การอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ทั้งในสภาและนอกสภา) ของ ‘รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 เรียกเสียงฮือฮาจนทำให้แฮชแท็ก #ตั๋วช้าง ขึ้นอันดับหนึ่งเทรนด์ทวิตเตอร์อย่างรวดเร็ว
จากจำนวนหลายสิบสไลด์ที่บอกเล่าความไม่ชอบมาพากลในการได้ตำแหน่งของตำรวจบางคนนั้น มีบางสไลด์ที่บอกเล่าปัญหาการคัดเลือกตำรวจเพื่อย้ายไปกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 ระหว่างนั้นคำสั่งเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้ง จนไปจบที่การคัดเลือกไปเป็นข้าราชบริพารเพื่อฝึกเป็นตำรวจราบในพระองค์
‘ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์’ หรือ ‘ทนายแจม’ เป็นทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน หากใครติดตามข่าวการเมืองอยู่บ้าง หลายปีที่ผ่านมาคงคุ้นเคยกับภาพที่เธอให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อคดีการเมืองต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกัน เธอยังเป็นแม่ของลูก 2 คน และเป็นภรรยาของนายตำรวจด้วย
ทุกอย่างควรดำเนินไปตามปกติ ฝ่ายชายทุ่มเทกับอาชีพตำรวจ ฝ่ายหญิงทุ่มเทกับอาชีพทนายความ เมื่อเลิกทำงานก็ต่างมาทุ่มเทให้ลูก 2 คนในบทบาทพ่อและแม่ จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ.2562 มีหนังสือจากสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ ความว่า “ด้วยกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จะดำเนินการคัดเลือกนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มาบรรจุลงในกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904”
ตำรวจ 1,319 นายจากหลายหน่วยงานคือผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ในจำนวนนั้นตำรวจ 66 นายแจ้งว่าติดปัญหาส่วนตัว พวกเขาถูกส่งตัวไปปรับทัศนคติ การคัดเลือกกึ่งบังคับทำให้ตำรวจหลายนายตัดสินใจลาออก ขั้นตอนดำเนินไปเรื่อยๆ จนได้ตำรวจ 873 นายที่เตรียมไปฝึกเป็นตำรวจราบในพระองค์
เมื่อถึงขั้นตอนที่ต้องเลือกอย่างเลี่ยงไม่ได้ สามีของทนายแจมคือ 1 ใน 100 คนที่ตัดสินใจว่า ไม่ไปและไม่ลาออก (ก่อนหน้านั้นเขาเคยลาออกแล้วไม่ได้รับการอนุมัติ) แม้จะอธิบายเหตุผลแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคำสั่งฝึกธำรงวินัยออกมา ตำรวจ 3 นายตัดสินใจลาออกทันที
นั่นหมายความว่า ตำรวจ 97 นายต้องเข้าสู่การฝึกธำรงวินัยเป็นระยะเวลา 9 เดือน
คนรักไม่ได้เจอกัน 9 เดือนว่าเนิ่นนานแล้ว แต่นี่คือคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สามีของเธอต้องฝึกหนักฝึกโหดอย่างไร้เหตุผล ช่วงเวลานั้นเธอเครียดอย่างที่สุด เฝ้ารอวันที่พ่อ แม่ และลูกสองคนจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แม้ว่าปัจจุบันเขาจะได้กลับมาทำงานเป็นตำรวจเช่นเดิมแล้ว แต่ความทรงจำนั้นยังเป็นบาดแผลที่ฝังลึกในใจของเธอมาตลอด
