อำนาจในครอบครัวไม่ได้ส่งเสียงอึกทึกเลยสักนิด
กลับแทรกอยู่ในความห่วงหาอาทร ในคำแนะนำ ในมื้ออาหาร ในเสื้อผ้า ในชีวิตประจำวันอย่างเงียบเชียบ จนกว่าลูกน้อยจะโตเกินอ้อมอก จนกว่าจะเผชิญโลกได้ด้วยตัวเอง บทบาทของพ่อแม่ยังคงแนบชิดกับอยู่เสมอ ยิ่งแนบชิด ยิ่งแทรกซึม ราวกับจะสามารถกำกับชีวิตลูกน้อยที่เติบใหญ่ขึ้นทุกวันไปได้ตลอด
ลูกบางคนอาจรักที่จะอยู่ในความปลอดภัยใต้ปีกพ่อแม่ ลูกบางคนอาจอยากออกไปแตะพื้นหญ้าในระยะสายตา แต่ลูกบางคนกลับอยากหลีกหนีให้พ้นร่มเงาไม้ใหญ่ที่เติบโตมา
แล้วเมื่อไหร่อำนาจพ่อแม่จะเดินทางไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เขตแดนใดที่พ่อแม่ไม่อาจก้าวล่วงชีวิตของลูกได้ ความสัมพันธ์พ่อแม่ที่มีต่อลูก ถูกผูกโยงกันด้วยเส้นใยของสายเลือดเดียวกัน ครอบครัวที่เป็นหน่วยหนึ่งในสังคม และอีกหลายเส้นที่มองไม่เห็น
ความสัมพันธ์ครอบครัวจึงซับซ้อนเกินกว่าจะมองมันด้วยด้านเดียว The MATTER ขอชวนทุกคนกลับมามองความสัมพันธ์นี้ ผ่านมุมมองทางปรัชญากับ พิพัฒน์ สุยะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

หากมองภาพใหญ่ ครอบครัวเป็นหน่วยย่อยในสังคม ที่พ่อแม่มีหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย รวมถึงหน้าที่ทางสังคมอื่นๆ ที่คอยชี้ทางว่าจะต้องดูแลลูก คำถามที่ว่าพ่อแม่มีอำนาจต่อลูกมากแค่ไหน เราอาจต้องย้อนกลับมาพิจารณาความสัมพันธ์ ในทางปรัชญา โดยพิจารณารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ออกเป็นประเภทใหญ่ ดังนี้
พวกแรกเรียกว่า ทฤษฎีหนี้ชีวิต (debt theory) ทฤษฎีนี้สังคมไทยหรือสังคมแบบตะวันออกของเราน่าจะคุ้นเคยดี ทฤษฎีนี้อธิบาย พันธะหน้าที่ระหว่างพ่อแม่กับลูก (filial obligation) ว่าลูกเป็นหนี้ชีวิตของพ่อแม่ หมายถึงลูกต้อง ทดแทนการลงทุนของพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา เงินทอง แรงกาย แรงใจ หรือสิ่งอื่นๆ โดยถือว่าการลงทุนที่พ่อแม่ทำไป เป็นการลดทรัพยากรของเขาเอง ลูกจึงมีหน้าที่ตอบแทน
ภาระผูกพันชนิดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของพ่อแม่ แม้พ่อแม่ไม่ต้องการ แต่ลูกก็มีหน้าที่ที่ต้องแสดงความกตัญญู ต่อให้ทำไม่ได้ก็ต้องพยายามให้จนได้ เหมือนความสัมพันธ์เจ้าหนี้กับลูกหนี้ เหมือนมีหนี้ก็ต้องชำระ ตราบใดที่ยังไม่ได้ยกหนี้ให้
พอเรียกว่าลูกหนี้กับเจ้านี้ แล้วมันช่างห่างเหิน ออกจะเป็นแง่ลบเสียหน่อย จนหลายฝ่ายเห็นว่าทฤษฎีหนี้ชีวิตเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสม เพราะความสัมพันธ์พ่อแม่กับลูกยังมีลักษณะอื่นร่วมด้วย เช่น ความรัก ความห่วงใย ต่างจากการให้กู้ยืมเงินที่หวังผลตอบแทนเป็นการชดใช้ นอกจากนี้ การลงทุนของพ่อแม่นั้น บางส่วนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ (morally required) ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกจะต้องเป็นหนี้เพราะพ่อแม่จำต้องทำตามหน้าที่หรือเปล่า

