“อยู่ [กลางแจ้ง] ประมาณ 10 ชั่วโมง ก็กังวล แต่ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้” คือความในใจของ ปาริชาติ ภู่เกตุ แม่ค้าร้านลูกชิ้น ริมถนนหน้าร้านสะดวกซื้อ ย่านรัชดา–ห้วยขวาง ในช่วงที่มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 ปกคลุมหลายจังหวัดทั่วประเทศ
ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2568 เป็นต้นมา มลพิษทางอากาศเริ่มส่งผลกระทบให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ต่างจากปีที่ผ่านๆ มา โดยในวันที่ฝุ่น PM2.5 หนักสุด อย่างวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีค่าเฉลี่ยในกรุงเทพฯ สูงถึง 88.4 มคก./ลบ.ม. และเมื่อวันที่ 23 มกราคม มีจังหวัดที่มีความเข้มข้นของ PM2.5 ที่มีผลต่อสุขภาพ (มากกว่า 75 มคก./ลบ.ม.) ถึง 15 จังหวัด
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อธิบายเมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า ฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นมาจากไหน หลักๆ มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1. รถยนต์ 2. การเผา 3. สภาพอากาศปิด โดยเฉพาะช่วง 2 วันที่อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้ฝุ่นที่มียิ่งสะสมหนักหนาขึ้น ซึ่ง 2 ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เลยคือ สภาพอากาศปิดเพราะเป็นวิถีธรรมชาติ และการเผาที่มาจากรอบนอก
แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะเริ่มนำร่อง ประกาศขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐและเอกชน ให้ทำงานที่บ้าน (work from home) ในช่วงวันที่ 20-21 มกราคม และขยายเวลาจนถึงวันที่ 24 มกราคม แต่ก็ไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญฝุ่นในลักษณะนี้ได้
The MATTER ชวนไปฟังเสียงคนทำงานกลางแจ้งสู้ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทั้งคัน แสบ ระคายเคือง แต่ต้องทน
เสียงจากคนทำงานกลางแจ้ง ท่ามกลางฝุ่นพิษ PM2.5
สุรศิลป์ แก้วมุสี – วินมอเตอร์ไซค์
“แย่มาก เซ็งมากเลย มองไปข้างหน้านึกว่าฝน แต่ไม่ใช่”
สุรศิลป์ แก้วมุสี วินมอเตอร์ไซค์ ในวัย 57 ปี บอกกับ The MATTER ว่า เขาต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นเวลาออกวิ่ง และตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีฝุ่นเยอะมากจนมองไม่เห็นตึกที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ห่วงสุขภาพไหม? เราถาม “ห่วงสิ อายุเยอะแล้ว 57 แล้วปีนี้” สุรศิลป์ตอบพลางหัวเราะ
ประเสริฐ ศรีสมบุญ – คนขับตุ๊กตุ๊ก
“มันก็ต้องใส่ [หน้ากาก] ใส่ประจำตั้งแต่ขับตุ๊กตุ๊กมา 30 กว่าปี หูดำหมดเลยทั้ง 2 ข้าง ถ้าไม่ใส่มันจะแพ้” ประเสริฐ ศรีสมบุญ คนขับรถตุ๊กตุ๊กที่จอดรอลูกค้าหน้าศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ พระราม 9 เล่าให้ The MATTER ฟัง
“ถ้าไม่ใส่ ใส่เสื้อแขนสั้น เวลาลูบมามันจะมีแต่ขี้ฝุ่น หน้าก็แบบนี้ ต้องเข้าไปล้างในห้องน้ำ ฝุ่นละออง ฝุ่นจากรถบ้าง จากสิ่งก่อสร้าง หรือขี้ฝุ่นบ้าง เวลาเขาสร้างถนน มันจะมีขี้ฝุ่น”
ปราโมทย์ โสมลา – คนขายลอตเตอรี่
ปราโมทย์ โสมลา คือคนขายลอตเตอรี่ที่พิการทางสายตา ทุกๆ เช้า เขาจะปั่นจักรยานออกไปวางแผนขายบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บนถนนรัชดาภิเษก และในช่วงบ่าย จะขยับมาขายลอตเตอรี่ที่บริเวณแยกพระราม 9
สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตได้จากการทำงานกลางแจ้งในช่วงนี้ คือ อาการระคายเคืองจากฝุ่นควัน
“ฝุ่นควันก็ส่งผล บางครั้งก็แสบตา ระคายคอบ้าง แสบคอ”
อาทิมา พิมพ์ทอง – แม่ค้า
“มันคัน แสบจมูก เพราะเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว”
เช่นเดียวกับคนทำงานกลางแจ้งคนอื่นๆ อาทิมา พิมพ์ทอง แม่ค้าที่ตั้งโต๊ะขายไก่ย่างในซอย ย่านรัชดา–ห้วยขวาง บอกว่า เธอมีอาการจากมลพิษทางอากาศ ประกอบกับเป็นโรคภูมิแพ้อยู่ก่อนแล้ว
อาทิมากล่าวกับเราว่า มีความกังวลต่อสุขภาพ ทำได้ป้องกันโดยการใส่หน้ากาก ซึ่งก็ต้องใส่บ้างถอดบ้าง เพราะถ้าใส่ตลอดจะทำให้อึดอัด
“ก็อยากให้มีการแก้ไข แต่ก็แก้ไม่ได้สักที” เธอว่า
ปาริชาติ ภู่เกตุ – แม่ค้า
ปาริชาติ ภู่เกตุ คือแม่ค้าอีกหนึ่งคนที่ต้องออกมาทำงานกลางที่แจ้ง โดยในทุกๆ วัน เธอจะมาตั้งร้านขายลูกชิ้นและไส้กรอกริมถนนหน้าร้านสะดวกซื้อ – เป็นเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงของทุกวัน ที่เธอต้องใช้ชีวิต ท่ามกลางมลภาวะ
“ก็แสบจมูก แล้วก็มีอาการน้ำตาไหล แต่ก็ต้องทน เพราะว่าทำงานกลางแจ้ง” ปาริชาติบอกกับ The MATTER
“หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าบางที อยู่ตึกข้างบน เช้าตื่นมาก็ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่หมอก เห็นฝุ่นนั่นแหละ สายๆ ถึงจะเห็นว่ามีตึกมีอะไร ก็รู้แล้วว่า อากาศไม่โอเค
“ก็กังวล แต่ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้”
มลพิษทางอากาศ กระทบทั้งสุขภาพ และเศรษฐกิจ
แน่นอนว่า สำหรับกลุ่มผู้ทำงานกลางแจ้งเหล่านี้ กรมควบคุมโรคได้จัดให้เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบระยะยาวจากฝุ่น PM2.5 แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรง ตัวอย่างอาชีพได้แก่ ตำรวจ พนักงานเก็บขยะ พนักงานรักษาความปลอดภัย มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ค้าริมถนน วิศวกร คนงานก่อสร้าง
และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ตามที่กรมควบคุมโรคระบุ ประกอบด้วย เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอายุครรภ์ 6 เดือนแรก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และกลุ่มผู้สูบบุหรี่
จากข้อมูลระบบคลังข้อมูลสุขภาพ หรือ Health Data Center (HDC) พบว่า ในเดือนมกราคม ปี 2567 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสฝุ่น PM2.5 มากถึงประมาณ 500,000 ราย แบ่งเป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ 214,180 คน กลุ่มโรคตาอักเสบ 190,889 คน กลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 126,553 คน โรคหืด 11,221 คน และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 2,171 คน
ส่วนในช่วง 3 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ปีนี้ (พ.ศ. 2568) ข้อมูลในภาพรวมเบื้องต้น ระบุว่า มีผู้ป่วยที่เข้ารับบริการราว 144,000 คน โดยเป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบมากที่สุด