หลังจากการอภิปรายนั้นเพียงไม่นาน เธอตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กว่า สามีของเราคือ 1 ใน 97 คนนั้น
“เรื่องจบไปหลายเดือนแล้ว อยู่เงียบๆ ก็ปลอดภัย คุณมูฟออนไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ” ผมอยากรู้เหตุผลของเธอ
“หลังจากโรมออกมาพูด ต้องมีคนออกมาพูดว่า ‘เฟกนิวส์หรือเปล่า’ ‘คิดไปเองหรือเปล่า’ เราเลยอยากซัพพอร์ตว่า สิ่งที่โรมพูดคือเรื่องจริง” น้ำเสียงของเธอหนักแน่น
ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม บรรทัดหลังจากนี้ คือเสียงจากคนใกล้ชิดของตำรวจที่ถูกสั่งฝึกธำรงวินัย ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการทำโทษที่ไร้เหตุผล และเป็นการทำร้ายชีวิตคนอย่างเจ็บปวด
คุณเริ่มรู้จักกับสามีคนนี้ได้ยังไง
เรารู้จักกันตอนเรียนนิติศาสตร์ที่ มสธ. (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช) เราเรียนจบบัญชีจากมหิดล ส่วนเขาจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เราต่างมาเรียนปริญญาใบที่สอง หลังจากสอบทุกอย่างจบแล้ว มสธ. มีจัดอบรม 5 วัน คนมาอบรมทั้งหมดร้อยกว่าคน เราสองคนอยู่กลุ่มย่อยเดียวกัน เริ่มจากคุยเรื่องทั่วไป แล้วมาเรื่องการเมือง จำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเรื่องอากง (อำพล ตั้งนพกุล ชายอายุ 61 ปีที่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ฯ รวม 4 ข้อความ เขาถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระหว่างจำคุก) ซึ่งปกติเราไม่ค่อยได้คุยกับใครเรื่องนี้
ช่วงนั้นบ้านเรามีเหตุการณ์น้ำท่วม เราออกไปช่วยที่เต๊นท์ตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่วยงานต่างๆ และร้องเพลงระดมทุนซื้อของบริจาค นอนที่นั่นเลย วันอบรมก็มาด้วยสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ หน้าสดเลย (หัวเราะ) หลังจากอบรมครบ เขาก็ตามมาที่เต๊นท์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ สน. ที่เขาอยู่
ตอนนั้นเราทำงานหลายอย่าง ทั้งผู้ตรวจสอบบัญชี ร้องเพลงตอนกลางคืน สอนอูคูเลเล่ในวันเสาร์อาทิตย์ และเปิดร้านเหล้าด้วย เขาบอกว่าดูเป็นผู้หญิงเก่ง เราไม่ได้ชอบตำรวจเลย มองเป็นอาชีพที่ปรับนั่นปรับนี่ ชอบจับคนไม่ใส่หมวกกันน็อค (หัวเราะ) แต่เขาเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์ ตอน ม.ต้น เขาเคยโดนโจรจี้เอามือถือ แต่ตำรวจจับโจรไม่ได้ เขาเลยอยากเป็นตำรวจเพื่อทำหน้าที่นั้น สิ่งหนึ่งที่เราชอบเหมือนกันคือการดูหนัง ดูสัปดาห์ละหลายเรื่อง เป็นกิจกรรมที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
หลังจากรู้จักกันมากขึ้น เขาเป็นตำรวจแบบไหน
