1
คุณเคยเล่นเกมชื่อ ‘Pandemic’ ไหมครับ
เกมนี้เป็นเกมที่เราเล่นเป็น ‘เชื้อโรค’ ต่างๆ ตามแต่จะเลือก เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส หรือแม้กระทั่งอาวุธชีวภาพต่างๆ
เชื้อโรคจะเริ่มต้นการระบาดจากที่ไหนสักแห่งบนโลก ในระยะแรกมันจะค่อยๆ ฟูมฟัก บ่มเพาะ และกลายพันธุ์ทีละนิด แรกๆ ยังไม่เป็นที่สังเกตของใคร แม้คนที่มีเชื้อโรคเหล่านี้อยู่ก็ไม่รู้ตัว เนื่องจากอาการยังไม่แสดงออก
จากนั้นเชื้อโรคจะค่อยๆ กลายพันธุ์ มันอาจทรหดขึ้น เดินทางไปได้ทางอากาศ แพร่ไปทางน้ำ ผ่านการไอ จาม ทนต่อความร้อนหนาวได้มากขึ้น และค่อยๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อแสดงอาการต่างๆ ออกมา จากอาการนิดๆ หน่อยๆ เช่น เป็นหวัด ไอ จาม เริ่มค่อยๆ มีอาการหนักอย่างเลือดออกในสมอง อัมพาต ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ขยับตัวไม่ได้ และอื่นๆ
จนกระทั่งถึงตาย
เชื้อโรคที่ ‘ประสบความสำเร็จ’ มักเริ่มด้วยอาการไม่รุนแรงก่อน แล้วติดต่อไปยังผู้ที่เป็นพาหะคนแล้วคนเล่า จนเมื่อมีปริมาณมากพอ มันก็กลายพันธุ์จนเกิดอาการเลวร้าย ทำให้มนุษย์เริ่มตื่นตัว
เมื่อตื่นตัวแล้ว วงการแพทย์จึงเริ่มคิดค้นวิธีวินิจฉัย ตามหาผู้ป่วยคนที่ศูนย์ ดูว่าโรคระบาดอย่างไร จะแพร่อย่างไรต่อไป จะรับมืออย่างไร คิดค้นวัคซีน ยารักษา และไปไกลถึงขั้นปิดท่าเรือ สนามบิน กักกันผู้ติดเชื้อ และอื่นๆ
แต่หากไม่สำเร็จ—สุดท้ายคนก็จะตายทั้งโลก
แล้วเมื่อนั้น ก็จะเป็นเชื้อโรคนี้เองที่ชนะ
2
ในเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 2002 มีรายงานโรคร้ายโรคหนึ่งเกิดขึ้นในเมืองกวางตุ้ง ประเทศจีน ผู้ป่วยเป็นชาวนาคนหนึ่ง เขามีอาการป่วยเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ มีความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว เบื่ออาหาร ท้องเสีย
หลังเกิดอาการนี้ได้ไม่กี่วัน อาการที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจก็เกิดตามมา เช่น ไอแห้ง หายใจถี่ มีน้ำมูกและอาจเจ็บคอ ดูเผินๆ ไม่น่าจะมีอาการหนักหนามาก ทว่าผ่านไปราวเจ็ดถึงสิบวัน อาการปอดบวมหรือนิวมอเนียก็เกิดขึ้น แล้วอาการก็ทรุดหนักลง จนสุดท้ายก็เสียชีวิต
มันคือโรค ‘ซาร์ส’ (SARS) หรือ Severe Acute Respiratory Syndrome
ผู้ป่วยคนแรกเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังตรวจพบ ในตอนแรกสุดนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรคือสาเหตุการตายของเขา
โรคนี้แพร่ระบาดในวงแคบก็จริง แต่มันคือโรคร้ายแรง และมีศักยภาพที่จะแพร่ระบาดในวงกว้างได้ เพราะติดต่อง่าย รัฐบาลจีนเลือกปกปิดเรื่องนี้จากองค์การอนามัยโลก ปิด—จนกระทั่งปิดไม่ได้อีกแล้ว โลกจึงได้รับรู้ว่า กำลังเกิดโรคระบาดใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นโรคที่ร้ายแรงและทำให้ถึงตายได้ในเวลาอันสั้นในเดือนกุมภาพันธ์ค.ศ. 2003
ที่จีนต้องเปิดเผยข้อมูลออกมานั้น เป็นเพราะการแพร่ระบาดของโรคนี้เร่ิมไปไกลเกินขีด นั่นคือเกิด ‘ผู้แพร่เชื้อยิ่งยวด’ หรือ The Super-Spreader ขึ้นมา ผู้แพร่เชื้อยิ่งยวดคือคนที่มีเชื้อโรคอยู่ในตัว แต่เป็นคนที่มีความสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าคนอื่น แบบไม่ได้ส่วน เช่น หนึ่งคนสามารถแพร่โรคซาร์สให้กับคนอื่นๆ ได้มากถึงอย่างน้อยแปดคน เป็นต้น