พวกที่สอง เรียกว่า ทฤษฎีมิตรภาพ (friendship theory) ทฤษฎีนี้มองพันธะหน้าที่ระหว่างพ่อแม่กับลูก เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน เพราะมิตรภาพเกิดจากความสัมพันธ์ที่สมัครใจและเอื้ออาทร หากยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ความสัมพันธ์นั้นย่อมดำเนินต่อไปได้
ลูกก็มีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ตามขอบเขตอย่างที่เพื่อนทำกัน เช่น แสดงความห่วงใย ไปเยี่ยมเยียน ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่ามีหนี้ต้องชดใช้ แต่หากความสัมพันธ์ห่างหายกันไป พันธะหน้าที่นี้ก็อาจจางหายไปได้ เช่นเดียวกับที่เราห่างหายไปจากเพื่อนบางคนในชีวิต
ข้อวิจารณ์ต่อทฤษฎีมิตรภาพ อย่างแรกก็คือถ้าเราอ้างความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นหลัก จะทำให้ พันธะหน้าที่ของพ่อแม่กับลูก ถูกหลบเลี่ยงได้ง่าย เพราะถ้าหากเราจงใจละเลยความสัมพันธ์ จนไม่ได้สนิทกันแล้ว นั่นแปลว่าเราก็ไม่ต้องดูแลพ่อแม่ หมดหน้าที่ต่อพวกเขาแล้วหรือเปล่า
ข้อวิจารณ์อย่างที่สอง ความสัมพันธ์พ่อแม่กับลูกไม่เหมือนมิตรภาพ เรายังเลือกได้ว่าใครเหมาะจะเป็นเพื่อนหรือไม่ แต่การเป็นพ่อแม่ลูกกันไม่ใช่สายสัมพันธ์ที่เลือกได้ ว่าเราอยากจะมีลูกแบบนี้ มีพ่อแม่แบบนี้ รวมทั้งมิติของการพึ่งพากันในระยะยาว ยิ่งชี้ชัดว่ารูปแบบความสัมพันธ์ต่างกัน

พวกที่สามเรียกว่า ทฤษฎีความกตัญญู (gratitude theory) ทฤษฎีนี้เห็นว่า สิ่งที่ลูกเป็นหนี้พ่อแม่คือความกตัญญู ลูกควรตอบแทนพ่อแม่ด้วยท่าทีของการแสดงความขอบคุณ และทำสิ่งที่เหมาะสมตอบแทนสำหรับความดีที่ได้รับ เช่น การดูแลพ่อแม่เมื่อท่านต้องการ แต่ทั้งนี้ ความกตัญญูที่คาดหวังจะขึ้นอยู่กับลักษณะของการเสียสละที่พ่อแม่ทำด้วย
ข้อวิจารณ์ต่อทฤษฎีนี้คือ ความกตัญญูมีต้องขอบเขตแค่ไหน ถ้าพ่อแม่ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ที่พึงกระทำ อยู่แล้ว เราจะคาดหวังให้ลูกต้องตอบแทนแค่ไหน นอกจากนี้ ความกตัญญูยังเป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน ในกรณีที่พ่อแม่คิดว่าตนได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ โดยลูกไม่รู้ว่ามีการเสียสละนั้นเกิดขึ้น เช่น พ่อแม่ทำงานหนักแต่ลูกไม่เคยรับรู้เลย ถ้าลูกไม่รับรู้ แล้วความกตัญญูจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
พวกที่สี่เรียกว่า ทฤษฎีคุณประโยชน์พิเศษ (special goods theory) ทฤษฎีนี้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกนั้นได้สร้างคุณประโยชน์พิเศษที่มีคุณค่าในแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะรูปแบบของความรัก ความผูกพัน การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกัน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผลจากการให้ทรัพยากร แต่เป็นผลของรูปแบบความสัมพันธ์โดยตรง เพราะเป็นคุณประโยชน์ที่เกิดจากความสัมพันธ์โดยตรง จึงมีเหตุผลทางศีลธรรมที่ลูกควรรักษาความสัมพันธ์และปฏิบัติต่อพ่อแม่ ในแบบที่รักษาคุณประโยชน์เหล่านี้ไว้ นั่นก่อให้เกิดพันธะหน้าที่ของพ่อแม่กับลูก ที่ไม่เหมือนทั้งทฤษฎีหนี้ชีวิตหรือทฤษฎีมิตรภาพ
ข้อวิจารณ์ต่อทฤษฎีนี้ก็คือ ถ้าหากคุณประโยชน์ที่พิเศษเฉพาะเหล่านี้มีจริง แล้วภาระผูกพันของลูกคืออะไร ลูกควรจะตอบแทนความสัมพันธ์พิเศษนี้อย่างไร ให้การเยี่ยมเยียน ให้การดูแลทางการเงิน หรือรักษาความสัมพันธ์ทางอารมณ์
ไม่เพียงเท่านั้นการอธิบายคุณประโยชน์พิเศษอาจไม่เพียงพอที่จะจัดการ กับกรณีที่ความสัมพันธ์หักเหหรือพ่อแม่ทำร้ายลูก นั่นแปลว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษที่ว่านั้นหรือ มันหายไปหรือเปลี่ยนรูปแบบอย่างไร จากทั้งสองข้อวิจารณ์ ทฤษฎียังต้องอธิบายให้รายละเอียดมากกว่านี้

