1.
วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1971 ขณะที่ไคลด์ จาบิน (Clyde Jabin) นักข่าวของสำนักยูพีไอ กำลังเข้าเวรกะเย็นที่สำนักงานในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออเรกอน สหรัฐอเมริกาอยู่นั้น เขาก็ได้รับแจ้งเหตุจี้เครื่องบินขึ้น ชายหนุ่มรีบเช็กข้อมูลทันที เขาโทร.หาเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ เพื่อถามเรื่องราว
“พี่มีชื่อคนก่อเหตุจี้เครื่องบินครั้งนี้ไหม ?”
“ดี คูเปอร์” เจ้าหน้าที่ตอบ
“อะไรนะ…ตัวแรก สะกดว่าดี ด็อก หรือ บี บอยนะ”
“ใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว”
เจ้าหน้าที่เอฟบีไอวางสายจากจาบินไปทันที นักข่าวที่มีประสบการณ์ทำงาน 14 ปี ได้ชื่อคนก่อเหตุจี้เครื่องบิน ได้เรื่องราวทั้งหมด และได้รับการยืนยันข้อมูลจากเอฟบีไอ เขาจึงเขียนชื่อผู้ก่อเหตุว่า ‘ดีบี.คูเปอร์ (DB. Cooper)’
มันกลายเป็นชื่อของตำนานโจรกรรมเหนือฟากฟ้าในทันที 50 ปีผ่านไป คดีของดีบี.คูเปอร์ก็ยังไม่ยุติ เป็นปริศนาถึงทุกวันนี้
จริงๆ แล้ว ตำนานคนนี้ไม่ได้ชื่อว่า ดีบี.คูเปอร์ แต่ด้วยอานุภาพของสื่อ มันกลายเป็นชื่อติดหูขึ้นมาทันที
“เราไม่สนใจหรอกว่า สื่อจะสะกดชื่อคนที่ก่อเหตุผิด หรือสะกดยังไง หน้าที่ของเราคือจับคนร้ายรายนี้มาให้ได้” โฆษกเอฟบีไอออกมาตอบโต้สื่อมวลชน อย่างไรก็ดีทุกวันนี้ เอฟบีไอก็ยังใช้ชื่อ ดีบี.คูเปอร์ในการกล่าวถึงคดีนี้
นี่เป็นเรื่องราวหยดเล็กๆ ในตำนานสลัดอากาศนี้
2.
วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1971 เจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ณ สนามบินพอร์ตแลนด์ จะให้การกับตำรวจในเวลาต่อมาว่า ชายคนหนึ่งที่มาซื้อตั๋วไปเมืองซีแอตเติล มีเสน่ห์ที่ดวงตามาก ตาของเขาเป็นสีน้ำตาล คนขายตั๋วบอกว่า ชายคนนี้อายุประมาณ 40 กว่าปี สูงประมาณ 170 เซนติเมนตรขึ้นไป น้ำหนักประมาณ 77-81 กิโลกรัม ใส่สูทสีทึบ ผูกเนกไท แล้วมีคลิปเหล็กหนีบไว้ หิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำ เขาลงชื่อในตั๋วว่า แดน คูเปอร์ (Dan Cooper)
ทุกอย่างดูเหมือนคนปกติ ในยุคที่การขึ้นเครื่องบินยังไม่มีการตรวจเข้มเหมือนวันนี้ กระเป๋าเอกสารสีดำไม่มีการตรวจสแกน สามารถถือขึ้นเครื่องได้ทันที
เที่ยวบินที่ 305 ของสายการบินนอร์ธเวสต์ ออเรียนต์ มุ่งหน้าจากพอร์ตแลนด์ รัฐออเรกอน ไปเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ใช้เครื่องบินโบอิ้ง 727 ชายดวงตาสีน้ำตาลขึ้นไปนั่งเก้าอี้ 18C มีคนบนเครื่องทั้งหมด 42 คน คูเปอร์ดูเป็นคนเงียบๆ เขาเอาแว่นกันแดดมาใส่ สูบบุหรี่จัด และสั่งเหล้าเบอร์เบินผสมโซดามากิน ชายคนนี้ให้ทิปพนักงานที่มาเสิร์ฟเหล้าบนเครื่องด้วย
10 นาทีหลังจิบเหล้า คูเปอร์ก็เรียกแอร์โฮสเตสสาว แล้วบอกว่า “คุณครับ ผมว่าคุณต้องอ่านข้อความในกระดาษนี้หน่อยล่ะ”
เมื่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องหยิบกระดาษไปอ่าน หน้าเธอก็เปลี่ยนสีทันทีด้วยความหวาดกลัว เธอถึงกับทำกระดาษร่วงตกพื้น
ถ้อยคำในกระดาษเขียนว่า
“คุณ ผมมีระเบิดในกระเป๋า ต้องขอให้คุณมานั่งข้างผม”
หญิงสาวรีบทำตาม คูเปอร์แง้มกระเป๋าสีดำ เผยให้เห็นสายไฟพันกันยุ่งเหยิง คล้ายๆ กับระเบิด ชายหนุ่มบอกให้เธอไปแจ้งกัปตันเครื่องบินให้ทำตามที่เขาต้องการ “ผมต้องการเงินสด 2 แสนดอลลาร์ ต้องเป็นธนบัตร 20 ดอลลาร์เท่านั้น และร่มชูชีพ 4 ชุดแบ่งเป็น ร่มชูชีพ 2 ชุดที่ต้องใส่สะพายข้างหน้า กับอีก 2 ชุดเป็นร่มแบบสะพายข้างหลัง และเมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินซีแอตเทิล ก็เติมน้ำมันให้เต็มถังด้วย”
แอร์โฮสเตสลุกไปทำตามคำสั่งของทันที ในเสี้ยววินาทีนั้น ทิน่า มักค์โลว์ (Tina Mucklow) อายุ 22 ปี แอร์โฮสเตสมือใหม่เห็นเหตุการณ์ มันเป็นเรื่องแปลกมาก ที่เห็นพนักงานต้อนรับไปนั่งกับผู้โดยสารแบบนั้น เธอคิดว่า มันต้องมีอะไรผิดสังเกตแน่ๆ จึงรีบตรงไปหา เพื่อนแอร์ของทิน่ารีบเดินไปโทรศัพท์หากัปตันเครื่องบิน แอร์ใหม่จึงเดินมาเจอคูเปอร์ แล้วชายหนุ่มก็บอกให้ลงมานั่งข้างๆ ก่อนโชว์สายไฟให้แอร์เห็นอีกครา
“ตอนนั้นฉันเริ่มสวดภาวนาถึงผู้โดยสารทุกคน พวกเขากำลังกลับบ้านไปร่วมงานเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ฉันสวดภาวนาให้ตัวเอง และครอบครัวที่ฉันอาจไม่ได้เห็นหน้าอีก และฉันก็ขอบคุณพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ความผิดและความล้มเหลวของฉันในอดีตที่ผ่านมาด้วย”
เมื่อเจ้าหน้าที่สนามบินซีแอตเทิลทราบ พวกเขาต่างตกอยู่ในความโกลาหล ตื่นตกใจ ไม่เคยมีการจี้เครื่องบินแล้วขอร้องแบบนี้มาก่อน ทางการเอฟบีไอไม่รู้วิธีรับมือกับเรื่องนี้ เมื่อประชุมกันจึงตกลงว่า หากไม่ทำตามที่สลัดอากาศคนนี้ขอ เขาอาจจะกดระเบิดเครื่องบินได้ มันจะเป็นโศกนาฏกรรมที่น่ากลัวอย่างมาก ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงยอมทำตามคำร้องขอนี้ทันที
“สมัยนั้น การจี้เครื่องบิน มีไม่บ่อย เราเลยใช้หลักว่า ร่วมมือกับคนก่อเหตุไปก่อน จัดหาทุกอย่างให้ตามที่เขาต้องการ แล้วค่อยไปล่าตัวเขา หลังเครื่องจอดทีหลัง”
30 นาทีหลังเครื่องบินออกจากพอร์ทแลนด์ ในที่สุดก็มาถึงสนามบินซีแอตเทิล เจ้าหน้าที่จัดหาเงินให้ตามคำขอของคูเปอร์ เมื่อเติมน้ำมันบนเครื่องเสร็จ เมื่อได้เงินเรียบร้อย เขาก็ให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน คูเปอร์ปล่อยพนักงานต้อนรับบนเครื่อง 2 คนจาก 3 คนลงไป แต่ให้กัปตันกับนักบินผู้ช่วยอยู่
ถึงตอนนั้นทุกคนยังหวาดกลัวว่าชายคนนี้จะจุดระเบิดอยู่เสมอ และหากทำจริงที่สนามบิน ทุกอย่างคงแหลกเป็นจุณ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ทำ เขาสั่งให้นักบินนำเครื่องมุ่งหน้าไปยังกรุงเม็กซิโก ซิตี้ โดยให้บินอย่าเกินไปกว่าความสูง 1 หมื่นฟุต
เครื่องบินโบว์อิง 727 ทะยานขึ้นฟ้าอีกรอบ ทิน่า มัสก์โลว์ แอร์ใหม่ถอดด้าม เป็นพนักงานต้อนรับเพียงคนเดียวที่อยู่ในเครื่องบินลำนี้ร่วมกับดีบี.คูเปอร์
3.
เครื่องบินแวะเติมเชื้อเพลิงอีกครั้งที่เมืองเรโน รัฐเนวาดา มัสก์โลว์บอกว่า ตอนนั้นเธอรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก เพราะเธอคือคนเดียวบนเครื่องที่ต้องอยู่กับคูเปอร์ ตอนนั้นทุกอย่างตึงเครียดไปหมด
มัสก์โลว์จำได้ว่าเวลาเดินไปอย่างช้าๆ นับตั้งแต่เกิดการจี้เครื่องบิน ตอนบ่ายสามโมง ตอนนี้ก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว ระหว่างนั้นชายหนุ่มมาคุยกับเธอ ถามถึงวิธีเปิดประตูข้างหลังเครื่องบิน
สำหรับโบว์อิง 727 นั้น สามารถเปิดประตูทางออกได้ที่ท้ายเครื่อง มัสก์โลว์บอกวิธีแก่คูเปอร์ ในที่สุดเมื่อใกล้สองทุ่ม เขาก็บอกให้เธอไปอยู่ที่ห้องนักบินได้แล้ว
“ตอนนั้นฉันพูดกับเขาว่า
ได้โปรด คุณจะเอาระเบิดออกไปด้วยใช่ไหมค่ะ”
สลัดอากาศไม่ได้ตอบอะไร เขากำลังง่วนอยู่กับร่มชูชีพและเงิน ถึงตรงนี้ทุกคนบนเครื่องรู้ว่า ชายคนนี้จะโดดร่มออกไปทางประตูหลังของเครื่องอย่างแน่นอน เมื่อประตูห้องนักบินเปิดออก และนักบินเห็นมัสก์โลว์ ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจมาก เชื่อได้ว่าสถานการณ์น่าจะใกล้จบสิ้นแล้ว
สองทุ่ม ไฟแดงห้องนักบินขึ้นเตือน ย้ำว่าประตูหลังเครื่องถูกเปิด หลังจากนั้นไม่นาน เวลา สองทุ่มสิบสามนาที กัปตันก็นำเครื่องบินกลับสู่ระดับปกติ แล้วบินกลับไปที่สนามบินรีโน ใน 2 ชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ขึ้นมาบนเครื่องและสำรวจทุกอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าระเบิดไม่มีแล้ว
คูเปอร์โดดร่มไปพร้อมเงินสด ร่มชูชีพ 2 ชุด และทิ้งร่มอีก 2 ชุดไว้บนเครื่องพร้อมกับคลิปหนีบเนคไท
4.