เขารักในอาชีพตำรวจมาก อยากขึ้นตำแหน่งด้วยความสามารถ ไม่ชอบไปตามนาย ไม่อยากไต่เต้าด้วยวิธีอื่น และแอนตี้วิธีการแบบนั้นมาก หลังจากคุยกันไปสักระยะ เขาต้องเข้าเวรเป็นพนักงานสอบสวน เราเห็นเลยว่าตำรวจงานหนักมาก เข้าเวร ออกเวรก็ต้องทำสำนวน สืบหาข้อเท็จจริง แต่ละวันมีคนมาแจ้งความเยอะ วันหยุดก็ต้องทำสำนวน กลางคืนก็ต้องรับโทรศัพท์ เขาไม่ค่อยได้นอนเลย พอเราเปลี่ยนมาเป็นทนายความสิทธิ พูดยืนยันสิทธินั่นนี่ เขามักไม่พอใจแล้วบอกว่า “มุมตำรวจเป็นคนละมุมกับทนายความ” เวลาพูดถึงตำรวจในทางไม่ดี เขาโกรธ แล้วบอกว่า “รู้ไหมว่าตำรวจทำงานหนักขนาดไหน” เลยตกลงกันว่าจะไม่คุยเรื่องงาน คุยเรื่องทั่วไป เรื่องไปเที่ยว เรื่องดูหนัง และเรื่องการเมือง
ถ้าพูดถึงตำรวจในทางไม่ดีด้วยข้อเท็จจริงล่ะ
ก็ไม่ค่อยชอบ เขาจะเซฟตำรวจ รักองค์กร รักพี่น้องมาก เคยพูดว่า “ถ้าวันหนึ่งได้เป็น ผบ.ตร. เราจะทำให้สวัสดิการตำรวจดีขึ้น” ตำรวจทำงานหนัก แต่สวัสดิการห่วย เราอยู่แฟลตตำรวจก็สภาพทรุดโทรม ต่างจากทหารที่มีสวัสดิการเยอะกว่า ด้วยงบประมาณและสถานที่ที่มากกว่า ถ้าจะคุยเรื่องตำรวจ เราต้องหาคำพูดที่ซอฟต์สุดๆ (หัวเราะ)
การมีแฟนเป็นตำรวจ เรียนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถือเป็นเรื่องน่าอวดไหม
ไม่เลย สิ่งที่เราพูดตลอดคือ เราไม่ได้ชอบเขาเพราะเครื่องแบบ ตอนเจอกันเขาก็นอกเครื่องแบบ เราชอบที่ความคิด ไม่ได้รักที่เป็นตำรวจ แต่รักที่เขามีอุดมการณ์ในอาชีพตำรวจ เขามุ่งมั่น ตั้งใจ มีความคิดทางการเมืองที่ดี และรักครอบครัวด้วย
เขาเล่าเรื่องงานให้ฟังบ้างไหม
ปรับทุกข์บ้าง เขาเป็นตำรวจที่มีความเป็นมนุษย์สูง ถ้าจับผู้ต้องหายาเสพติดมา เขาไม่ได้แค่จับ ทำบันทึก แล้วจบ แต่เขาจะคุย ชีวิตเป็นยังไง เติบโตมาในครอบครัวแบบไหน เขาเลยไม่ได้มองผู้ต้องหาว่าถูกหรือผิดอย่างเดียว เขามาเล่าว่า ผู้ต้องหาคนนี้น่าสงสาร พอออกจากคุกก็โดนด่าขี้คุก ทำงานไม่ได้ สุดท้ายชีวิตก็กลับไปเหมือนเดิม มาเล่าว่าผู้หญิงอายุ 13 ปีก็มีลูกแล้ว แต่ไม่ได้มองว่าใจแตก มองว่าครอบครัวเป็นยังไง แม่ก็มีลูกตอนอายุน้อย ไม่มีเวลาให้ลูก ทิ้งให้อยู่กับตายาย สิ่งที่เขาทำอยู่ตลอด คือการทำความเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดจากอะไร บางมุมก็โยงมาเรื่องการเมืองได้ นั่นคือเรื่องสวัสดิการ เรื่องนโยบายของรัฐควรเป็นยังไง เรื่องแบบนี้คุยได้ แต่เราด่าตำรวจไม่ได้ (หัวเราะ)
ชีวิตตำรวจของเขาเป็นยังไงบ้าง เติบโตก้าวหน้าดีไหม
หลายปีนั้นเขาย้ายไปประจำหลาย สน. จนช่วงหลังเปลี่ยนมาตามนาย ตั้งใจว่าครบสองปีจะขอย้ายมาอยู่ สน.ใกล้บ้าน ตอนนั้นเขาอันดับในรุ่นดีมาก ตามนายปีแรกมีลูกคนเดียว พอตามนายไปสักระยะ เราก็มีลูกคนที่สอง แต่อยู่ๆ ก็ฟ้าผ่า มีคำสั่งออกมา ช่วงแรกเราคุยกันว่าคงไม่โดนอะไรหรอก เพราะเป็นตำรวจที่มีครอบครัวแล้ว แต่พอผ่านการคัดเลือกไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเอะใจ ตอนมี 66 คนขอสละสิทธิ์ เราบอกเขาว่า “ทำไมไม่ยกมือด้วย” เขาไปมองว่ายกมือขอสละสิทธิ์คือความอ่อนแอ ช่วงนั้นทะเลาะกันหนักมาก จบลงที่เขาบอกว่า ครั้งหน้าจะเขียนเป็นหนังสือว่ามีภาระครอบครัว แล้วขอไม่ไป
