โลกกำลังตื่นตระหนกกับ Pandemic ครั้งใหญ่ในแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ปลุกให้คนนึกถึงทฤษฎีสมคบคิดหรือ ‘conspiracy theory’ ขึ้นมามากมาย ว่าเป็นแผนการนั่นโน่นนี่ของฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ แต่เอาเข้าจริง ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านั้นอาจไม่น่าหวาดหวั่นเท่า ‘ความจริง’ ในหลายระดับที่เกิดขึ้นกับสังคมเพราะการระบาดครั้งใหญ่นี้ก็ได้
สิ่งที่เราได้เห็นกระจะตากับตัวเองอย่างหนึ่ง ก็คือได้เห็นว่าระบบสาธารณสุขของโลก (ไม่ใช่แค่ของประเทศไทย) มีความเปราะบางเพียงใด
มนุษย์กระหยิ่มกับอายุขัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และบางคนก็ถึงขั้นทำนายว่า อีกไม่นานมนุษย์อาจเป็นอมตะ เพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้เราเปลี่ยนอวัยวะต่างๆ ได้ รู้วิธีรักษาโรคที่มากับวันวัยต่างๆ จนความแก่ชราอาจเป็นเพียง ‘โรค’ อย่างหนึ่งที่เราสามารถ ‘รักษา’ ได้
แต่มนุษย์อาจประมาทเกินไป
ที่จริงแล้ว มนุษย์รู้ว่าโรคระบาดขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น หลายคนบอกว่าคำถามไม่ใช่แค่มันจะเกิดขึ้นไหม แต่แท้จริงคือ – มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่กระนั้น เราก็ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับมันเต็มที่เลย เมื่อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่ลามไปทั่วโลก ภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นความ ‘ไม่เพียงพอ’ ของระบบสาธารณสุข ในอันที่จะรองรับการระบาดขนานใหญ่นี้
สภาพของเราแทบไม่แตกต่างอะไรจากปี ค.ศ.1918 เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดสเปนเลย – ซึ่งนั่นคือเรา ‘ไม่พร้อม’ อย่างรุนแรง
นี่ขนาดยังไม่ได้เกิดการระบาดซ้อนของโรคอื่นๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นโรคอุบัติใหม่เท่านั้น แต่โรคเก่าๆ ที่มีอยู่ หากพบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็เป็นไปได้ว่าอาจลุกลามขึ้นมาใหม่ เช่นโรคที่เราคุ้นเคยมานานอย่างมาเลเรียที่มียุงเป็นพาหะ (และยุงก็อาจกระจายตัวได้ดีขึ้นหากอากาศร้อนมากข้ึน) โรคเหล่านี้หากเกิดระบาดซ้อนขึ้นมากับ COVID-19 ระบบสาธารณสุขของเราอาจพังครืนก็ได้
ถ้าคุณยังจำชื่อของ สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกคนหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ ‘ประวัติย่อของเวลา’ อันลือลั่น และเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้ คุณอาจพอนึกออก ว่าก่อนเสียชีวิต ฮอว์กิงเคย ‘เตือน’ มนุษย์เราเอาไว้ว่า มนุษย์เหลือเวลาอีกน้อยนิด ก่อนต้องเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ สิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่ง ก็คือการออกไปหาที่อยู่ใหม่ในอวกาศ โดยมีเวลาเหลืออยู่อีกแค่ 100 ปี เท่านั้น
ด้วยความที่ฮอว์กิงเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง หลายคนจึงไม่ค่อยกล้าคัดค้านเขา แต่กระนั้นข้อเสนอของฮอว์กิงก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยว่าโอเวอร์ ประมาณการแบบเกินจริง เพราะถ้ามองจากหลายร้อยปีที่ผ่านมา คล้ายว่าโลกอยู่ในสถานะที่มั่นคง มนุษย์ไม่เคย ‘อยู่ดีมีสุข’ มากเท่านี้มาก่อน เราควบคุมธรรมชาติได้ในหลายระดับ สร้างเขื่อน ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิวัติเขียว สร้างอาหารมาเลี้ยงผู้คนมากมาย และที่สำคัญก็คือ เรามีวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์
