การใช้ชีวิตโดยรวมก็เกิดได้เช่นกัน
หากมันเกิดกับเราบ่อยเข้าจนวันหนึ่งเราก็เริ่มเหนื่อยโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวิ่งไปไหน เรากำลังวิ่งไปหาความสุข หรือกำลังหนีความรู้สึกกลัวตกขบวน?
เมื่อความกลัวว่าจะพลาดอะไรไป ทำให้เราใช้ชีวิตเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่ไม่มีเส้นชัย The MATTER ชวนทุกคนที่กำลังอยู่บนเทรนด์อะไรสักอย่าง มามอง FOMO ผ่านมุมมองทางปรัชญาพุทธ กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
บางทีคำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การวิ่งให้ทัน แต่อาจเริ่มจากการหยุดเพื่อสำรวจตัวเองก่อนก็ได้

FOMO ส่งผลกับใจแค่ไหนกัน
เมื่อถึงยุคที่โซเชียลมีเดียเบ่งบาน แพลตฟอร์มต่างๆ ที่ถูกสร้างมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในหลากหลายรูปแบบ ดูเหมือนว่า FOMO นั้นจะเบ่งบานตามมาด้วย งานวิจัยจาก Carleton University และ McGill University ถูกตีพิมพ์ในปี 2018 ได้ทดลองเรื่องนี้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 โดยให้พวกเขาเขียนไดอารี่ในแต่ละวันจากลิงก์ที่ส่งไปให้บนสมาร์ตโฟน เป็นเวลา 7 วัน
พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลอง มักจะเกิดอาการ FOMO ในช่วงสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะกับคนที่มีภาระส่วนตัว อย่างการเรียนหรือการทำงาน มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการ FOMO มากกว่าคนอื่น จนส่งผลกระทบทำให้เกิดความเครียดและอาการนอนไม่หลับ นั่นอาจเป็นเพราะคนที่มีภาระส่วนตัว อาจจะพลาดการพักผ่อนและอิสระในการใช้ชีวิต พอถึงเวลาสุดสัปดาห์ที่ควรเป็นเวลาพักผ่อน กลับไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนอื่น อาจทำให้พวกเขารู้สึก ‘พลาด’ อะไรบางอย่างไป
และงานวิจัยเรื่อง Fear of missing out (FOMO): overview, theoretical underpinnings, and literature review on relations with severity of negative affectivity and problematic technology use ที่ถูกตีพิมพ์บน Brazilian Journal of Psychiatry ก็พูดถึงจำนวนครั้งของการเช็กโซเชียลมีเดียบนสมาร์ตโฟนเช่นกัน ว่ายิ่งเราเช็กมากเท่าไหร่ยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ FOMO มากเท่านั้น โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศหรืออายุ
มุมหนึ่ง ดูเหมือน FOMO คาบเกี่ยวอยู่กับความพึงพอใจในชีวิตของเราเช่นกัน มันพอจะบอกได้ว่าเรากำลังต้องการอะไร ไม่อยากพลาดสิ่งไหน หากเราเติมเต็มความต้องการจนพอใจแล้ว อาจทำให้เราไม่กลัวที่จะต้องตกเทรนด์ไหนในตอนนั้นไปก็ได้

เบาทุกข์จาก FOMO อย่างไรในมุมพุทธ
ความกลัวตกเทรนด์ ในทางหนึ่งมันทำให้เราดิ้นรน เร่งรีบที่จะให้ได้มาซึ่งอะไรบางอย่าง จนใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ความต้องการที่เติมไม่เคยเต็มนี้อาจกลายเป็นรากของทุกข์ในใจ
ก่อนจะไปถึงส่วนของการแก้ไข เรามาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจปัญหานี้ในเชิงปรัชญาพุทธ แก้เรื่องนี้ด้วยวิธีคิดแบบพุทธกันก่อน โดยอาจารย์พูดถึงเรื่อง FOMO ความกลัวที่จะตกเทรนด์ว่าแท้จริงแล้ว ปัญหาของมันอาจอยู่ที่การให้ความสำคัญผิดจุดไป
“เวลาที่เราใช้ชีวิตเนี่ย บางทีเราก็กลัวชีวิตเรามันไม่ดี เราก็ต้องหาเรื่องทําให้มันดี แต่กรณีกลัวตกเทรนด์เนี่ย มันก็เป็นลักษณะของการเอาคนอื่นเป็นเป็นศูนย์กลางหรือเอาสังคมเป็นศูนย์กลาง บางทีเราก็ลืมตัวเราเอง ลืมตระหนักถึงความสําคัญของตัวเอง
ชีวิตมันก็มีหลายด้านมันมีมันมีส่วนที่เป็นปัจเจก ส่วนที่เราไม่ต้องพึ่งพิงใครก็ได้ในบางเรื่อง แต่บางเรื่องมันก็อาจจะไปสัมพันธ์กับโครงสร้างของสังคม สัมพันธ์กับการที่เราต้องดําเนินชีวิตในสังคม มันขึ้นจากว่าเราเราจะไป มันไกลแค่ไหน หมายถึงว่าเราจะตามสังคมไกลแค่ไหน ถ้าถ้าไกลจนลืมตัวเองก็อาจจะอาจจะมีปัญหาหน่อย”
เหมือนกับว่าเรายึดโยงเอาความสำคัญที่จะเลือกทำตามเทรนด์ไว้กับคนอื่นนอกจากเราตัวเราด้วย เลยทำให้เราวิ่งตามความต้องการที่คนอื่นสร้างขึ้นมามากกว่าจากตัวเราเอง ต่อเนื่องถึงคำถามต่อไปว่า แล้วสิ่งนี้มันคือการไม่ปล่อยวางหรือเปล่า อาจารย์ตอบในส่วนนี้ว่า
“บอกว่าไม่ปล่อยวางก็ใช่ เวลาเราพยายามไขว่คว้าจนไม่ได้คิดถึงความจําเป็น ไม่ได้คิดถึงว่ามันเกื้อกูลแก่ชีวิตอย่างแท้จริงรึเปล่า หรือบางทีมันเป็นความถือดี ถือรั้งก็ได้”

เราไม่ใช่คนที่ปล่อยวางได้ทั้งหมดนี่นะ เมื่อมีสิ่งไหนเข้ามาให้เห็นมันก็อยากจะมีบ้าง อยากจะได้บ้างเป็นธรรมดา หรือบางทียังไม่ทันเห็นเทรนด์ใดๆ เป็นความต้องการของเราเอง ก็มีโผล่มากวนใจอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้แล้ว เราจะใช้สิ่งไหนช่วยคัดกรองความต้องการของเราได้บ้าง อาจารย์เลยยกตัวอย่างถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม พร้อมอธิบายไว้ดังนี้
“ถ้าเอาภาษาของพระเขาอาจจะบอกว่าคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม ถ้าคุณค่าแบบเทียมๆ ยกตัวอย่างแบบง่ายๆ นะ เราอยากมีบ้านใช่ไหม คุณค่าของมันจริงๆ ก็คือการที่เรามีบ้านเป็นที่อยู่อาศัย แต่ว่าถ้าเราถ้าเรานึกถึงคุณค่าเทียม มันอาจทำให้เรานึกไปถึงว่า บ้านเราต้องเทียบชั้นกับคนนั้นคนนี้ อยากได้บ้านราคาแพง พื้นที่ใหญ่ๆ มันอาจไม่ใช่คุณค่าที่มันจะเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง อาจจะต้องกลับมามองว่า บ้านมันเหมาะแก่การดํารงชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราคิดในแง่ว่า เราอยากได้มันมาเพื่อให้ทุกคนได้มีชีวิตที่สะดวกพอสมควร อย่างนี้มันก็ไม่น่าเกลียดอะไร ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
ในส่วนนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าทุกอย่างในชีวิตเราต้องมีเพียงระดับขั้นต่ำ มีแค่พอมี แต่อาจารย์กำลังชี้ให้เห็นว่าเวลาเราอยากได้อยากมีสิ่งไหน ให้เรานึกถึงฟังก์ชั่นที่แท้จริงของมันเป็นอันดับแรกก่อน ในตัวอย่างที่พูดถึงบ้าน อาจจะต้องนึกถึงประโยชน์ของมันในฐานะที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก ก่อนจะนึกถึงคุณค่าในแง่อื่นของมัน หรือรถยนต์สักคัน โทรศัพท์สักเครื่อง ต้องคำนึงถึงการใช้งานว่ามันตอบโจทย์ในหน้าที่ของยานพาหนะให้เราแค่ไหน ตอบโจทย์เครื่องมือสื่อสารให้เราเพียงใด ก่อนที่จะนึกถึงฟังก์ชั่นอื่นของมัน เพื่อเป็นการมองถึงคุณค่าแท้ของมันก่อนคุณค่าเทียมนั่นเอง
“จริงๆ การอยู่ในเทรนด์ก็อาจจะไม่ได้น่าเกลียดสักเท่าไหร่ ถ้าเรานึกถึงว่ามันมันจําเป็นสําหรับชีวิตแค่ไหน พอเราตั้งคําถามกับสิ่งที่เราทํา มันจะเริ่มทําให้เรามีสติมากขึ้น”
อาจารย์เลยไม่ได้บอกให้เราละทิ้งความต้องการ ละทิ้งการตามเทรนด์เสียทีเดียว แต่ให้เราประเมินถึงคุณค่าแท้ของมันในเบื้องต้นก่อน อย่างที่กล่าวไปข้างต้น หากทำตามเทรนด์แล้วเราไม่ได้เสียอะไร ไม่เดือดร้อนอะไร นั่นก็อาจเป็นอีกความสุขของชีวิตที่เข้ามาเติมสีสันให้ชีวิตเราได้ แต่นั่นหมายความว่า หากการตามเทรนด์แล้วเราเริ่มเป็นทุกข์ แปลว่าสิ่งนั้นมันอาจเกินกำลังของเราเอง
“ในภาษาพระอาจจะเรียกการประมาณตนเองว่าการรู้ตน อันนี้เราพูดถึงชีวิตทั่วไป ไม่ใช่ชีวิตทางศาสนาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่จะพัฒนาชีวิตตัวเองได้ดี ส่วนหนึ่งมันก็มาจากการการรู้จักตัวเองก่อนการรู้จักตัวเองก่อน ว่าเราอยู่ในสถานะที่จะทําอย่างนั้นได้ไหม ถ้าทําแล้วทําให้ชีวิตเรามีความสุขดีขึ้นไหม ประเมินได้ว่ามันไม่ทําร้ายตัวเองใช่ไหม ทำไปแล้วไม่มีความไม่ได้สร้างความทุกข์แก่ตัวเอง หรือมีปัญหาอย่างอื่นตามมา”
การประมาณตน รู้ว่าเราตามไหวแค่ไหน มีเท่าไหร่ถึงจะไม่เดือดร้อน มีเท่าไหร่ถึงจะพอดีกับเรา อาจเป็นก้าวแรกของการเริ่มก้าวตามเทรนด์ให้ช้าลง อาจไม่ได้ต้องหยุด FOMO ในทันที แค่เราเริ่มตั้งคำถามกับมัน นั่นหมายความว่าเราเริ่มมีสติอยู่กับตัวเรามากขึ้นแล้ว
“ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา จงบินเอาที่เราจะบินไหว” บทกลอนที่เป็นไวรัลนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ให้เราคอยท่องไว้ในใจเสมอ เมื่อเราเกิดอาการ FOMO จนเกินกำลังของเราเองได้อีกทางหนึ่ง