หลังจากคัดเลือกไปเรื่อยๆ จนเหลือ 800 กว่าคน หลายคนก็ลาออก หน่วยก้านดีๆ เรียนเก่งๆ คำสั่งให้เข้ารับการฝึก เขาไปคุยกับคนที่พอคุยได้ว่า เขาจะไม่ไป มีใครเอาด้วยไหม ช่วงนั้นเราเครียดมาก ถ้าทุกคนไปหมด เหลือเขาคนเดียว แบบนั้นจะทำยังไง จนออกมาว่าไม่ไป 100 คน ก็โล่งเปราะหนึ่งว่าคงไม่กล้าทำอะไรหรอก เราเปิดดู พ.ร.บ.ตำรวจเลย ไม่มีอะไรที่จะลงโทษได้เลย เลยชิล แต่สุดท้ายมีคำสั่งออกมาว่า สั่งให้ธำรงวินัย 100 คน ช็อกเลย มีตำรวจ 3 คนลาออกทันที แต่เขาพร้อมมาก ไม่กลัวเลย
เราเคยขอให้เขาลาออก เปลี่ยนมาทำธุรกิจไหม เขายื่นหนังสือลาออกไป แต่นายไม่เซ็น เพื่อนของแฟนก็ยื่น แต่นายก็ไม่เซ็นเหมือนกัน มีคำขู่ว่าถ้าใครมายุ่งกับ 800 กว่าคนจะซวย ไม่มีใครกล้ายุ่งเลย
ทำไมถึงคิดว่าต้องลาออก ถ้ามีเหตุผลเรื่องครอบครัว คุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ
เราปรึกษาหลายคน ถามว่าทำอะไรได้บ้าง ทุกคนพูดตรงกันคือ “ลาออกเลย” เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หลังจากนายไม่เซ็นใบลาออก เขาเลยปล่อยหนังสือลาออกไปในที่สาธารณะ หนังสือมีคำว่า “ข้าพเจ้าหมดศรัทธา…” ว่อนเลย ผบ.ตร. บอกว่าเป็นหนังสือปลอม แต่มันคือหนังสือจริงที่ไม่มีใครกล้าเซ็น แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมายอมให้ลาออก แต่เขาไม่ลาออกแล้ว มองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด อยากลองสู้ในระบบ ถ้าไม่ไปจะทำอะไรได้ อย่างมากก็ผิดวินัย คงโดนกักตัว 3-4 วัน
ตอนเราขอให้ลาออก เขาบอกว่า “ตัวเองจำได้ไหม เค้าไม่เคยอยากเป็นอะไรนอกจากตำรวจ ถ้าเขาลาออกไป อาชีพอื่นไม่ใช่จิตวิญญาณที่อยากเป็นตั้งแต่แรก อีกอย่างถ้าลาออกไปตอนนี้ เขายังไม่ได้สู้อะไรเลย” เขาตัดสินใจขัดคำสั่งไม่ไปฝึก เลยโดนสั่งให้ไปธำรงวินัย คำสั่งธำรงวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราถามว่า “ฟ้องไหม ธำรงวินัยไม่อยู่ใน พ.ร.บ.วินัยตำรวจ” ปรึกษากับน้องทนายที่เก่งๆ ก็ยินดีมาช่วย แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจไม่ฟ้อง คงไปคุยอะไรกันในกลุ่ม 90 กว่าคนนั้น
ทุกคนคิดว่า ถ้าฝึก 9 เดือนแล้วจบ ก็ได้กลับมาเป็นตำรวจ มันดีกว่าถูกโอนไปอยู่กับอีกหน่วยงาน
ตอนมีคำสั่งแรกออกมา คิดไหมว่าจะมาถึงขั้นนี้
ไม่คิด การธำรงวินัยมีในวงการทหารมาตลอด แต่วงการตำรวจไม่เคยมี
ตอนนั้นคุณมองว่า ‘ธำรงวินัย’ คืออะไร
มันคือการทำโทษนั่นแหละ เอาไปกักตัว ไม่ให้เจอใคร ข่าวออกมาว่า คนพวกนี้สมัครใจ หน่วยงานสวัสดิการดีมาก ถ้ามันดีก็เปิดรับสมัครสิ ทำไมต้องบังคับ ถ้าจะบอกว่าหน่วยงานนั้นรับใช้สถาบันฯ เป็นตำรวจก็ช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่านไง ไม่ต้องรับใช้พระองค์ท่านเสมอไป
ทำไมการปฏิเสธย้ายหน่วยงานด้วยเหตุผลถึงต้องโดนทำโทษ ผู้บังคับบัญชาเคยบอกเหตุผลไหม
เขาเคยบอกนะ แต่เราจำไม่ได้แล้ว (เงียบคิด) แต่ที่แน่ๆ เวลาบอกว่า เราคือแฟนของตำรวจคนนี้ ตำรวจปากไม่ดีบางคนจะพูดกันว่า “พวกไม่จงรักภักดี” เราชอบที่แฟนบอกว่า “การแสดงความจงรักภักดีทำได้หลายแบบ ถ้ารัชกาลที่ 9 เคยดูแลประชาชนของพระองค์ท่าน การเป็นตำรวจแล้วได้ดูแลประชาชน ก็คือการทำงานถวาย ไม่ต้องถวายตัวดูแลใกล้ชิดเสมอไป
เหตุผลที่แฟนบอกว่า ยอมโดน 9 เดือนได้จบๆ ไป ตอนนั้นคุณเห็นด้วยไหม
ไม่ค่อย เราอยากให้ลาออกเลย เวลา 9 เดือนมันนานนะ เอามาทำอะไรได้ตั้งเยอะ เราอยากให้เขาได้อยู่กับลูก มันคือวัยที่ลูกน่ารักที่สุด ได้เห็นลูกคลาน เดินได้ครั้งแรก พูดได้ครั้งแรก (เงียบ น้ำตาไหล) เขาไม่ได้เห็นลูกเดินได้ครั้งแรก คำแรกที่ลูกพูดได้คือ “ป่าป๊า” แต่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ลูกถามหาป่าป๊าตลอด ช่วงที่เขาเปิดให้เยี่ยมได้ เราพาลูกไปเยี่ยม พอบ่ายสองต้องกลับ ลูกร้องไห้ลงกับพื้นดิน ถามเราว่า “หม่ามี้ ทำไมป่าป๊าไม่ได้กลับ” เราต้องบอกไปว่า “ป่าป๊ามาทำงาน เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว”
ปลายปี พ.ศ.2562 เดือนแรกเขาไปฝึกที่ จ.ยะลา เราติดต่อไม่ได้เลย รูปสุดท้ายที่ส่งมาคือกำลังจะขึ้นเครื่องบิน แล้วก็โดนยึดมือถือ ช่วงนั้นเราร้องไห้เกือบทุกคืน เป็นห่วง กลัวมาก หลังจากนั้นถึงรู้ว่าเป็นช่วงทำโทษหนักมาก ไม่ให้อาบน้ำ เข้าไปอยู่ในป่า เข้าพื้นที่สีแดงตลอด เป็นการกดดันให้ใครไม่ไหวก็กลับไปอยู่หน่วยนั้น แต่มันไม่ได้ผลหรอก คนยิ่งโกรธยิ่งเกลียด หลังจากนั้นอีก 8 เดือนก็มาอยู่ที่หนองสาหร่าย (ศูนย์ฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจกลาง หนองสาหร่าย จ.นครราชสีมา) ที่ผ่านมาคนเลี้ยงลูกหลักคือเขา ลูกก็ติดป่าป๊า พอเขาไม่อยู่ 9 เดือน เราเหนื่อยมาก ช่วงนั้นย่า (แม่ของแฟน) ต้องมาช่วยเลี้ยงหลาน
ความรู้สึกของบรรดาเมียๆ เป็นยังไงกันบ้าง
ทุกคนโกรธ อยากทำอะไรสักอย่าง เคยคุยกันว่า ถ้ามีการนัดรวมพลจะออกมากัน อยากออกไปทวงผัวคืน เรายังโชคดีกับอีกหลายคนที่มีคนมาช่วยดูแล และยังมีงานทำ เคยบอกแฟนว่า “ลาออกมาเลย เดี๋ยวเลี้ยงเอง” (หัวเราะ) แต่เมียคนอื่นๆ ผัวคือเสาหลัก ไม่มีทางเลือกอื่น ลาออกไม่ได้แน่นอน
คิดถึงขั้นว่าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยไหม
คิด (ตอบทันที) บางคนบอกว่าเราคิดมาก ไม่นะ เราทำคดีการเมือง รู้ว่ามันโหด การเอาชีวิตใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะเอาก็ต้องเลือกหัวโจก ซึ่งตอนนั้นหัวโจกคือแฟนเรา
เวลาผ่านไปนานไหมถึงได้เข้าไปเยี่ยม
เขาอยู่หนองสาหร่ายสัก 1-2 เดือน ก็ให้เยี่ยมได้ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เก้าโมง – บ่ายสอง พอช่วงมีโควิดก็ห้ามเยี่ยมไป เราไปเยี่ยมตลอด ขับรถไปตั้งแต่วันเสาร์แล้วพักโรงแรมแถวนั้น เพื่อรีบไปเยี่ยมตอนเช้า หรือบางครั้งก็ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์
เวลาขับรถออกจากกรุงเทพฯ ไปหนองสาหร่าย เช็กอินโรงแรม เดินทางไปเยี่ยม คุณอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองยังไง
(เงียบคิด) เรารู้สึกอยู่ตลอดว่า ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย เสียดายเวลา เสียดายบุคลากร ในสายงานสอบสวนสืบสวน ทุกคนชื่นชมว่าเขาเป็นพนักงานที่ดี คนในกลุ่มนั้นเก่งๆ หลายคน ช่วงนั้นพวกเขาต้องตื่นมาถอนหญ้าข้างทาง ขุดต้นไม้ หั่นต้นไม้ ทำอะไรไร้สาระไปเรื่อย ตอนหลังถึงเริ่มมีหลักสูตรการฝึก ขี่มอเตอร์ไซค์ ดำน้ำ ฝึกเยอะมาก ถ้ามองในมุมกฎหมาย เขาคงมองว่าเอาคนพวกนี้มาแล้วไม่มีอะไรรองรับ ก็ต้องหาการฝึกมารองรับ
เป้าหมายในการธำรงวินัยคือการทำให้เข็ดหลาบแค่นั้น
ใช่ เคยมีบางคนพูดว่า “ถ้าไม่ทำอะไรกับคนกลุ่มนี้ เดี๋ยวก็เป็นเยี่ยงอย่างให้คนกลุ่มอื่น”
บรรยากาศในการเยี่ยมเป็นยังไงบ้าง
พอเรานั่งตรงข้ามกัน ก็มีคนมาถ่ายรูปไปส่งนาย ถ่ายเสร็จแล้วบอกว่า “โอเคครับ นั่งคุยได้” ถ้าเจอคนดีๆ ก็ดีไป แต่ช่วงเดือนท้ายๆ มีการเปลี่ยนคนคุม คนนั้นจะกร่างๆ หน่อย มาถึงก็ขอยึดมือถือของญาติ แต่เราไม่ให้ยึด ตอบกลับไปว่า “คุณเอากฎหมายอะไรมายึด เขาไม่ใช่นักโทษ พวกเขามาฝึก ตอนนี้คือเวลาเยี่ยมญาติ” คนนั้นโกรธมาก หน้าแดงเลย พูดกลับว่า “ยังอยากจะเยี่ยมอยู่ไหม ถ้าเรื่องเยอะก็ไม่ต้องเยี่ยม” เราบอกว่า “การเยี่ยมเป็นสิทธิ” แล้วยืนยันว่าไม่ให้ยึด เจ้าหน้าที่คนนั้นไปดุแม่ของตำรวจคนหนึ่งด้วย “เอามือถือมานี่!” ตอนแรกเขาตกใจ แล้วหันมามองเรา พอเห็นว่าเราเถียง เขาตะโกนด่าเลย “ไอ้เหี้ย นี่ลูกกู มึงไม่มีลูกไม่มีเมียหรือไง!” ยืนชี้หน้าด่าเลย เราต้องบอกว่า “ใจเย็นค่ะ เดี๋ยวจัดการให้”
ตอนนั้นคนคุมพูดว่า “โอเค เดี๋ยวเห็นดีกัน” เขาสั่งให้คนมาเยี่ยมทั้งหมดไปรวมแถว แล้วพูดดังๆ ให้เราได้ยินว่า “เนื่องจากมีญาติคนนึงเรื่องเยอะ งั้นวันนี้งดเยี่ยมญาติ เปลี่ยนสภาพไปฝึก” แม่แฟน ลูก และเพื่อนแฟนก็อยู่ตรงนั้น เราคิดในใจว่า แฟนต้องด่าเราแน่เลย แต่แฟนเรากลับพูดว่า “กูไม่ฝึก!” เรารู้สึกดีมากเลย เพราะทุกทีต้องโดนหาว่าพวกชอบอ้างสิทธิแล้ว (หัวเราะ) ตำรวจคนอื่นๆ ตรงนั้นก็บอกว่า “ถ้าพี่ไม่ฝึก พวกผมก็ไม่ไป” สุดท้ายคนคุมก็หน้าแห้งแล้วขับมอเตอร์ไซค์ออกไปเลย
คนไปเยี่ยมเยอะไหม
ทั้งหมดที่ไปเยี่ยมไม่เกิน 5 ครอบครัว จากทั้งหมด 97 คนจะมีนักเรียนนายร้อย 10 กว่าคน ที่เหลือก็ยศอื่นๆ มาจากหลายจังหวัด มันไม่ใช่ทุกคนที่มีกำลังมีเวลาไปเยี่ยมได้ บางคนเมียเพิ่งคลอดลูก ลูกเกิดมาแล้วไม่ได้เจอหน้าพ่อ บางคนแม่ป่วย ก็ไม่ได้ดูแล หรือบางคนพ่อติดเตียง ก็ต้องหาคนมาดูแล อีกอย่างพอมาฝึกแบบนี้ เงินที่ได้ในแต่ละเดือนก็ลดลง
ถ้าการธำรงวินัยเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในฐานะนักกฎหมาย เราได้ทำอะไรในกลไกปกติได้ไหม
ถ้าใครเป็นเพื่อนเราในเฟซบุ๊ก ช่วงนั้นเราโพสต์ถึงเหตุการณ์นี้เยอะ โพสต์ทีก็มีคนเอาไปฟ้องนาย นายก็บอกผ่านแฟนให้มาบอกเราลบโพสต์ ช่วงนั้นมีแต่คนบอกให้เราเงียบ ทุกคนบอกว่า ถ้าพูดอะไรเยอะ เขาจะเป็นอันตราย เราก็ใช้วิธีการโพสต์โดยคนไม่รู้ว่าเรื่องอะไร คนอ่านก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องโดนเตะตำแหน่ง พอโรมอภิปรายในสภา คนทักมาเยอะเลยว่า “รู้แล้วว่าทำไมช่วงนั้นถึงเครียด” ถ้านอกจากการสื่อสาร ก็มีเรื่องฟ้องคดี แต่มันต้องมีผู้เสียหาย มีวัตถุแห่งคดีในการฟ้อง ก็ต้องเป็นตัวเขา พอเขาออกมาก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะมันจบไปแล้ว
การทำอะไรไม่ได้แบบนี้ ความรู้สึกในแต่ละวันเป็นยังไง
เครียด ตลอดชีวิตของเราตั้งแต่เกิดยันโต เราวางแผนชีวิตตัวเองได้ตลอด ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ไม่เคยมีปัญหาเลย แต่พอเจอเรื่องนี้ เราคอนโทรลชีวิตไม่ได้จนต้องไปหาจิตแพทย์ เราเครียดเพราะเคยคอนโทรลชีวิตได้ พอคอนโทรลไม่ได้ก็เครียด จิตแพทย์เลยให้คำปรึกษาว่า “คิดสั้นๆ พอ วันนี้จะทำอะไร พรุ่งนี้จะทำอะไร วันอาทิตย์จะได้เจอแฟนแล้ว กลับมาทำงาน 5 วันแล้วไปเจอแฟนอีกครั้ง” พอคิดแบบนั้นได้ก็ดีขึ้น แฟนก็พยายามมองบวกว่า ตอนนี้มาฝึก ได้ความรู้ใหม่ๆ เราทั้งสองคนต้องคิดบวก เพราะถ้าคิดลบก็แย่ทั้งคู่ แล้วทะเลาะกัน แค่นี้ก็แย่พอแล้ว อย่าทะเลาะกันอีกเลย
วันแรกๆ ที่แฟนออกมา ชีวิตเป็นยังไงบ้าง
เขาออกมาเดือนมิถุนายน พ.ศ.2563 เราโล่งที่ได้อยู่ด้วยกันสักที เขาก็อยากกลับไปทำงานแล้ว บางคนก็มองเขาว่า อ๋อ ตำรวจที่ไม่จงรักภักดี ชื่อเสียงดังในเรื่องนี้ไปเลย แต่เขาไม่สนใจคำพูดพวกนั้น เราสองคนอยากทำอะไรสักอย่าง แต่หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเราก็เส้นเลือดในสมองแตก ต้องดูแลพ่อที่ติดเตียงอยู่หลายเดือน ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว ช่วงนั้นเลยไม่มีเวลาได้เครียดเรื่องอื่นเลย
สิ่งที่เราเห็นคือ เขาทำงานไปตามหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบตามปกติ แต่ไม่ทุ่มเทจนลืมให้เวลากับครอบครัว ช่วงเวลา 9 เดือนนั้น เขาคิดได้เยอะมาก เขาเคยทุ่มเทให้งานโดยไม่ได้มองครอบครัว แต่วันที่มีปัญหาจริงๆ คนที่รับเคราะห์ที่สุดคือเมีย ลูก และแม่ของตัวเอง ตอนนี้เขาทำธุรกิจไปด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกครั้ง เขาคงออกจากงานจริงๆ แล้ว
คุณอยากบอกอะไรกับผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งนี้
เราอยากเจอตัวพวกเขา อยากคุยด้วยว่า รู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำมันทำร้ายครอบครัวของตำรวจขนาดไหน และมันทำร้ายตำรวจที่เคยรักในอาชีพนี้ ทำร้ายบุคลากรของตัวเอง มันคือการทำลายจิตวิญญาณของคนเลย หลายคนกลายเป็นคนอยู่เป็น คนที่อยู่ด้วยจิตวิญญาณ ตั้งใจทำงานจริงๆ มันแทบไม่มีแล้ว เรากำลังทำเรื่องลดน้ำหนัก ก็ชวนคนรอบตัวมาลดน้ำหนัก พอชวนตำรวจ มันกลายเป็นเรื่องตลกที่บางคนพูดว่า “ไม่ลดน้ำหนักหรอก เดี๋ยวโดนคัดตัว” ถ้าหุ่นดีแล้วโดน งั้นก็มีพุงไปเลย ไม่อยากทำงานให้ดี ถ้าเด่นมากเดี๋ยวโดนคัดตัว
หลังจาก รังสิมันต์ โรม อภิปรายในสภาและนอกสภาได้ไม่นาน คุณตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กว่า สามีของเราคือ 1 ใน 97 คนนั้น เรื่องจบไปหลายเดือนแล้ว อยู่เงียบๆ ก็ปลอดภัย คุณมูฟออนไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ
หลังจากโรมออกมาพูด ต้องมีคนออกมาพูดว่า “เฟกนิวส์หรือเปล่า” “คิดไปเองหรือเปล่า” เราเลยอยากซัพพอร์ตว่า สิ่งที่โรมพูดคือเรื่องจริง แล้วในโพสต์ของเรื่องนี้ ก็มีบรรดาเมียๆ มาคอมเมนต์เต็มเลย ทุกคนที่คิดถึงเรื่องนี้แค้นกันหมด เมียๆ โกรธแรงกว่าผัวนะ ถ้ารวมพลังกันน่ากลัวกว่าอีก (หัวเราะ)
สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฮือฮาแค่ช่วงสั้นๆ แล้วเงียบหายไปหรือเปล่า
เรามีคิดว่าอาจเป็นแบบนั้น
ในฐานะเมียตำรวจ ทนายความ และคนที่ทำคดีการเมืองมาหลายปี ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหายควรทำยังไง
(เงียบคิด) เราอยากให้ 97 คนออกมาพูด ทุกคนเป็นห่วงโรมว่าจะโดนฟ้องคดี ถ้าโดนจริงๆ พวกเขาก็พร้อมไปเป็นพยานให้
ใครจะอยากออกมาพูด เหนื่อยมาแล้ว เจ็บปวดมาแล้ว อยู่เฉยๆ สบายกว่า
เราอยู่ใน Clubhouse มาหลายวัน ไม่คิดว่าจะมีคนออกมาพูดเยอะขนาดนี้ ลูกตำรวจ เมียตำรวจ พ่อแม่ตำรวจ พวกเขาเจออะไรบ้าง ลูกเล่าว่า พ่อเป็นตำรวจ เพิ่งออกจากเรือนจำ เพราะไปขัดขาผู้มีอำนาจเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เมียเล่าว่า ผัวจะฆ่าตัวตายเพราะเรื่องตำแหน่ง ฯลฯ
เวลาใครยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมา มักมีคำพูดใหญ่ๆ เช่น ต้องแก้ปัญหาในเชิงระบบ ต้องปฏิรูปตำรวจ คุณมองยังไง
เราพูดคำเหล่านี้กับแฟนประจำ เขาก็บอกว่า ถ้าคนรุ่นเก่าตายหรือหมดอำนาจ เดี๋ยวคนรุ่นใหม่จะมาแทน หลายคนมีความคิดคนละแบบกับรุ่นเก่า
เห็นด้วยไหม
ตอนแรกเราไม่เห็นด้วย ต้องพูดตอนนี้สิ แต่พอเรื่องมาตรา 112 ที่อยู่ๆ คนก็พูดกันมาก เราทำคดีนี้มาหลายปี เมื่อก่อนพูดอะไรไม่ได้เลย กลัวไปหมดเลย แต่อยู่ดีๆ ก็พูดกัน เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนเร็วจริงๆ เราเลยพยายามมองว่า วันหนึ่งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ในเรื่องตำรวจหรือเรื่องอื่นๆ ก็ได้
ถ้าคนรุ่นใหม่ความคิดดีๆ มาเป็นตำรวจ แต่เจอแรงเสียดทาน อาจถูกกลืน อาจถูกเด้ง การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นยังไง
(เงียบคิด) เราว่าสุดท้ายมันคือปัญหาการเมืองเลย ยุคนี้ตำรวจเป็นตำรวจที่อิงกับการเมืองเป็นหลัก การเมืองไปทางไหนก็ไปทางนั้น ตำรวจตอนนี้อ้างอิงกับประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ประวิตร (วงษ์สุวรรณ) ไม่ได้อิสระ ถ้าการเมืองเปลี่ยนได้ ตำรวจก็มีโอกาสเปลี่ยนได้