1. ระหว่างวันที่ 23 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์นี้ ที่โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซนทรัลเวิลด์ กำลังมีเทศกาล ‘เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 14’ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เวิลด์ฟิล์ม เรียกได้ว่าเทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้คอหนังในบ้านเราตื่นเต้นกันทุกปี นั่นเพราะจะมีภาพยนตร์แปลกๆ และหาดูได้ยากจากหลากประเทศทั่วโลกเดินทางมาฉายให้ได้ชมกันถึงที่
ในปีนี้มีหนังหลายเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น ‘Fire at Sea’ สารคดีอิตาลีที่เพิ่งได้เข้าชิงออสการ์ไปหมาดๆ ‘Self Made’ หนังอิสราเอลที่เล่าเรื่องการสลับร่างระหว่างชาย-หญิง เพียงแต่ความเด็ดของมันอยู่ที่ว่า คนหนึ่งดันเป็นมุสลิมปาเลสไตน์ ส่วนอีกคนกลับเป็นศิลปินชาวอิสราเอลไปเสียอย่างงั้น (Your Name ยังต้องเหวอ!!!) ยังมีอีกหลายเรื่องที่ควรค่าแก่การพูดถึง และมีอีกหลายเรื่องในเทศกาลนี้ที่ผมยังไม่ได้ดู แต่ในท่ามกลางความหลากหลายของภาพยนตร์ที่ประดังซังซัดกันมาให้ได้เลือกชม หนึ่งในเรื่องที่ผมอยากจะหยิบมาบอกต่อ คือหนัง American Road-Movie เรื่อง ‘American Honey’ ครับ
2. ต้องเกริ่นก่อนเลยว่า American Honey เป็นหนังที่ยาวพอตัว ด้วยความยาวกว่าสองชั่วโมงสี่สิบนาที (ที่เอาจริงก็ไม่ได้ต่างกันนักกับหนังรวมพลังซูเปอร์ฮีโร่หลายๆ เรื่อง)
แต่น่าชื่นชมว่าตลอดเวลาที่หนังดำเนินไป
ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อหรือชวนให้หลับเลยแม้แต่น้อย
หนังเล่าเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า สตาร์ (รับบทโดยนักแสดงใหม่นาม Sasha Lane) ที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องๆ อีกสองคน เพราะแม่ก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในบาร์ ส่วนพ่อก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ดีแต่เมามายและจ้องจะลวนลามสตาร์เมื่อสบโอกาส อยู่มาวันหนึ่ง สตาร์ก็ได้พบกับ เจค (Shia Labeouf) ชายหนุ่มแปลกหน้า ที่มาพร้อมวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ และราวกับทั้งคู่ต่างก็ติดตาต้องใจกันแต่แรกเห็น เจคชักชวนให้สตาร์เดินทางไปด้วยกันกับเขา โดยบอกว่า เธอจะมีโอกาสได้สร้างเงินก้อนใหญ่จากงานที่เขาและหนุ่มๆ สาวๆ ที่มาด้วยกันกับเขาทำ นั่นคือขายนิตยสาร ซึ่งก็เพราะไม่อาจทนทานกับชีวิตที่เผชิญอยู่ได้อีกต่อไป สตาร์จึงตัดสินใจรับคำชวนของเจค และเดินทางไปด้วยกันในรถตู้คันใหญ่ สู่ท้องถนนอันไม่มีที่สิ้นสุดของอเมริกา
3. ความน่าสนใจของ American Honey คือ แม้มันจะเล่าเรื่องในสไตล์โร้ดมูฟวี่ ที่ทางหนึ่งก็คล้ายจะเนิบนาบ กระนั้นในขณะที่เรื่องราวดำเนินไปอย่างช้าๆ หนังกลับซุกซ่อนความกดดันและบรรยากาศคลางแคลงสงสัยได้อย่างทรงพลัง ด้วยตัวสตาร์ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า ‘เด็กใหม่’ นั้น ในระหว่างที่เจคจับคู่กับเธอเพื่อถ่ายทอดเทคนิคการขายนิตยสาร เดินเคาะตามประตูบ้านและแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะเพื่อให้เจ้าของบ้านนั้นๆ ยอมซื้อนิตยสาร เธอก็เกิดไม่พอใจกับวิธีการที่เขาปั้นน้ำเช่นนี้ และแทนที่เธอจะช่วยสนับสนุนให้เจคขายนิตยสารได้ ก็กลับทำตัวปั่นป่วนเสียจนเป็นเรื่อง สายตาที่กล้องถ่ายให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าสตาร์นั้นสื่อสารได้ดีว่าเธอไม่ชอบพอกับการทำงานเช่นนี้นัก ที่แทนที่จะขายกันตรงๆ ขายไม่ได้ก็คือจบ แต่กลับไปหลอกปั่นหัวให้คนเห็นใจหรือสงสาร ในทางหนึ่งจึงอาจพูดได้ว่า สตาร์นั้นไม่ต้องการที่จะถูกใครมองด้วยความเอ็นดูหรือไร้เดียงสา เธอไม่ต้องการจะถูกมองว่าเป็นเด็ก เช่นเดียวกับที่ไม่ชอบเมื่อถูกมองว่าตัวเองเป็นผู้ด้อยโอกาสที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือ
เช่นกันกับความสัมพันธ์ที่เธอมีกับเจค ที่แม้ทั้งคู่จะต้องชะตากันแต่แรกเห็น กระนั้นด้วยกฏของทีมที่บอกไว้ว่า สมาชิกไม่อาจคบหากันในเชิงชู้สาวได้ ความรู้สึกของทั้งคู่จึงต้องปกปิดเป็นความลับ ตรงนี้เองที่เป็นอีกครั้งที่กล้องถ่ายทอดใบหน้าและมุมมองของสตาร์ที่มีต่อเจคได้อย่างน่าชื่นชม เราเห็นการสั่นไหวของกล้อง การเลือกจับจ้องแต่เฉพาะบางจุดและบางเวลา ลอบมอง ขวยเขิน โกรธขึ้ง หึงหวง แต่ทั้งหมดก็เป็นอารมณ์ที่ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ตรงๆ แค่เพียงผ่านช่วงเวลาเพียงพริบตาเท่านั้น และแม้ตัวสตาร์เองจะยังเป็นเด็กสาวซึ่งก็แสวงหาความรัก กระนั้นเธอก็ไม่ใช่จะเพ้อฝันอยู่แต่กับเรื่องนี้ โดยวางมันไว้บนพื้นฐานของชีวิตที่ยังจำเป็นจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งซึ่งปรารถนา หลายๆ ครั้งที่เธอแสดงตัวประหนึ่งเด็กสาวผู้กำลังตกหลุมรักให้เราได้เห็น แต่ในเวลาไม่นานเธอก็หวนกลับมาเป็นสตาร์ที่ดื้อรั้นอีกครั้ง เป็นเด็กสาวที่เรียนรู้ความรักไปพร้อมกับชีวิตและความเจ็บปวด ซึ่งก็ผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เองที่ทำให้สตาร์ค่อยๆ เติบโตขึ้นในทุกวัน
4. ไม่เพียงแต่ตัวสตาร์และเจคเท่านั้นที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนัง แต่ตัวละครหนุ่มสาวสมทบในกองคาราวานเองก็เป็นอีกมนต์ขลังหนึ่งที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาอาจคล้ายกับวัยรุ่นมีปัญหา ที่ต่างก็หนีออกจากบ้านด้วยเรื่องราวที่ต่างกันออกไป แต่ในขณะที่เขาแลกเปลี่ยนขวดเหล้าให้แก่กัน แบ่งปันกัญชาและสูบกันอย่างเมามาย ในโมงยามที่การเดินทางบนท้องถนนคล้ายจะยาวไกลไม่มีสิ้นสุด เฉกเช่นกับจุดหมายของพวกเขาที่พร่าเลือนและไร้จุดหมาย พวกเขาร้องเพลงและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่บทสนทนาระหว่างกันจะเป็นเรื่องความฝัน ซึ่งอาจกำหนดจุดสิ้นสุดของการเดินทางของแต่ละคนได้
หากกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ด้วยความเป็นมนุษย์ที่เราได้เห็น ด้วยความสุขและเสียงหัวเราะที่เราได้สัมผัส ตัวละครเหล่านี้ได้สร้างมิติให้กับหนังอย่างฉกาจและน่าจดจำ พวกเขาให้ภาพของครอบครัวที่คอยเติมเต็มกันและกัน หัวเราะไปพร้อมกัน สนุกสนานไปด้วยกัน โดยไม่เอาแต่คอยตอกย้ำอยู่กับบาดแผลที่แต่ละคนต่างมี