แล้วเราจะสิ้นสูญเผ่าพันธุ์ในเวลาอีกแค่ 100 ปีได้อย่างไร
ฮอว์กิงบอกว่า “ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การที่โลกไม่ถูกอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยใหญ่ๆ ชนมาเป็นเวลานาน รวมถึงโรคระบาดและการเติบโตของประชากร โลกของเราจึงอยู่ในภาวะที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ”
ที่จริงแล้ว สิ่งที่ฮอว์กิงเป็นห่วงมากกว่าโรคระบาด ก็คือโลกจะกลายเป็น ‘ลูกไฟใหญ่’ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ โลกจะ ‘ลุกเป็นไฟ’ นั่นเอง สภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีประชากรหนาแน่นเกินไป และมีการใช้พลังงานมากเกินขีดจำกัด จนโลกอยู่อาศัยไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งเราก็จะเห็นสัญญาณของการลุกเป็นไฟได้จากไฟป่าครั้งใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่แคลิฟอร์เนีย บราซิล จนกระทั่งถึงออสเตรเลีย เราจะเห็นว่าโลกเริ่มมีสภาวะ ‘ลุกเป็นไฟ’ ขึ้นมาจริงๆ และเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบมาถึงคุณภาพอากาศ เกิดปัญหาฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ตามมา
ส่วนเรื่องอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยนั้น โดยความน่าจะเป็นแล้ว ยิ่งมันไม่เกิดนานเท่าไหร่ ความน่าจะเป็นที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนอย่างอีลอน มัสก์ ก็เชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงพูดถึงและผลักดันการเดินทางสู่ดาวอังคารขึ้นมา
แต่แล้วก็เกิดการระบาดของไวรัสขึ้นมาก่อนเหตุร้ายอื่นๆ
ที่จริง ต้องบอกคุณว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ยังไม่ใช่โรคร้ายที่เกิดอยู่ในคำทำนายของฮอว์กิงเสียทีเดียว เพราะมันไม่ใช่ไวรัสที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่เป็นไวรัสที่เชื่อกันว่าอยู่ในสัตว์ แล้วแพร่ผ่านสัตว์ตัวกลางมาสู่คน มันจึงเป็นไวรัสธรรมดาๆ ที่แพร่หลายด้วยวิธีธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
แต่ขนาดยังไม่ใช่เชื้อโรคที่เกิดตามคำทำนายของฮอว์กิง มันก็ยัง disrupt หรือแสดงให้เราเห็นความเปราะบางของระบบต่างๆ ของเราได้มากมหาศาล
ถ้าเราดู ‘คาบ’ การเกิดโรคระบาดในโลก เราจะพบว่าโลกไม่ได้มีไข้หวัดสเปนแล้วหายไปร้อยปีถึงค่อยปรากฏโรคระบาดใหญ่ขึ้นมาใหม่หรอก ทว่าในปี ค.ศ.2004 เคยมีการระบาดของไวรัส H5N1 ที่เราเรียกว่าไข้หวัดนก จากนั้นก็มีไข้หวัดหมูหรือ Swine Flu ในปี ค.ศ.2009 แล้วอีกสิบปีก็มี COVID-19 เกิดขึ้น
ถ้าไปดูค่าเฉลี่ย เราจะพบว่านับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา จะเกิดโรคระบาดเฉลี่ยทุกๆ ระยะเวลา 10-50 ปี ซึ่งแปลว่าไม่ได้เกิดถี่มากนัก
แต่การเกิดโรคระบาดใหญ่ติดๆ กันถึงสามครั้งในช่วงเวลาไม่ถึงยี่สิบปี
บอกเราว่านี่คือภาวะที่อันตรายและสุ่มเสี่ยงมากขึ้น
COVID-19 แพร่ไปได้ไกลก็เพราะระบบที่มนุษย์คิดว่าเอาชนะธรรมชาติได้ อย่างเช่นการบินที่ทำให้เราเดินทางไปได้ไกลๆ ทั่วโลกในเวลาอันสั้น แต่ COVID-19 แสดงให้เราเห็นว่า การเดินทางทั้งหมดของมนุษย์นั้นสุ่มเสี่ยงและเปราะบางมากเพียงใด
ถ้าเราไปดูโรคระบาดในยุคก่อน เช่นโรคระบาดที่เกิดในปี ค.ศ.1580 เราจะพบว่าโรคระบาดต้องใช้เวลานานถึงกว่าหนึ่งปี กว่าจะกระจายไปทั่วทุกทวีป แต่ COVID-19 แพร่ไปทุกทวีปโดยใช้เวลาไม่กี่เดือน นั่นเพราะการเดินทางของมนุษย์เข้มข้นมาก
นักเขียนอีกคนหนึ่ง คือ จาเร็ด ไดมอนด์ (Jared Daimond) มีหนังสือเรื่อง Collapse ออกมา มันเป็นหนังสือที่ทำนายถึงความล่มสลายของโลก เขาบอกว่าถ้าหากว่าเราก้าวข้ามจุด tipping point บางอย่างไป เช่น สังคมบรรลุไปถึงความซับซ้อนขนาดใหญ่ในบางระดับ ก็อาจเกิดหายนะทางสิ่งแวดล้อม จนทำให้ภูมิคุ้มกันจากความล่มสลายของมนุษย์หายไป การ ‘พังทลาย’ หรือ collapse จึงอาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ไม่ยากนัก
เราจะเห็นว่า COVID-19 เข้ามา disrupt โลกในมิติใหญ่ๆ เกือบทุกมิติ ระบบสาธารณสุขนั้นเห็นได้ชัดว่าเราอ่อนแอเกินไป โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ก็เช่นกัน ความเหลื่อมล้ำที่มีมากเกินไป ทำให้คนส่วนใหญ่ยากจะรับมือวิกฤตหนักหนาขนาดนี้ COVID-19 จึงเหมือนก้าวเข้ามาเปิดโปงให้เห็นถึงสิ่งที่ถูกซุกอยู่ใต้พรม มีผู้วิเคราะห์ด้วยซ้ำว่า จังหวะที่ COVID-19 เกิดระบาดนี้ เป็นจังหวะ ‘ซวย’ อย่างยิ่งของมนุษย์ เพราะโลกแทบไม่มีความเห็นพ้องต้องกันทางการเมืองได้เลย ทั้งโลกมีลักษณะ ‘ชาตินิยม’ มากขึ้นกว่าปลายศตวรรษที่แล้ว การปิดพรมแดน การเหยียดคนชาติอื่นที่มีแนวโน้มจะเป็นพาหะ ฯลฯ แสดงให้เห็นวิธีคิดของคนทั้งโลก ว่าเมื่ออยู่ในยามวิกฤตแล้ว เรากลับไม่ได้หันหน้าเข้าหากันหรือเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ทว่ายัง ‘พร้อม’ จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง
ณ ขณะนี้ โลกมีจีนอยู่ข้างหนึ่ง อเมริกาอยู่อีกข้างหนึ่ง ในขณะที่ยุโรปอ่อนแอลง แอฟริกาก็ยังไม่ตื่น เราจึงไม่มี ‘ผู้นำร่วม’ ที่จะสร้างวิธีต่อกรกับไวรัสร้ายกาจนี้อย่างเป็นรูปธรรมออกมาได้
ฮอว์กิงเตือนเราถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เตือนเราถึงการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อย เตือนเราถึงโรคระบาด ความร้อน และอื่นๆ อีกมากที่เอาเข้าจริงอาจร้ายกาจกว่า COVID-19 โดยเฉพาะถ้าหากว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ‘พร้อมกัน’
แต่ฮอว์กิงไม่ได้เตือนเราว่า – ถึงที่สุดแล้ว สังคมมนุษย์อาจล่มสลายได้ด้วยการออกแบบสังคมของเราเองเพื่อให้เป็นสังคมที่เปราะบางอย่างเหลือเกินเช่นนี้
ดังนั้น COVID-19 จึงอาจเป็น ‘คำเตือนล่วงหน้า’ ให้มนุษย์ต้องลุกขึ้นมาพิจารณาตัวเองอย่างถ่องแท้จริงจัง ว่าก่อนภาวะที่ฮอว์กิงเตือนไว้จะมาถึง เอาเข้าจริง เรากำลังเดินไปในทิศทางอารยธรรมแบบไหนกันแน่
แบบสร้างสรรค์ – หรือทำลาย
แบบแข็งแกร่ง – หรืออ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงและไร้ความทรหดอดทน
ทุกอย่างที่มนุษย์เคยกำแหงหาญ คิดว่าเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว COVID-19 ทำให้เราเห็นชัดเลยว่า – แท้จริงแล้วมนุษย์เราอ่อนแอและเปราะบางมากเพียงใด