ตายแล้ว ตายจริง ฉันมัวแต่ใช้ดัสท์มือเติบ ซื้ออาณานิคมข้ามกาแล็กซี สร้างนี่นั่นโน่น ค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีที่จะเพิ่มดัสท์-เจ้าเงินตราและพลังชีวิตแห่งยุคอวกาศ-ให้ได้เยอะๆ จะได้ขยายอิทธิพลเร็วๆ จนลืมใส่ใจไปเลยว่าระบบดาวล่าสุดที่เราไปซื้อมาน่ะขึ้นชื่อว่าโจรสลัดอวกาศชุกชุม ที่ปรึกษาเตือนแล้วเตือนอีกแต่ไม่ฟัง ก็แหม พ่อค้าหน้าเงินแต่ใจถึงอย่างลูเมริสเสียอย่าง เผ่าพันธุ์ของเราปกครองส่วนเสี้ยวนี้ของจักรวาลอย่างดีมาเป็นร้อยๆ ปี สถานการณ์ราบรื่นสงบสันติ พวกอารยธรรมรองบ่อนน้อยใหญ่ทยอยอพยพเข้ามาอยู่กินในเขตอิทธิพล เลือกตั้งทุกครั้งเราก็พยายามเอาใจทุกฝ่าย ใช้เงินฟาดอย่างเดียวน่ะไม่พอหรอกนะ ต้องใส่ใจกับอุดมการณ์ทางการเมือง เสียงส่วนใหญ่ส่วนน้อยของประชากรบนดาวต่างๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจมีการลุกฮือขึ้นประท้วงก่อความวุ่นวาย ทำให้เศรษฐกิจติดขัด (และเราได้ดัสท์น้อยลง)
แต่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ยานอวกาศน่าเกรงขามที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนก็ทะยานออกจากวาร์ปมาปิดล้อมดาวหลัก ตัดเส้นทางการค้าหลักของเราดื้อๆ เสียอย่างนั้น ฉันรีบนัดประชุมที่ปรึกษา ลงมติกันว่าได้เวลาสร้างกองทัพ เพราะไม่ว่าเผ่าลูเมริสเราจะเกลียดสงครามขนาดไหน ก็ไม่ควรจะปล่อยให้ใครมาปิดกั้นเส้นทางค้าขายแล้วลอยนวล หรือระรานชายแดนจนประชาชนเดือดร้อน ฉันแสดงทัศนะว่าเห็นด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่าถ้าเราเร่งสร้างกองทัพ ยานจู่โจมมากกว่ายานสำรวจ ทั้งเพื่อส่งไปรบ ทั้งเพื่อเตรียมป้องกันตัวเองแล้วล่ะก็ อีกไม่นานประชากรในระบบที่ส่วนใหญ่นิยมสันติมาช้านานจะไม่พอใจ อพยพไปอยู่ดาวอื่น แล้วพวกกองทัพนิยมที่ชอบการรุกราน ขยายพรมแดนด้วยปืนเลเซอร์จะยิ่งได้ใจ ทวีอิทธิพลมากขึ้นในสังคม
แล้วในการเลือกตั้งรอบหน้า ถ้าเกิดพวกกองทัพนิยมกระหายเลือดได้เสียงข้างมากในสภาขึ้นมา พรรคสันตินิยมตกกระป๋อง นั่นหมายความว่ากฎหมายพิทักษ์ความยั่งยืนของทรัพยากรกับกฎหมาย ‘Make Love Not War Rule’ ของเราจะถูกยกเลิก สภาจะออกแต่กฎหมายแนวตรงกันข้ามอย่าง ‘Jingoist Joy Bill’ เพิ่มเสียงสนับสนุนจากสายเหยี่ยว หลังจากนั้นค่านิยมของอารยธรรมลูเมริสโดยรวมจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากสังคมที่ชื่นชอบการหาดัสท์โดยสันติ (และมีแทงข้างหลังเป็นบางครั้ง) กลับกลายเป็นอารยธรรมกระหายสงครามไม่ต่างจากเผ่าแมลงคาร์เวอร์
ถึงตอนนั้นล่ะก็ ไม่รู้เราจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมารักสันติได้ใหม่
แต่เอาเหอะ ฉันปลอบใจตัวเอง อนาคตระยะยาวเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราต้องเอาตัวรอดจากพวกโจรสลัดอวกาศที่บุกมาหน้าบ้าน!