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เอฟบีไอต้องการ พวกเขายอมให้อาชญากรรายนี้มาตลอด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน คราวนี้เป็นทีเขาออกล่าบ้าง เจ้าหน้าที่พบว่าจุดที่ดีบี.คูเปอร์โดดนั้น อยู่ระหว่างเมืองซีแอตเทิลกับเมืองรีโน จึงระดมกำลังค้นหาเป็นวงกว้าง ใช้ทุกทรัพยากรและสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่นับพันออกเคาะประตูตามบ้าน ค้นทุกหย่อมหญ้า มีการใช้เครื่องบินกองทัพสแกนในจุดที่โจรสลัดอากาศคนนี้โดดลงไป
แต่ไม่มีใครพบอะไรทั้งสิ้น
เจ้าหน้าที่คาดว่า คูเปอร์น่าจะเป็นอดีตทหารอากาศ เพราะดูมีความรู้เรื่องเครื่องบินเป็นอย่างดี เขารู้ว่าโบว์อิง 727 เปิดประตูหลังได้ อย่างไรก็ดี การโดดร่มด้วยความสูงระดับฟากฟ้าโดยไม่มีเครื่องป้องกัน ขณะที่อากาศข้างนอกติด -57 องศาเซลเซียส มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรอดชีวิต และเขาอาจเป็นเพียงวิศวกรที่ทำงานในสนามบินเท่านั้น
ทางการสรุปว่าบางทีที่เราหาตัวเขาไม่พบ นั่นก็เพราะเขาตายไปแล้ว
ทุกอย่างจึงดูเหมือนเงียบหายไป จน 8 ปีต่อมา ครอบครัวแห่งหนึ่งไปตั้งแคมป์ที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน พวกเขาพบถุงใส่เงินจำนวน 5,800 ดอลลาร์ โดยเป็นแบงค์ 20 ดอลลาร์ทั้งหมด เมื่อเจ้าหน้าที่นำเลขธนบัตรไปตรวจสอบ ก็พบว่าเป็นเลขที่มอบให้กับดีบี.คูเปอร์ คราวนี้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ส่งคนมาปิดล้อมตรวจสอบบริเวณดังกล่าวทันที แต่ก็เหมือนเดิม พวกเขาไม่เจออะไรเลยอีกครั้ง
ดีบี.คูเปอร์ กลายเป็นตำนานแห่งการโจรกรรม โจรสลัดอากาศที่โด่งดังสุดในอเมริกา มีเรื่องราวเล่าขาน มีการแต่งเพลงยกย่อง ถูกเอาไปสร้างอ้างอิงในหนัง ความยิ่งใหญ่ของเรื่องนี้ คือ
ดีบี.คูเปอร์ก่อเหตุโดยไม่ได้ทำร้ายใคร
เขาวางแผนแบบเซียนเหนือเมฆของจริง
และก่อเหตุรอดไปได้ โดยไม่เคยถูกจับกุม
มรดกของเหตุการณ์นี้ คือการเปิดศักราชโจรจี้เครื่องบินอีกเป็นจำนวนมาก โดยมีเครื่องบินถูกจี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยกว่าเที่ยว จนนำไปสู่การรักษาความปลอดภัยในสนามบิน มีการตรวจเข้มสแกนทุกอย่าง ก่อนที่โลกจะยกระดับมากขึ้นไปอีกหลังเหตุการณ์เครื่องบินขับพุ่งชนติกเวิล์ดเทรด เซนเตอร์ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001
เครื่องบินโบว์อิง 727 ถูกตั้งฉายาโดยกรมการบินอเมริกาว่ามันคือรุ่นคูเปอร์ สำหรับช่วงเวลาแห่งการสืบสวนคดีนั้น มีผู้ต้องสงสัยมากมายกว่า 800 คน แต่ไม่มีใครใกล้เคียงกับการเป็นดีบี.คูเปอร์แม้แต่น้อย ต่อให้เรื่องราวจะน่าเชื่อถือมากแค่ไหน แต่หลักฐานจากดีเอ็นเอที่พบจากคลิปหนีบเนคไทที่คูเปอร์ทิ้งไว้บนเครื่อง เจ้าหน้าที่ยังไม่พบดีเอ็นเอใครใกล้เคียงเลย
เอฟบีไอได้ยุติการสอบสวนเรื่องนี้ลงในปี ค.ศ.2016 แต่ยังเปิดคดีคาไว้เผื่อมีหลักฐานใหม่ๆ ถึงทุกวันนี้เราก็ไม่รู้ว่าหลังจากโดดร่มออกจากเครื่องแล้ว ชะตากรรมของดีบี.คูเปอร์เป็นอย่างไร
ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่กลายเป็นตำนานเล่าขานถึงทุกวันนี้
5.
ไคล์ด จาบินทำงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สำหรับเหตุการณ์ดีบี.คูเปอร์นี้ เขาถือว่าเป็นผลงานสุดภาคภูมิใจ แม้เอฟบีไอจะกล่าวหาว่าสื่อมั่วตั้งชื่อขึ้นมาเอง ในเวลาต่อมาหลังจากจาบินเสียชีวิต นักข่าวรุ่นหลังเขียนหนังสือออกมาตอบโต้เอฟบีไอ โดยย้ำว่า เจ้าหน้าที่นั่นแหละให้ข้อมูลผิดตั้งแต่แรก ไม่ใช่สื่อหรอกที่ทำงานพลาดแต่อย่างใด และจาบินเป็นนักข่าวที่ยิ่งใหญ่ ฝีมือเก่งกาจ ไม่ได้กระจอก เขาควรได้รับการจดจำ ยกย่องเสียด้วยซ้ำไป
วันที่ดีบี.คูเปอร์ก่อเหตุ เป็นวันที่จาบินฉลองครบรอบแต่งงานกับภรรยามา 17 ปี ค่ำคืนหลังเลิกงานข่าว จึงสุดแสนอบอุ่น ภรรยารอคอยเขากลับมาบ้าน ทั้งสองนั่งลงกินข้าวอย่างเงียบๆ ก่อนที่ในปีต่อมา จะมีแต่คนถามเขาถึงเหตุการณ์ดีบี.คูเปอร์ตราบชั่วชีวิต
ทิน่า มักค์โลว์ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่ กับผลงานด้วยวัยแค่ 22 ปี แต่ต้องมารับมือกับเหตุจี้เครื่องบิน เธอแสดงความสงบนิ่ง มีสติ ทำให้ผู้โดยสารและทุกคนบนเครื่องบินรู้สึกปลอดภัย ขณะแสดงความเยือกเย็น เมื่อเผชิญหน้ากับอาชญากรและระเบิด มักค์โลว์บอกว่าเธอแค่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดเท่านั้นเอง
มักค์โลว์ทำงานแอร์โฮสเตสไปอีก 10 ปี ก่อนลาออกเข้าสู่ชีวิตศาสนา เป็นแม่ชี ตลอดเวลา 50 ปีผันผ่าน เธอไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวนี้ต่อหน้าสาธารณชน มักค์โลว์บอกว่า เธอให้ข้อมูลกับเอฟบีไอไปหมดแล้ว และจะไม่ให้เรื่องราวของดีบี.คูเปอร์มากำหนดชีวิตเธอ เหตุการณ์นั้นไม่มีผลกับชีวิต มักค์โลว์ก้าวเดินต่อไปได้ จนปีนี้ เธอจึงออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเป็นครั้งแรก โดยพูดถึงชายผู้เป็นตำนาน ที่เธอได้อยู่ใกล้ชิด เธอพูดถึงดีบี.คูเปอร์ว่า
“ฉันอยากให้เขาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด เพราะเขาคืออาชญากร ที่ไม่เพียงแต่ขู่เอาชีวิตฉันเท่านั้น แต่เขายังข่มขู่ชีวิตคนบริสุทธิ์บนเครื่องบินลำนั้นด้วย”
ข้อมูลอ้างอิง
The Crime Book สำนักพิมพ์ DK หน้า40-43