สุดท้ายเรียกว่า ทฤษฎีความกตัญญูเพื่อคุณประโยชน์พิเศษ (gratitude for special goods) ทฤษฎีนี้พยายามรวมข้อดีของทฤษฎีความกตัญญู กับ ทฤษฎีคุณประโยชน์พิเศษ โดยเห็นว่าสิ่งที่เราควรตอบแทนพ่อแม่คือทั้งการกตัญญูและการรักษาหรือให้คุณค่าแก่คุณประโยชน์พิเศษ กล่าวคือ ลูกมีหน้าที่ตอบแทนไม่เพียงเพราะมีหนี้หรือเพราะมิตรภาพต่อกัน แต่เพราะการรักษาคุณประโยชน์พิเศษเฉพาะของความสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวมันเองและความกตัญญูนั้นเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้รักษาคุณประโยชน์พิเศษเฉพาะหล่านี้ไว้
ข้อวิจารณ์ทฤษฎีนี้ก็คือ แม้จะดูเป็นแนวทางที่น่าเชื่อถือ แต่คำถามที่ยังคงอยู่เหมือนเดิมก็คือ การมีพันธะหน้าที่นั้นมีลักษณะอย่างไรตามสภาพที่เป็นจริง อย่างในกรณีพ่อแม่ที่กระทำผิดร้ายแรงต่อเด็ก ความกตัญญูต่อคุณประโยชน์พิเศษยังมีบทบาทอยู่หรือไม่ หรือการรักษาคุณประโยชน์เหล่านี้จะต้องการการเสียสละมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้การแจกจ่ายภาระหน้าที่จะทำอย่างไร หากการตอบแทนต้องใช้เวลาหรือแรงงานมาก ภาระมักตกกับผู้หญิงที่เป็นผู้ผู้ดูแล (gendered burden) ทฤษฎีนี้นี้ต้องพิจารณาผลกระทบเชิงสังคมและความยุติธรรมในการกระจายภาระที่แต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบ

จากความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับรูปในรูปแบบทั้ง 5 ทฤษฎี เราจะเห็นได้ว่าอำนาจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกไม่ได้แน่นิ่งตายตัวอย่างที่เราคิด เพราะอำนาจนี้เป็นผลผลิตหรือเงื่อนไขทางสังคมพอๆ กับความชอบธรรมของพ่อแม่ไม่ว่าจะพิจารณาจากชีววิทยาหรือทางมนุษยธรรม
บางทีอำนาจของพ่อแม่อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีมากแค่ไหน แต่คือสิ่งที่ต้องรู้จักวางให้ถูกที่ พ่อแม่ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ควบคุมทุกเสี้ยวชีวิตของลูก เช่นเดียวกับที่ลูกก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำให้สมบูรณ์แบบตามแบบร่างของใคร
สุดท้ายแล้ว ครอบครัวอาจเป็นความสัมพันธ์ที่งดงามที่สุดในชีวิตมนุษย์ เพราะมันคือพื้นที่ที่เราหัดพึ่งพา หัดแยกตัว และหัดเป็นตัวเองไปพร้อมๆ กัน อำนาจจึงไม่ใช่อะไรนอกเหนือจากความรับผิดชอบที่จะทำให้พื้นที่นั้นปลอดภัยพอสำหรับการเติบโตทั้งสองฝ่าย