เมื่อมีการสืบสวนเหตุการณ์ย้อนกลับไปเพื่อดูว่าการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นกว้างขวางนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สันนิษฐานกันว่าน่าจะเกิดจากการกดลิฟท์ในโรงพยาบาล ทำให้ปุ่มกดปนเปื้อนเชื้อโรค เมื่อคนอื่นกดตาม ก็รับเชื้อโรคนี้ไป
การปกปิดข้อมูลของจีน ทำให้การรับมือและความพยายามในการควบคุมการระบาดช้า นั่นแปลว่าโรคได้เริ่มแพร่ออกจากพื้นที่กวางตุ้งของจีนไปสู่ที่อื่นๆ แล้ว
และนี่เอง ที่ทำให้ คาร์โล เออร์บานี (Carlo Urbani)
แพทย์ฝีมือดีคนหนึ่งต้องจบชีวิตลงในเวลาอันสั้น
หลังวินิจฉัยโรคร้ายนี้
3
ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 จอห์นนี่ เฉิน (Johnny Chen) นักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายจีน ได้ออกเดินทางจากประเทศจีนมุ่งหน้าไปสิงคโปร์ แต่ขณะอยู่บนเครื่อง เขามีอาการป่วยหนักคล้ายปอดบวม นั่นทำให้เครื่องบินต้องหยุดที่ฮานอย เวียตนาม เพื่อส่งตัวเขาเข้าโรงพยาบาล
จอห์นนี่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล Hanoi French Hospital โรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดราว 60 เตียง โดยมีบุคลากรทางการแพทย์หลายคนมาช่วยดูแลรักษา
จอห์นนี่มีอาการผิดปกติคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่แต่หนักหนาสาหัสกว่านั้นมาก แรกทีเดียว โรงพยาบาลสงสัยว่าเขาเป็นไข้หวัดนก จึงติดต่อไปยังองค์การอนามัยโลก เพื่อขอตัวผู้เชี่ยวชาญมาให้ความช่วยเหลือ
คุณหมอคาร์โล เออร์บานี ซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญโรคติดเชื้อตอบรับคำขอนั้น เขารีบรุดเดินทางมายังโรงพยาบาล โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ตัวเขาเองก็จะต้องตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
คาร์โลทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นต่อเนื่อง ทั้งค้นคว้างานวิจัย เก็บตัวอย่างต่างๆ เพื่อนำไปทดสอบ และควบคุมดูแลการติดเชื้อ แล้วคุณหมอคาร์โลก็พบว่า นี่ไม่น่าจะใช่โรคระบาดหรือไข้หวัดธรรมดาๆ แต่เป็นโรคร้ายที่อาจส่งผลถึงตายได้ และหากระบาดไปในวงกว้าง ก็จะเกิดผลเสียหายใหญ่หลวง
มันคือ ‘โรคซาร์ส’
เขาเตือนไปทางองค์การอนามัยโลก ว่าต้องมีวิธีปฏิบัติพิเศษ และเสนอให้โรงพยาบาลตั้งวอร์ดพิเศษขึ้นมาเพื่อกักกันตัวผู้ป่วย ซึ่งในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครทำกันอย่างแพร่หลาย การกักกันที่ว่านี้ ต้องทำเป็นวงกว้างทั้งโลก ไม่ใช่แค่ในโรงพยาบาล แต่รวมไปถึงการตรวจคัดกรองนักเดินทางตามสนามบินต่างๆ ด้วย เพราะการคัดกรองและกักกันตัวผู้ที่อาจป่วยเป็นโรคนี้เอาไว้ก่อน จะช่วยให้การแพร่ระบาดช้าลง
วิธีการที่เขาเสนอนั้นถูกต้อง มันช่วยควบคุมการระบาดของซาร์สได้ผล ไม่มีการระบาดใหม่เพิ่มเติมในเวียดนาม ซึ่งเท่ากับช่วยรักษาประเทศเวียตนามเอาไว้ทั้งประเทศไม่ให้ต้องเสียหาย
อย่างไรก็ตาม คุณหมอคาร์โลไม่ได้อยู่จนเห็นความสำเร็จนั้น เพราะระหว่างนั้นเอง เขาก็ติดเชื้อโรคซาร์สมาโดยไม่รู้ตัว
ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2003 เขาเดินทางมาประชุมที่กรุงเทพฯ โดยมีกำหนดการจะขึ้นพูดเรื่องปรสิตในเด็ก แต่ขณะอยู่บนเครื่องบิน—เช่นเดียวกับจอห์นนี่ ผู้ป่วยที่เขารักษา คุณหมอเออร์บานีมีอาการไข้ เขารู้ตัวทันทีว่าได้รับเชื้อเข้ามาในร่างกายแล้ว เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ เขาจึงรีบบอกกับเพื่อนร่วมงานทันทีว่าอย่าเข้ามาใกล้ ให้นั่งอยู่ห่างๆ ไม่พูดคุยกัน และให้เรียกรถพยาบาลมารับทันที พร้อมใช้อุปกรณ์ป้องกันโรคร้ายทุกอย่างเพื่อกักโรคนี้เอาไว้กับตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล โรงพยาบาลต้องจัดวอร์ดพิเศษฉุกเฉินให้เขาอยู่ เป็นวอร์ดที่รีบจัดทำขึ้นมาใหม่ในทันที เพื่อกักตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ใครได้เข้าพบ แม้กระทั่งภรรยาของเขา
ในระหว่างนั้น ภรรยาของเขาตัดพ้อกับเขาว่า เขาไม่น่าต้องทุ่มเททำงานหนักขนาดนั้นเลย แต่คาร์โลตอบภรรยาว่า ถ้าหากเขาไม่ทำงานแบบนั้น แล้วจะให้เขาทำอะไรเล่า—จะให้เขาตอบอีเมล ไปงานเลี้ยงค็อกเทล แล้วก็ทำงานเอกสารเท่านั้นหรอกหรือ
นั่นไม่ใช่เขา
อาการของเขาทรุดลงเรื่อยๆ ปอดของเขาอ่อนล้าจนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ในช่วงที่ยังพอมีสติ เขาขอสถานทูตอิตาลีให้จัดบาทหลวงมาให้ศีลทาสุดท้าย
แล้วเขาก็จากไปในวันที่ 29 มีนาคม หลังรักษาตัวอยู่เพียง 18 วัน
4
การตายของเออร์บานีทำให้โลกตื่นตัวกับซาร์สขนานใหญ่ มีการสืบย้อนเพื่อดูว่า ไวรัสซาร์สมาจากไหน พบว่ามันมาจากชะมดเชียงที่เรียกว่า Asian Palm Civet ที่อาศัยอยู่ในจีน ชะมดที่ติดเชื้อนี้ไม่แสดงอาการอะไร แต่หากเชื้อติดต่อมาสู่มนุษย์ กลับก่อให้เกิดอาการร้ายแรงเฉียบพลัน นั่นทำให้รัฐบาลจีนสังหารชะมดไปเป็นหมื่นตัว
โชคดี—ที่ในเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้น นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอีราสมุสในเนเธอร์แลนด์ สามารถทำแผนที่จีโนมของไวรัสซาร์สได้สำเร็จ หากเป็นเกม Pandemic ก็เท่ากับมนุษย์ตื่นตัวรับมือกับโรคร้ายได้เร็วมาก นำไปสู่การป้องกัน รักษา และควบคุมโรค ทำให้ซาร์สกลายเป็นโรคที่สงบ ไม่ลุกลามแพร่ระบาด โดยมีการเก็บเชื้อไวรัสซาร์สเอาไว้เพื่อการศึกษาในห้องปฏิบัติการ พร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
โลกเป็นหนี้บุญคุณคุณหมอคาร์โลอย่างมาก เพราะวิธีการที่คุณหมอคาร์โลคิดขึ้น คือการกักกันตัวนั้น ไม่ได้ช่วยแค่เวียดนามเท่านั้น แต่มันกลายเป็นวิธีปฏิบัติที่ถูกนำไปใช้ทั่วโลก ซาร์สจึงไม่แพร่ระบาด และเนื่องจากเป็นโรคร้ายแรงที่แสดงอาการออกมาฉับพลันทันที รวมทั้งทำให้คนเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น การกักกันตัวเพื่อรักษาอย่างเข้มข้นจึงมีส่วนสำคัญทำให้โรค ‘หยุด’ อยู่กับผู้ป่วยนั้นๆ ไม่แพร่ลามต่อเนื่อง
หากในวันนั้น วันที่เดินทางมากรุงเทพฯ คุณหมอไม่บอกอะไรเพื่อนร่วมงานเลย แล้วเดินปะปนไปกับผู้คนในกรุงเทพฯ เขาก็อาจแพร่เชื้อไวรัสซาร์สให้กับคนไทยได้ แต่เป็นโชคดีของไทยนักหนา ที่ผู้ป่วยซาร์สคนแรกที่เดินทางมาถึงคือคุณหมอคาร์โล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาด และรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อยับยั้งความร้ายกาจของโรคระบาดนี้
โรคร้ายเดินหน้าแพร่เชื้อต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญหรือประเทศไทยมีเรื่องเหนือธรรมชาติคุ้มครอง ทว่าโรคไม่อาจระบาดได้ ก็เพราะ ‘ความรู้’ ที่อยู่ในตัวคุณหมอคาร์โลโดยแท้
เป็นความรู้ที่เกิดจากการทำงานหนัก ผสานรวมเข้ากับมโนธรรมสำนึกที่ยอมเสียสละตัวเองในหลายระดับ เพื่อให้มนุษยชาติยังคงดำรงอยู่ และรอดพ้นเงื้อมมือของโรคระบาดอันตรายร้ายแรงไปได้
นี่คือการอุทิศตัวเพื่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง