Feminine energy, Blackcat energy, Femme fatale energy
นี่คือตัวอย่าง buzzword แห่งยุคที่เกี่ยวข้องกับพลังงานของเพศหญิงที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความสัมพันธ์ทั้งหลายมักใช้คำเหล่านี้ ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่คอนเทนต์ประเภทเพื่อนหญิง พลังหญิง เราก็มักจะได้ยินผู้เชี่ยวชาญทางด้านความสัมพันธ์ออกมาแนะนำวิธีการ ทำอย่างไรจึงจะดึงพลังงานเพศหญิงออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อที่จะได้รับการดูแลเทิดทูนประดุจเจ้าหญิงอย่างที่สุด
ในขณะที่โลกหมุนไปพร้อมกระแสสังคมที่เริ่มตื่นตัวกับคำว่า ‘ความเท่าเทียมทางเพศ’ ‘ความหลากหลายทางเพศ’ มีกระแสจากทั่วโลกพยายามเรียกร้องต่อโลกใบนี้ ถึงการยอมรับและขยายคำจำกัดความว่า เพศสภาพตามกำเนิดไม่ควรจำกัดรสนิยมทางเพศของแต่ละบุคคล โลกนี้มีหลายเพศ และในความหลากหลายนั้นก็ควรจะเท่าเทียมกันด้วยนะ ไม่ควรจะมีเพศใดเพศหนึ่งถูกกดทับ ไม่ควรมีเพศใดเพศหนึ่งได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม ทุกคนควรมีสิทธิเท่าๆ กัน
นั่นคือบริบทที่สุดจะทันสมัยในยุคปัจจุบัน ณ ปี 2025
แต่คอลัมน์ Sound check ของเราจะไม่เข้มข้นกันเรื่องสิทธิเพศหรอกค่ะ เราจะพูดถึงการใช้พลังงานของเพศหญิงอย่างภาคภูมิใจแบบสุดๆ ในเพลงของ ซาบรินา คาร์เพนเทอร์ (Sabrina Carpenter) ต่างหาก
เพลงนั้นคือ Espresso เพลงแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการของเธอ เพลงที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จักกับชื่อของสาวน้อยผมบลอนด์ ตาสีฟ้า ร่างเล็กคนนี้

เชื่อไหมว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาหลายคนเคยวิเคราะห์เนื้อหาของเพลงนี้ เพราะมีอยู่หลายท่อนเหมือนกันที่มันดูแปล่งๆ แปลกๆ ไม่เหมือนกับภาษาอังกฤษที่คนทั่วไปใช้ ซึ่งนี่แหละคือความงดงามในความลื่นไหลของภาษาอังกฤษ แม้จะไม่ตรงตามไวยากรณ์ แม้จะมีการใช้ภาษาแบบแหวกแนวไปเลย ก็ไม่มีใครออกมาโจมตีเอาเป็นเอาตายว่าทำให้ภาษาเสื่อมเสีย ตรงกันข้ามกลับช่วยกันออกมาวิเคราะห์ว่า การใช้รูปประโยคแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่
ยกตัวอย่างประโยคที่ดูแปลกไปไม่ตรงแกรมม่าของเพลงนี้อย่าง
Say you can’t sleep, baby, I know
That’s that me espresso‘
คำถามชวนสงสัยจากประโยคนี้ คือ ทำไม That’s แล้วต้อง that อีกครั้งล่ะ มันมีความหมายอะไร แล้วทำไมหลัง espresso ต้องมีเครื่องหมาย ‘ ด้านบนอีก เราจะใบ้ให้ว่าวิเคราะห์กันไปก็เท่านั้น หน้าที่ปวดหัวของการเล่นภาษาเหล่านี้มีคนทำแทนพวกเราไปหมดแล้ว แต่เฉลย(ที่ไม่เฉลย) ก็คือ ซาบรีนาไม่ได้ให้สัมภาษณ์ละเอียดขนาดนั้นว่าทำไมต้องใช้ that 2 คำ ทำไมต้องใส่เครื่องหมายนั้นไว้ตรงนี้
แต่สิ่งที่ซาบรีน่าเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ Apple music ก็คือ เธอเขียนเพลงนี้ตอนอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยคิดว่าเพลงนี้สะท้อนช่วงเวลาที่เธอรู้สึกดีกับตัวเอง และเธอก็คิดว่าเธอคงไม่ได้จะรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งอยู่แบบนี้ตลอดไป ฉะนั้นเลยอยากเก็บโมเมนต์ความเจ๋งแบบนี้ไว้ด้วยการเขียนเพลงนี้ออกมา แถมเพลงที่มีเนื้อหาสนุกๆ แบบนี้คนดูคนฟังน่าจะชอบ
ซึ่งคนก็ชอบจริงๆ
พูดถึงการเปรียบเทียบพลังของเพศหญิงที่ซาบรีน่าแทรกไว้ในเพลง และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยเครื่องดื่มก็น่าสนใจไม่น้อย เช่น คำว่า Espresso, Mountain Dew (ยี่ห้อน้ำอัดลม) ตัวอย่างเพลงท่อนที่แทรกชื่อเครื่องดื่มเหล่านี้ไว้ในเพลงและแสดงถึงสัญลักษณ์ของเพศหญิง ก็อย่างเช่น
Say you can’t sleep, baby, I know
That’s that me espressoและ
I know, I Mountain Dew it for ya
คำว่า Espresso ก็คือชื่อเรียกกาแฟเข้มข้นชนิดหนึ่ง (เป็นเครื่องดื่มที่ดังและเป็นที่นิยมมากๆ ในอิตาลี) ถูกใช้ในเพลงนี้เพื่อสื่อว่า ‘ฉัน’ (ผู้หญิงหรือในที่นี้คือตัวซาบรีน่า) ทำให้เธอคิดถึงจนตื่นได้ทั้งคืน มีพลังเหมือนกาแฟเข้มๆ แบบเอสเปรสโซเลยใช่ไหมล่ะ
และคำว่า Mountain dew ก็คือชื่อยี่ห้อน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง (