ไม่เพียงการทำแท้งจะถูกว่าบาปอยู่เสมอ แต่เรื่องยังถูกป้ายสีให้เป็นฆาตรกรรมอยู่ตลอด และในปิตาธิปไตยทันทีที่พูดถึงการยุติการตั้งครรภ์ เยาวชนวัยรุ่นหญิง เด็กสก๊อย ‘แม่วัยใส’ ก็มักตกเป็นเป้าชำเลืองค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนผู้หญิงกลุ่มอื่น ว่าร่านบ้างแรดบ้าง ใจแตก ฆาตรกรรมผู้บริสุทธิ์ เป็น ‘แม่ใจแตก’ ‘แม่ใจยักษ์ใจมาร’
ทั้งนี้เพื่อจะควบคุมกำกับเพศวิถีให้อยู่วาทกรรม ‘รักนวลสงวนตัว’ ขณะที่ภาวะท้องไม่พร้อมและการทำแท้งมักไม่ค่อยจะโฟกัสไปยังฝ่ายชายเจ้าของน้ำเชื้อที่ไหลเข้าไปปฏิสนธิในรังไข่
ทั้งที่จริงไม่ว่าวัยไหน ทำงานแล้ว วัยกลางคน แม่บ้าน หญิงแต่งงานแล้ว วัยใกล้หมดประจำเดือน ใครๆ ก็ท้องไม่พร้อมได้ตราบเท่าทีมีมดลูกแต่ไม่ประสงค์จะมีลูก ณ ขณะนั้น เพราะความพร้อม-ไม่พร้อม มันก็มีหลายปัจจัย ทั้งการเงิน สุขภาพ ความสุข ปริมาณลูกที่มีอยู่แล้ว เข้าไม่ถึงหรือการคุมกำเนิดที่ไม่ได้ประสิทธิผล บรรยากาศในครอบครัว แม่บ้านบางคนยังไม่รู้ว่าท้องแล้วต่อมาเลิกกับแฟน ภรรยาบางคนหย่ากับสามีโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ สามีบางคนตั้งสินใจบวชไม่สึกก็มี
มันไม่ใช่แค่เรื่องวัย และแน่นอนไม่ใช่ความร่าน
เหมือนกฎหมายมาตราอื่นๆ ในประเทศไทยที่จำกัดสิทธิเสรีภาพเนื้อตัวร่างกายประชาชน การยุติการตั้งครรภ์ก็ยังเป็นอาชญกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 ซึ่งก็มุ่งลงโทษที่ผู้หญิงเท่านั้น “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ” และมาตรา 302 ที่ลงโทษ “ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม”
ไม่ได้จะบอกว่าให้เพิ่มโทษผู้ชายที่ทำให้ท้องด้วย หากแต่มาตรานี้ควรยกเลิกต่างหาก
เพราะแม้ในมาตรา 305 จะอนุญาตให้สิทธิผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ได้ โดยแพทย์อย่างถูกกฎหมาย แต่เป็นการใช้สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ภายใต้อำนาจและการตัดสินใจของแพทย์ ไม่ใช่หญิงเจ้าของครรภ์เอง และจะต้องเป็นการตั้งครรภ์จากความรุนแรง ข่มขืนชำเรา ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม ไม่ได้ให้สิทธิเจ้าของครรภ์ตัดสินใจอย่างอิสระ ทั้งๆ ที่มดลูก และรังไข่ก็ของเธอเอง
กฎหมายอาญามาตรา 301-305 เป็นกฎหมายที่เพิ่งสร้างในปี 2500 ในยุคที่ไม่มีนักกฎหมายหญิงเข้ามามีส่วนร่วม ในยุคแห่งการควบคุมกำกับสิทธิเสรีภาพ[1] เป็นยุคที่นักกฎหมายยังไม่สามารถแยกศีลธรรมความเชื่อส่วนตัวออกจากกฎหมายได้ และก็เป็นยุคเดียวกับการพัฒนาชาติ ซึ่งเห็นว่าประชากรเป็นส่วนหนึ่งทรัพยากรรัฐที่ต้องเร่งผลิตมาร่วมกันพัฒนา แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎหมายที่พัฒนาอะไรไปมากนักจากกฎหมายลักษณอาญา ร.ศ. 127 หมวดที่ 3 ความผิดฐานรีดลูกมาตรา 260-264 ในสมัยรัชกาลที่ 5[2] ในช่วงที่สยามตกเป็นประเทศกึ่งอาณานิคม และปฏิรูปกฎหมายอิงกฎหมายตามจักรวรรดิอังกฤษ ขณะที่กฎหมายไทยก่อนหน้านั้น กฎหมายตราสามดวงที่มี 29 ลักษณะ และพระอัยการเบ็ดเสร็จไม่ปรากฎความผิดฐานทำแท้งลูกเองของผู้หญิง[3]
ด้วยกฎหมายอาญามาตรา 301-305 นี้ ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิผล และด้วยเจตจำนงของเธอเอง และแม้จะมีข้อยกเว้นทางกฎหมาย แต่กระบวนการขั้นตอนอันเนิ่นนาน ไม่เพียงการใช้เวลาไตร่ตรอง ครุ่นคิดสะระตะตัดสินใจของเจ้าตัวเองแล้ว แต่กระบวนการทางการแพทย์ ตำรวจอะไรอีก ก็ทำให้เกินระยะปลอดภัยที่จะยุติการตั้งครรภ์ได้ นำไปสู่การลักลอบทำแท้งที่สุ่มเสี่ยงไม่ถูกสุขอนามัย ไม่เพียงนำไปสู่ความเจ็บป่วยเรื้อรัง พิการ ตาย บางคนยังเสียเงินฟรีแล้วยังเสือกท้องต่อ
อันเนื่องมาจากสถานะกฎหมาย การทำแท้งจึงต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองภาครัฐ พัวพันตัวบุคคลทางการเมือง
ยิ่งในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ เน้นจริยธรรม-คุณธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะสำคัญมากกว่าะระบบตรวจสอบทางการเมือง เป็น ‘คนดีธิปไตย’ ที่ปรารถนาให้ ‘คนดี’ มีศีลธรรมมาปกครองมากกว่าการมีนักการเมือง ‘คนดี’ จึงมักแทรกแซงชนะเสมอ
บุคคลที่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของประวัติศาสตร์ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อให้การทำแท้งไม่ผิดกฎหมาย คือจำลอง ศรีเมือง ‘คนดี’ ของใครหลายๆ คน
ถ้ายังจำกันได้ในปี 2524 ทันทีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อให้การยุติการตั้งครรภ์ ขยายข้อยกเว้นไม่ผิดกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของครรภ์มากขึ้น ทว่าจำลอง ศรีเมือง สมาชิกวุฒิสภาและเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี คัดค้านหัวชนฝาไม่เพียงลาออกจากตำแหน่ง ยังพาลชักชวนประชาชนคัดค้านระดมเขียนจดหมายกดดันวุฒิสภาให้โหวตค้านกฎหมายฉบับนี้ จนร่างกฎหมายถูกคว่ำตกไป จากนั้นแกจึงปราศรัยขยี้ว่า แกเป็นฝ่ายถูกต้องและได้ปรึกษากับแพทย์ทั่วประเทศแล้ว กฎหมายที่ถูกคว่ำไปนั้นผิดทั้งทางโลกและทางธรรมเพราะนำไปสู่การทำแท้งเสรี สนับสนุนให้ชายหญิงขาดความรับผิดชอบ เปิดโอกาสให้ทำแท้งง่ายขึ้น คนก็จะทำแท้งมากขึ้น แท้งเถื่อนก็จะมากขึ้น และกฎหมายนี้จะทำให้คนไทยพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่า “ประเทศไทยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลก”
หา…!
ซ้ำร้าย แกยังมีข้อเสนอที่ราวกับว่าประชาชนทั้งประเทศมีแต่พุทธศาสนิกชน แกบอกว่าให้ประชาชนแก้ไขปัญหาท้องไม่พร้อมด้วยการถือศีลห้า ไม่ผิดลูกผิดเมีย ผิดประเพณี เจ้าหน้าที่ก็ต้องควบคุมเข้มงวดแหล่งโลกีย์บาร์ไนต์คลับ หนังโป๊หนังสือโป๊เทปลามก ประชาชนต้องรู้จักคุมกำหนัด วันโกนก็ให้ละวันพระก็ให้เว้นเพศสัมพันธ์เสียบ้าง และต้องควบคุมการแต่งกายของหญิงสาวไม่ให้เปิดเผยร่างกาย[4]
ดีที่ยังไม่บอกให้ผู้หญิงสวมเสื้อม่อฮ่อม ตัดผมเกรียน กินผักกินหญ้า อาบน้ำ 5 ขัน
ล่าสุดปี 2553 แกก็ปรากฏตัวอีกแล้วจ้า กล่าวว่าการนำเสนอแก้กฎหมายให้ยุติการตั้งครรภ์ง่ายขึ้นเป็นพยายามของนักการเมือง[5] แหม่…มันช่างเข้ากันได้ดีกับ ‘ระบอบคนดีธิปไตย’ เสียจริง ที่มักตีตรานักการเมืองเป็น ‘คนเลว’ “คนบาป”
ลุงๆๆ ไม่มีใครตั้งใจท้องเพื่อทำแท้งเล่นๆ หรอกย่ะ ราวกับว่าทำแท้งเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรซับซ้อน แค่หยิบไม้แขวนเสื้อเดินเข้าห้องน้ำ แยงๆ เบ่งๆ 5 นาทีจบ กดชักโครกเป็นอันเสร็จพิธี พวกที่หวาดกลัวว่าคนจะทำแท้งกันมากขึ้นเท่ากับว่าไม่ได้คิดอะไรเลยมากกว่า พวกที่บอกว่าทำแท้งคือความไม่รับผิดชอบก็เช่นกัน เพราะแม้พวกเธอจะได้รับสิทธิในการทำแท้งตามกฎหมาย ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกบรรทัดฐานสังคมอื่นๆ มาแทรกแซงตีตราเธอ หรือต้องเผชิญความรู้สึกทุกข์ในใจของเธอเองไปจนถึงความเจ็บป่วยอันเกิดจากการยุติการตั้งครรภ์
การทำแท้งในตัวของมันก็คือการรับผิดชอบของพวกเธออยู่แล้ว
เพราะนั่นคือมดลูกและครรภ์ของเป็นของพวกเธอเอง บทบาทหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงลูกก็เป็นของเธอ อำนาจที่จะตัดสินใจเก็บเด็กไว้หรือไม่ก็ต้องเป็นของพวกเธอเอง ไม่ใช่คนอื่นที่ไม่ได้มาเป็นเจ้าของมดลูกเนื้อตัวร่างกาย เร่มาชี้นิ้วตัดสิน ให้ความหมายท้องไส้ของเธอ
การที่คนภายนอกพยายามรักษาสถานะการทำแท้งเป็นอาชญากรรม เพราะขัดต่อศีลธรรม ไม่เพียงแต่เผือกเนื้อตัวร่างกายผู้อื่น แต่ยังผิดฝาผิดตัว แยกเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลกับกฎหมายไม่ออก เหมือนกับที่หมอพยาบาลเจ้าหน้าที่บางคนก็กลัวว่าตนเองรับผลพลอยบาป เป็นการสร้างบาปกรรมให้หมอ พอหมอคนไหนทำแท้งก็พารังเกียจ หาว่ามีอาชีพช่วยชีวิตคนไม่ใช่ฆ่าคน ทั้งๆที่จริงแล้วก็มีแต่หมอนั่นแหละที่ต้องทำแท้ง และพยาบาลก็เป็นผู้ช่วย มันเป็นหน้าที่ให้บริการตามวิชาชีพที่เรียนมา การเอาความเชื่อส่วนบุคคลมาปะปนกับหน้าที่การงานต่างหากคือความไม่เป็นมืออาชีพ
ขณะเดียวกันเป็นแต่เพียงช่องทางของผู้ที่อยากจะให้คนอื่นชมตัวเองว่าเป็น ‘คนดี’ บนวิกฤตของผู้อื่นอีกที หรือบนการกดทับควบคุมกำกับสิทธิของผู้หญิงในสังคมชายเป็นใหญ่เท่านั้น และก็โยนขี้ให้หญิงตั้งครรภ์ไม่ตั้งใจเป็นรายบุคคล ทั้งๆ ที่เป็นผลกระทบจากปัญหาโครงสร้างรัฐและสวัสดิการ การกระจายทรัพยากรของรัฐ การเข้าถึงการคุมกำเนิด ความรู้และเทคโนโลนีอนามัยเจริญพันธุ์ อย่างไม่ทั่วถึง
การคลอด พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 เป็นเพียงการปลอบใจที่ไม่ยอมแก้ไขกฎหมายมาตรา 301 หรือเพิ่มข้อยกเว้นในมาตรา 305 เท่านั้น ซ้ำยังเป็นการควบคุมกำกับเนื้อตัวร่างกายวัยเจริญพันธุ์ของเด็กหญิงวัยรุ่นเท่านั้น และเอาเข้าจริง แม้จะให้แม่วัยเรียนกลับไปเรียนหนังสือต่อได้ มันก็มีไม่มากนักหรอกที่แม่จะกลับมาเรียนหนังสือต่อ เพราะสังคมไทยไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ไหนจะต้องเลี้ยงลูกอีก บรรยากาศในโรงเรียนก็ไม่ได้เป็นมิตรขนาดนั้น เคยผ่านวัยเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น ก็น่าจะรู้ฤทธิ์อาจารย์ห้องปกครองกันมาบ้างนะ
ขณะที่มาตรา 301-305 ยังคงแน่นิ่งมาครึ่งค่อนศตวรรษ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการแพทย์และอนามัยเจริญพันธุ์ และในระดับสากลที่การยุติการตั้งครรภ์เริ่มได้รับการยอมรับทางกฎหมายมากขึ้น ในอาเซียนก็มี กัมพูชา สิงคโปร์ เวียดนาม
แน่นอนความพยายามยุติการตั้งครรภ์ย่อมเป็นประเด็นถกเถียงทางศีลธรรมศาสนาไม่ว่าจะรัฐไหน อยู่ภายใต้ความเชื่อแบบใดก็ตาม
รัฐสภาเบลเยียมในต้นปี 1990 ก็ได้เสนอกฎหมายให้การทำแท้งดำเนินได้โดยไม่เป็นอาชญากรรม ท่ามกลางเสียงค้านถกเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมคาธอลิคและศาสนาจักร กษัตริย์ Baudouin เองก็ไม่ยอมลงนามตามประเพณี อ้างมโนธรรมคาทอลิก ดีที่รัฐสภาและนายกรัฐมนตรี Wilfried Martens เข้มแข็งพอและยืนกรานที่อยู่เคียงข้างสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ที่ไม่ยอมถอนกฎหมาย จึงตกลงกับกษัตริย์และประกาศว่ากษัตริย์ไม่สามารถปกครองรัฐได้ในขณะนี้จึงใช้อำนาจโดยชอบธรรมแทนกษัตริย์บังคับใช้กฎหมายแทน หลังจากนั้นอีกวันต่อมารัฐสภาจึงโหวตให้กษัตริย์กลับมาดำรงตำแหน่งตามเดิม
การทำแท้งในเบลเยียมจึงไม่ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ 1990 และมีการปรับปรุงกฎหมายพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสวัสดิภาพของผู้หญิงและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอนามัยเจริญพันธุ์ เช่นทำแท้งได้เลยภายใน 12 สัปดาห์ ถ้าหากเกินกว่านี้ ต้องให้คณะแพทย์วินิจฉันแล้วว่าเด็กที่จะคลอดออกมามีความผิดปรกติ หรือเป็นภัยต่อสุขภาพแม่
เพราะฉะนั้นแล้วเลิกพูดสักทีเถอะ “ทำแท้งเสรี” …อย่าเด๋อ ยิ่ง “ทำแท้งเสรี = ฟรีเซ็กซ์” ยิ่งเท่ากับโคตรเด๋อ เพราะไม่มีบนโลกหรอกที่ ใครใคร่ท้อง ใครใคร่แท้ง แท้ง ไม่มีเสรีภาพเช่นนั้นหรอก ทุกรัฐมีเงื่อนไหวต่างๆนานา อย่างน้อยที่สุดเงื่อนไขของอายุครรภ์ ใครเป็นผู้ให้บริการ สถานที่ในการประกอบการ
และต่อให้ประเทศเรายกเลิกกฎหมายไปแล้ว ก็ยังมีมาตรการแทรกแซงทางสังคมไม่ให้ยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างสง่าผ่าเผยและปลอดภัยอยู่ดี รายการทีวีหนังผีห่าซาตานนี่ตัวดีเลย หลายคนอาจจะมองเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อเจ้อ แต่ด้วยความที่อ้างสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และอ้างว่าต้องการให้คนทำความดี บรรดาคนเห็นผีคุยกับผีได้ก็นึกอยากพูดอะไรก็พูดตามอำเภอใจ เที่ยวเอาความเชื่อส่วนบุคคลไปตัดสิน ตีตราคนอื่น ราวกับว่ามดลูกของพวกเธอกลายเป็นของสาธารณะ
ว่าบาปใครทำแท้งหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำแท้ง ไม่ว่าจะให้เพื่อนยืมเงิน (เพราะการทำแท้งมันต้องระดมทุนจริงๆ นะ ค่าบริการถูกๆ อายุครรภ์ต่ำสุดก็ฟาดไป 4,000 บาทแล้ว) ขี่มอไซค์พาเพื่อไปส่ง เฝ้าเพื่อนที่คลินิก ก็ล้วนแล้วต้องรับผลจากการทำแท้ง จะถูกผีเด็กอาฆาต คอยหลอกหลอน เกาะบ่า เกาะหัว ชีวิตนี้ทำไรไม่ขึ้นไม่เจริญ เพราะทำให้วิญญาณที่จะไปเกิดไม่ได้เกิด
อ้างอิงข้อมูลจาก
[2] ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๕ ฉบับพิเศษ วันที่ 1 มิถุนายน ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451), หน้า 264-265.
[3] ราชบุรีดิเรกฤทธิ์ , กรมหลวง. (2458). เลคเช็อร์กฎหมายราชบุรี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรณธนากร, หน้า 17.
[5] www2.manager.co.th/Politics