ในโลกของเกมวางแผนแบบ 4X (ย่อมาจาก eXplore, eXpand, eXploit, และ eXterminate) คอเกมแนวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเกมดังอย่างซีรีส์ Sid Meier’s Civilization แต่อาจมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ความโด่งดังระดับพลุแตกของซีรีส์นี้ทำให้ยากมากที่ค่ายเกมใหญ่ๆ จะลงทุนสร้างเกม 4X ใหม่เอี่ยมขึ้นมา เพราะเชื่อว่าเกมใหม่ถึงอย่างไรก็สู้ซีรีส์นี้ไม่ได้ และเชื่อว่าเกมแนวนี้ไม่มีทาง ‘แมส’ ขายได้เป็นกอบเป็นกำ คนชอบเล่นแนวนี้มีแต่เกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ ทุ่มเทถึงไหนถึงกันแต่ก็เป็นคนส่วนน้อยอยู่ดี
Amplitude Studios ค่ายเกมน้องใหม่จากฝรั่งเศส (ในปี 2016 ขายกิจการกลายเป็นบริษัทลูกของ SEGA) หักล้างความเชื่อนี้ลงอย่างสิ้นเชิงด้วยเกม 4X ฉากไซไฟอวกาศชื่อ Endless Space ในปี 2012 ซึ่งทำยอดขายถล่มทลายหลายแสนก๊อปปี้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี จากนั้นเกมต่อมาคือ Endless Legend ซึ่งย้ายฉากไปยังโลกแฟนตาซี ก็ทำยอดขายทะลุหลักล้าน ส่งผลให้ซีรีส์นี้ลงหลักปักฐานอย่างสง่างามในโลกของเกม 4X
เกมเมอร์และบรรดานักวิจารณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Endless Space และ Endless Legend ปักธงอย่างโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองได้ด้วยการรักษาความ ‘ลึก’ และความ ‘หลากหลาย’ (เช่น ชนะได้หลายวิธี) ที่ดีที่สุดของเกม 4X เอาไว้ แต่เพิ่มจุดเด่นอีกหลายจุดที่เกม 4X ปกติไม่สนใจ
ตั้งแต่กราฟิกอลังการ เนื้อเรื่องน่าติดตาม (มีฮีโร่ เหตุการณ์และเควสท์ (quest) ตามเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ คล้ายกับเกมอาร์พีจี) และออกแบบ ‘หน้าจอ’ หรือ user interface ที่เรียบง่ายและสวยงาม จัดวางข้อมูลมหาศาลอย่างเรียบร้อย จอไม่รกรุงรัง อะไรที่ต้องค้นก็อยู่ห่างไปแค่ 2-3 เมาส์คลิกเท่านั้น
ทำให้เกม 4X ปกติที่เต็มไปด้วยตัวเลขติดกันเป็นพรืดบนหน้าจอราวกับสเปรทชีทโปรแกรม Excel ดูคร่ำครึไปถนัดตา
ในปี 2017 Amplitude หวนคืนสู่ 4X สายไซไฟอวกาศอีกครั้งกับ Endless Space 2 คราวนี้ยกระดับซีรีส์ Endless ไปอีกขั้น นอกจากจะมีฟังก์ชั่นคุ้นเคยอย่างเช่นการสำรวจอวกาศ วิจัยค้นคว้าเทคโนโลยี ออกแบบยาน การทูต การสงคราม และค้าขายกับมนุษย์ต่างดาวหรือภายในอาณาจักรแล้ว เกมนี้ยังนำระบบเควสท์ (quest) และฮีโร่ (มาพร้อมกับยานคู่ใจ) จาก Endless Legend มาประกบเข้ากับเรื่องราวเฉพาะของแต่ละเผ่าพันธุ์ (race) ที่เราเลือกเล่นได้ในเกม จากตัวเลือก 8 เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ปูมหลังไปจนถึงลักษณะเฉพาะตัว ยกตัวอย่างเช่น United Empire สามารถใช้ ‘อิทธิพล’ (influence) แทนเงิน สั่งให้ดาวต่างๆ สร้างอาคารให้เสร็จเร็วกว่ากำหนด มนุษย์ต่างดาวเผ่า Vodyani สามารถล้างสมองอารยธรรมรองได้ถ้ามีอิทธิพลมากพอ ประชากรทุกตัวอาศัยอยู่บนยานแม่ ส่วนมนุษย์ต่างดาวเผ่า Unfallen (เผ่าโปรดของผู้เขียน) เป็นต้นไม้ยักษ์ที่งอก ‘ราก’ ออกมาจากยานเพื่อจับจองดาวเคราะห์
เอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ใน Endless Space 2 ทำให้มันเป็นเกมที่เล่นแล้วเล่นอีกได้ไม่รู้เบื่อ เล่นแต่ละครั้งต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับลักษณะเฉพาะ ความสามารถ และข้อจำกัดของแต่ละเผ่าพันธุ์ ระหว่างที่เราเล่น เนื้อเรื่องเฉพาะของเผ่าจะค่อยๆ เผยออกมาผ่านเควสท์และเหตุการณ์มากมายทั้งที่สุ่มและไม่สุ่ม เช่น United Empire จะต้องรับมือกับการลุกฮือขึ้นก่อกบฏและการทรยศจากภายใน ส่วน Lumeris เผ่าพ่อค้ามาเฟียประจำเกมจะต้องรับมือกับดีลธุรกิจที่มีปัญหา การหักหลังของพันธมิตร (หรือเราเองนั่นแหละที่หักหลัง) ราวกับเอาพล็อตหนังเจ้าพ่อนับสิบเรื่องมายำรวมกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราต้องเลือกตัดสินใจว่าจะรับมืออย่างไรนั้นก็ไม่ได้มีชอยส์ที่เห็นชัดว่า ‘ถูกต้อง’ แต่อยู่ที่ตัวเราว่าอยากให้อารยธรรมมุ่งหน้าไปทางไหน ซึ่งเกมก็แสดงอย่างชัดเจนว่าผลลัพธ์ของแต่ละชอยส์คืออะไร เช่น เลือก ก. ดาวทุกดวงจะผลิตดัสท์เพิ่ม 10% เป็นเวลา 10 ตา แต่การผลิตอาหารจะลดลง 5% หรือเลือก ข. จะได้อิทธิพลเพิ่ม 10% เป็นเวลา 20 ตา แต่เสียงสนับสนุนจากชาวสันตินิยมจะลดลง ฯลฯ
แต่สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเจ๋งที่สุดของ Endless Space 2 และทำให้มันเปิดศักราชใหม่สำหรับวงการเกม ไม่ใช่การนำเสนอยานอวกาศ ดาวเคราะห์ หรือมนุษย์ต่างดาว แต่เป็นวิธีที่เกมนี้นำเสนอการทำงานของ การเมือง
ในเกม 4X ทั่วไปรวมทั้ง Endless Space ภาคที่แล้วของซีรีส์นี้ ‘ประชากร’ เป็นเพียงตัวเลข อย่างมากเราก็เพียงแต่ต้องดูแลนามธรรมชื่อ ‘ระดับความสุข’ (happiness) ซึ่งก็เป็นตัวเลขกลมๆ อีกเช่นกัน เท่ากับว่าคนทุกคนคิดเหมือนกัน มีรสนิยมเดียวกัน มีความสุขมากขึ้นพร้อมกันด้วยสิ่งเดียวกัน (เช่น มีวัดให้ไปภาวนา หรือมีสนามกีฬาให้ไปเชียร์ทีมเหย้า)
แต่สังคมใน Endless Space 2 หลากหลายสมจริงกว่านั้นมาก เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวมากมายหลายเผ่า ทั้งที่เราควบคุมได้และ ‘อารยธรรมรอง’ อีกมากมายที่คุมไม่ได้แล้ว ยังมี ‘พรรคการเมืองหลัก’ หกพรรค แต่ละพรรคสะท้อนความคิดทางการเมืองหลักของประชาชนทั้งหมดในเกม ได้แก่ สันตินิยม (Pacifists), นิเวศนิยม (Ecologists), กองทัพนิยม (Militarists), อุตสาหกรรมนิยม (Industrialists), วิทยาศาสตร์นิยม (Scientists) และศาสนนิยม (Religious)
ฮีโร่ทุกคนในเกมนี้สังกัดพรรค หลายคนเป็นผู้นำพรรค และแต่ละเผ่าที่เราเลือกเล่นจะมี ‘ค่าตั้งต้น’ ของเสียงสนับสนุนจากพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งสะท้อนปูมหลังของเผ่า เช่น Carvers ผู้ทะยานอยากครองจักรวาลเป็นกองทัพนิยม, Lumeris เผ่าพ่อค้าเป็นสันตินิยม, Horatio เผ่าที่ทุกคนเป็นโคลนนิ่งของอภิมหาเศรษฐีหนึ่งคนเป็นศาสนนิยม ฯลฯ แต่หลังจากที่เราเล่นไปสักพัก ทุกอย่างที่เราทำในเกม ตั้งแต่การทำเควสท์ การตัดสินใจเวลาที่เกิดเหตุการณ์ เทคโนโลยีที่เลือกค้นคว้า อาคารที่เลือกสร้างบนดาวเคราะห์อาณานิคม ฯลฯ ล้วนแต่ส่งผลต่อเสียงสนับสนุนพรรคต่างๆ (จากประชากรที่นิยมชมชอบพรรคนั้นอีกทอดหนึ่ง)
เสียงสนับสนุนเหล่านี้มีความหมาย เพราะการเลือกตั้งในเกมเกิดขึ้นทุก 20 ตา พรรคไหนได้เสียงสนับสนุนเยอะ ก็จะมีตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาเยอะ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะได้ออกกฎหมายประเภทไหน เช่น ถ้าพรรคสันตินิยมได้เสียงข้างมาก ก็จะได้ออกแต่กฎหมายที่เน้นการพัฒนาอย่างสันติ ถ้าพรรคกองทัพนิยมชนะก็จะเน้นกฎหมายที่เพิ่มความเข้มแข็งให้กับกองทัพ เป็นต้น กฎหมายทุกฉบับมีผลโดยไม่เกี่ยงว่าเราใช้ระบอบการปกครองแบบไหน ซึ่งในเกมนี้มี 4 ระบอบ ได้แก่ สหพันธรัฐ ประชาธิปไตย เผด็จการ และสาธารณรัฐ แน่นอนว่าในระบอบเผด็จการมีได้พรรคเดียวทั้งสภา เราจะไม่แยแสผลการเลือกตั้ง แต่งตั้งพรรคที่ต้องการเป็นใหญ่ก็ได้ แต่เสี่ยงดวงเอาเองว่าประชากรจะโกรธแค้นจนลุกฮือขึ้นก่อกบฏ
กฎหมายใน Endless Space 2 ทรงพลังมากเพราะให้ประโยชน์กับอารยธรรมเราทั้งระบบ เช่น เพิ่มคะแนนนิยม 25 คะแนนเป็นเวลา 5 ตาทุกครั้งที่ยึดหรือสร้างอาณานิคมใหม่ ฉะนั้นเล่นๆ ไปเราอาจจะอยากให้พรรคใดพรรคหนึ่งชนะการเลือกตั้ง เพื่อจะได้ออกกฎหมายที่อยากได้ เพื่อไปทำเควสท์ให้สำเร็จ ค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีที่อยากได้ให้เสร็จเร็วๆ หรือมีเหตุผลอื่น ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้อยู่ในระบอบเผด็จการ เราก็จะต้องหาทางส่งอิทธิพลทั้งทางตรง (ข่มขู่หรือติดสินบนผู้คน) และทางอ้อม (เลือกทำในสิ่งที่เอาใจพรรคที่เราอยากให้ชนะเลือกตั้ง) เพื่อโน้มน้าวผลการเลือกตั้งให้ออกมาในทางที่เราต้องการ
อย่างไรก็ดี การส่งอิทธิพลให้ผลการเลือกตั้งออกมาในทางที่เราต้องการก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกเหนือจากพรรคต่างๆ แล้ว ดาวแต่ละดวงในเกมยังประกอบด้วยประชากรหลากหลายเผ่าพันธุ์ อาจจะรวมถึงเผ่าที่เราเพิ่งยกทัพไปยึดหัวหาดเมื่อสามตาที่แล้ว หรืออารยธรรมรองที่เป็น ‘ชนพื้นเมือง’ อยู่บนดาวนั้นมาหลายร้อยปีก่อนที่เราจะไปตั้งอาณานิคม ยกตัวอย่างเช่น จะทำอย่างไรดีถ้ามนุษย์ต่างดาวเผ่า Niris ชื่นชอบนิเวศนิยมและเป็นประชากรส่วนใหญ่ของดาวหลักในระบบ ขณะที่เราอยากให้พรรคอุตสาหกรรมนิยมเป็นเสียงข้างมาก อาจต้องหาทางจูงใจให้ประชากรเผ่าอื่นที่นิยมอุตสาหกรรมอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ แล้วเร่งวิจัยเทคโนโลยีที่เพิ่มผลิตภาพของดัสท์ เร่งสร้างอาคารผลิตดัสท์เยอะๆ เพื่อเพิ่มคะแนนเสียงจากอุตสาหกรรมนิยมมากลบคะแนนเสียง ‘พื้นถิ่น’ ของ Niris นิเวศนิยม
แต่เราจะเน้นทางใดทางหนึ่งไปเลย เช่น เดินสายเศรษฐกิจ ผลิตดัสท์โดยไม่สนใจปัจจัยอื่น ก็จะไปไม่รอดในเกมนี้ เพราะถึงแม้จะเล่นแนวสันติวิธี ก็ต้องมีกองกำลังมากพอที่จะป้องกันตัวเองจากโจรสลัดหรือเผ่าพันธุ์อื่นที่บุกมารุกรานได้ทุกเมื่อ ดูแลความเป็นอยู่และระดับความสุขของประชากรบนดาวต่างๆ เพราะถ้าแฮปปี้มาก การผลิตจะได้โบนัส แต่ถ้าไร้ความสุขการผลิตจะติดลบ หรือประชากรบางกลุ่มสะสมความโกรธจนพยายามก่อหวอดแบ่งแยกดินแดน นอกจากนี้ เรายังต้องผลิตอาหารให้เพียงพอต่อการขยายตัวของประชากร และสะสมแต้มวิทยาศาสตร์เพื่อค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับแทบทุกสิ่งทุกอย่างในเกม ตั้งแต่ปลดล็อกการเดินทางของยานให้ไม่ต้องแล่นตามเส้นดวงดาวหรือ star lane, สร้างอาคารที่จำเป็นต่อการทำเควสท์ของเผ่าพันธุ์, เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง, ปลดล็อกกฎหมายใหม่ หรือแม้แต่ขยายอาณานิคมไปยังดาวที่ภูมิประเทศไม่เป็นใจ หรือ terraform ปรับสภาพดาวให้อยู่ได้ ยังไม่นับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่มีชอยส์ไหนที่ตรงใจเราเลย
ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้โลกใน Endless Space 2 เปี่ยมสีสันและ ‘มีชีวิต’ สมจริง
ความตึงเครียดหรือแม้แต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในอารยธรรมของเราสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเมืองระหว่างประเทศ (ซึ่งก็ต้องบอกว่า การทูตในเกมนี้น่าเบื่อไปเลยเมื่อเทียบกับการเมืองภายใน) ราวกับเป็นศัตรูอีกเผ่าที่เรามองไม่เห็นและไม่แน่นอน ทำได้เพียงพยายามสร้าง ‘สมดุล’ ระหว่างเป้าหมายที่เราต้องการ กับความต้องการของพรรคและเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเกม
การเมืองใน Endless Space เต็มไปด้วยความอึกทึก สับสน และวุ่นวาย หลายครั้งส่งผลกระทบนานหลายสิบตา บางครั้งเราก็ควบคุมได้ โดยเฉพาะเวลาพรรคที่เราอยากให้ชนะการเลือกตั้งเกิดชนะขึ้นมาจริงๆ จากการวางแผนอย่างแยบยล แต่บ่อยครั้งเราก็ควบคุมมันไม่ได้ อย่างตอนที่ประชากรผู้เคยรักสันติจู่ๆ ก็เชียร์ให้ไปทำสงคราม ค่านิยมหลักของดาวแม่แปรผันจากสันตินิยมเป็นกองทัพนิยม เหตุเพราะเราสร้างกองทัพยานมาป้องกันดินแดนที่ใหญ่โตเกินไป ให้มันโคจรเฝ้าระบบนานเกินควร แล้วเราก็พบด้วยความตกใจว่าการผลิต ดัสท์ (เงิน) ลดฮวบลงหลายร้อยเหรียญต่อตา เพราะว่าผู้นำทางการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงสายเหยี่ยวไม่ชอบกฎหมายรักสันติที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปีมะโว้ ผู้นำทางการเมืองสายพิราบที่เรากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เป็นฮีโร่น้องใหม่นั้น บัดนี้ไม่อาจให้ประโยชน์โภชผลใดๆ กับอารยธรรมอันเกรียงไกรได้อีกต่อไป
ยุ่งเหยิง วุ่นวาย การตัดสินใจของผู้มีอำนาจทุกเรื่องล้วนมีคนได้ และมีคนเสีย — เหล่านี้ทำให้การเมืองใน Endless Space 2 ใกล้เคียงกับการเมืองในโลกจริงของเราที่สุดในบรรดาเกม 4X ทั้งหมดที่ผู้เขียนรู้จัก