รู้ไหมครับว่าข้อจำกัดเดียวของการเป็นคนดังคืออะไร? กายภาพอย่างไงล่ะครับ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นนักแสดงนั่นหมายความว่าถ้าวันนั้นคุณมีสองคิวงานที่ชนกัน คุณต้องตัดใจทิ้งหนึ่งงานไปเพื่อรับอีกหนึ่งงานที่คิดว่าสำคัญที่สุดไว้ แม้ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองงานนั้นอาจจะสำคัญมากกับชีวิตคุณในวันข้างหน้าก็ได้ใครจะรู้
แล้วข้อจำกัดที่สองของมนุษย์เราก็คือเรื่องของกายภาพอีกแหละครับ แต่ไม่ใช่กายภาพในแง่ของการปรากฏตัวได้ทีละสถานที่ แต่เป็นเรื่องของกายภาพในแง่ที่เราไม่สามารถโหมงานแบบเครื่องจักรได้เพราะตราบใดที่เรายังต้องใช้ตัวตนเป็นเครื่องมือในการหาเงิน สมมติถ้าดาราคนนึงมีงานเข้ามาพร้อมกันสัก 9 งานแล้วเขาไม่สามารถรับมือกับทั้ง 9 งานได้พร้อมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาต้องเสียโอกาสที่เข้ามาบางส่วนนั้นออกไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะว่าแค่เขาไม่สามารถที่จะฝืนร่างกายให้ทำงานต่อไปได้ครับ
สมมติว่าถ้าคุณเป็นดาราดังอย่าง เดวิด เบคแคม (David Beckham) อดีตนักฟุตบอลปีกขวาสุดหล่อทีมชาติอังกฤษขวัญใจสาวทั่วโลก ที่คุณบังเอิญได้รับงานจากโครงการหนึ่งที่ต้องการให้คุณพูดเพื่อโฆษณาให้กับแคมเปญหนึ่งที่ต้องการกระจายออกไปทั่วโลก แต่ปัญหาคือแคมเปญนี้ต้องการให้เดวิด พูดออกไปเป็นภาษาท้องถิ่นเสมือนคนในประเทศนั้น เพื่อที่จะทำให้คนฟังรู้สึกประทับใจถ้าตัวเขาสามารถพูดภาษาเดียวกับชาวบ้านคนฟังได้ เพราะจากการวิจัยบอกว่านั่นจะทำให้ชาวบ้านหรือกลุ่มเป้าหมายรู้สึกอยากจะทำตามมากกว่าแค่พูดภาษาเดียวแล้วมาพากย์เสียงทับ หรือใส่ซับไตเติ้ลลงไปครับ
ถ้าอย่างนั้นทางเดวิด เบคแคมจะต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถรับงานนี้ได้โดยที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ ครั้นจะให้เจ้าตัวไปเรียนภาษาต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มเพื่อให้สามารถพูดได้เหมือนสำเนียงคนถิ่นก็ไม่ใช่ ด้วยเวลาอันน้อยนิดและทางเจ้าตัวเองก็คงรู้สึกว่างานนี้มันยุ่งยากเกินไปจนทำให้ต้องปฏิเสธงานไปแน่ๆ ครับ
และนั่นก็คือจุดที่เทคโนโลยี Deepfake เข้ามาแก้ปัญหา ด้วยการที่ทำให้ เดวิด เบคแคมพูดแค่ครั้งเดียวกับหน้ากล้องตัวเดียว เพียงเท่านี้ทีมงานหลังบ้านก็สามารถสร้างใบหน้าของเขาออกมาให้พูดได้อีกเป็นสิบหรือเป็นร้อยภาษาโดยที่เจ้าตัวเจ้าของหน้าไม่ต้องมาถ่ายหน้ากล้องเพิ่มแม้แต่นาทีเดียว
อ่านถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยหรืออาจพอเคยได้ยินคำว่า Deepfake มาบ้างแล้ว ใครที่พอรู้ก็อ่านต่อไปเป็นเพื่อนคนที่อาจจะเคยได้ยินแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เรามาลองทำความรู้จักและเจ้าใจ Deepfake ให้ลึกขึ้นอีกนิดนึงแล้วกันครับ
Deepfake คือเทคโนโลยีการปลอมแปลงใบหน้าขั้นเทพ (เอาจริงก็สามารถเลียนแบบน้ำเสียงได้ด้วย) ด้วยความฉลาดเหลือล้ำของ AI ในวันนี้ทำให้การถอดรหัสแกะใบหน้าออกมาเป็นเรื่องง่าย จากเดิมใครที่เคยเรียนเรื่องภาพยนตร์มาจะรู้ว่าการจะรู้ว่ากล้ามเนื้อใบหน้าตรงไหนขยับบ้างต้องเอาสิ่งที่เหมือนเข็มหมุดสีเขียวมาปักไว้บนหน้า จากนั้นก็ตรวจสอบจากกล้องว่าจุดสีเขียวขยับอย่างไร แล้วค่อยเอาตรงนั้นมาเป็นแนวทางการสร้างใบหน้าที่ซ้อนทับขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ก็นั่นแหละครับ เทคโนโลยีในวันก่อนมันช่างมีทั้งความซับซ้อน ยุ่งยาก ราคาแพง และเต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์มากมาย แต่วันนี้ถ้าเราอยากลอกใบหน้าใครนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราแค่เอาคลิปวิดีโอคนที่เราต้องการมาสักนิด เอารูปภาพเขามาสักหน่อย จากนั้น AI ก็จะไปทำการถอดรหัสใบหน้าของคนนั้นออกมา เป็นเสมือนหน้ากากดิจิทัลที่เพียงแค่เราพูดกับกล้อง หรือมองกล้องเป็นปกติ ใบหน้าจำลองของคนที่เราต้องการก็จะทำท่าทางเสมือนเราเปี๊ยบ จนแยกไม่ออกเลยทีเดียว
ถ้าคุณเสิร์ชหาคำว่า Deepfake จะเห็นคลิปมากมายที่ปลอมแปลงใบหน้าเป็นคนดังระดับโลกอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump), วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin), บารัค โอบามา (Barack Obama), มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberk) หรือแม้แต่ในวงการ Hollywood ยังมีการเอาคนดังที่ไม่อยู่แล้วได้กลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะมีการทำใบหน้าปลอมของคนนั้นให้กลับมาอ่อนเยาว์เสมือนจริงที่นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับมาเลย
เมื่อเทคโนโลยี Deepfake มันปลอมได้อย่างแนบเนียนจนเราแทบจะแยกอันไหนจริงอันไหนเท็จไม่ออก ก็สมกับชื่อของเทคโนโลยีมันจริงๆ ที่บอกว่า Deepfake นั่นก็คือปลอมได้ลึกลงไปถึงอณูจนผมอยากให้ทุกคนได้ลองดูคลิปข้างล่างนี้ก่อนจะอ่านต่อจริงๆ ครับ
เมื่อคุณดูคลิปวิดีโอข้างบนจบแล้วอาจจะร้องอุทานว่า “โอ้ว้าว” ใครๆ ก็สามารถทำ Deepfake ได้ไม่ยาก ดังนั้นก็นำมาสู่คำถามสำคัญต่อจากนี้ว่า แล้วถ้ามีคนอื่นเอาใบหน้าเราไปใช้ในทางที่ผิดล่ะเราจะทำอย่างไรได้บ้าง?
ก็ในเมื่อเจ้าเทคโนโลยี Deepfake มันสามารถปลอมแปลงเป็นเราได้อย่างแนบเนียนจนแทบไม่เหลือความต่าง แล้วถ้าเกิดมีคนหวังร้ายขึ้นมาเปิดกล้องคุยกับคนปลายทางแล้วปลอมตัวว่าเป็นเรา อาจจะมีการบอกให้โอนเงินเข้ามาให้หน่อยเพราะกำลังร้อนเงินอยู่ หรืออาจจะวิดีโอคอลไปทำอะไรเสียหายที่เราไม่ต้องการก็เป็นได้ครับ
ยังไม่นับอีกว่าเกิดอีกหน่อยเราปลอมหน้าด้วย Deepfake เป็นคนอื่นแล้วก็หลอกลวงอีกฝ่ายให้รักขึ้นมา เราคงได้เห็นข่าวคดีหลอกเป็นแฟนกันทางออนไลน์โดยยังไม่เคยเจอตัวจริง ทุกวันนี้เอาแค่ส่งรูปให้กันไม่เปิดวิดีโอคอล ยังโอนหมดกันเป็นแสนเป็นล้าน เกิดอีกคนเหล่านี้ใช้ Deepfake จัดเต็มเปิดวิดีโอคอลทุกวันแต่อีกฝ่ายปลายทางไม่รู้ว่าใบหน้าที่เห็นนั้นคือภาพที่ถูกสร้างขึ้นจาก AI ด้วย Deepfake นั้นจะหมดกันไปอีกสักขนาดไหนเลยทีเดียว หรือไม่แน่คดีแบบนี้อาจไม่มีให้เป็นข่าวอีกก็ได้นะครับ ก็ในเมื่อการได้เห็นหน้าตากันผ่านออนไลน์แบบวิดีโอก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเชื่ออย่างปักใจจนยอมเป็นแฟนกันทางออนไลน์ไปอีกนานก็เป็นได้
แต่สำหรับนักการตลาดเอง
ก็สามารถเอาเทคโนโลยี Deepfake นี้
ไปต่อยอดได้อีกมากมายเช่นกัน
อย่างตัวอย่างของการที่ให้เดวิด เบคแคมถ่ายวิดีโอโฆษณาแค่ครั้งเดียว แทนที่จะต้องเป็นเก้าครั้ง สิบครั้ง แล้วก็ต้องเสียเงินเสียเวลาให้เขาไปหัดพูดให้ครบทุกภาษา ทางทีมงานก็สามารถเอาเทคโนโลยีมาช่วยได้ง่ายๆ สบายๆ เพราะพูดแค่ครั้งเดียวใช้เวลาถ่ายไม่นาน ก็ทำให้ประหยัดงบในการจ้างดาราดังที่คิดค่าตัวเป็นรายชั่วโมงได้สบายๆ
สำหรับนักแสดง หรือคนดังบางคนที่ไม่สามารถอ่านข่าวออกกล้องได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่พอมีเทคโนโลยี Deepfake เข้ามาเขาก็สามารถให้ทีมงานที่มีทักษะการพูดที่ดีใกล้เคียงกันมาเป็นคนพูด หรือออกกล้องแทนเขาได้ไม่ยาก ก็ในเมื่อเทคโนโลยี Deepfake สามารถปลอมแปลงใบหน้าได้ลึกจนแยกด้วยตาไม่ออกแล้ว ก็เหลือแค่ทักษะการพูดเท่านั้นแหละที่พนักงานคนนั้นต้องฝึกฝนให้คนฟังแยกไม่ออกอีกให้ได้ครับ
ในทางกลับกันอีกหน่อยบรรดาดาราดังอาจจะสามารถขายลิขสิทธิ์การใช้ใบหน้าของตัวเองให้กับแบรนด์ต่างๆ เอาไปใช้สร้างโฆษณา หรือสื่อการตลาดต่างๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนเลยแต่ก็ยังสามารถทำเงินได้ดีกว่าเดิมสบายๆ แล้วอาชีพใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นก็คือ talent หรือนักแสดงแทนที่สามารถโพสต์ หรือพูดเลียนแบบได้เหมือนกับดาราดังคนนั้น ผมว่ารายการประเภทเลียนแบบดาราจะไม่ได้ทำแค่เพื่อความบันเทิง แต่จะสามารถเอามาทำเป็น commercial ได้สบายๆ ครับ
แต่สุดท้ายนี้ผมก็แอบนึกถึงอีกหนึ่งแง่มุมที่น่าเศร้าถ้าทั้งหมดที่พูดมาเป็นเรื่องจริง คุณลองคิดดูซิครับว่าที่คุณเลือกดูดาราดังคนนึงก็เพราะคุณอยากรู้สึกว่าได้เข้าใกล้ตัวตนเค้ามากขึ้นอีกนิด แต่ถ้าคนดูรับรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผ่านจอนั้นไม่ใช่ตัวจริงที่ตนเองคาดหวังไว้ คนดูจะรู้สึกอย่างไร จะยังอยากดูอยู่มั้ย หรืออีกหน่อยเราอาจจะเกิดมาตรฐานทางจริยธรรมใหม่ที่ว่า ถ้านี่คือ Deepfake ของดาราคนนั้น ต้องมีการแจ้งให้คนดูได้รับรู้ด้วยนะ
และนี่ก็คือเรื่องราวของ Deepfake เทคโนโลยีสุดล้ำที่มีสองด้าน ในด้านลบก็อาจจะส่งผลเสียต่อสังคมเพราะเราไม่สามารถเชื่อใจได้ว่าไอ้ที่เห็นอยู่กับสองตานั้นจะเป็นความจริงเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ในด้านบวกก็คือทำให้หลายๆ คนโดยเฉพาะคนดังสามารถประหยัดเวลาในการทำงานแล้วก็เหลือเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น และแน่นอนก็จะก่อให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ตามมาในวงการบันเทิง รวมไปถึงสำหรับนักการตลาดแล้วก็สามารถซื้อแค่ลิขสิทธิ์การใช้ใบหน้าของดาราหรือคนดังที่เราต้องการ จากนั้นเราก็สามารถสั่งให้ Talent แก้งานให้ได้ดั่งใจ จากเดิมที่แก้งานดาราคนดังไม่ค่อยได้ ทั้งด้วยความเกรงใจหรืออะไรก็แล้วแต่
Deepfake จะกลายเป็นอะไรที่ Matter for Marketing อย่างมากในเร็ววัน เหลือแค่ว่าวันนั้นคือวันไหน จะเป็นพรุ่งนี้หรือปีหน้า หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่คุณอ่านบทความนี้แล้วก็ได้ครับ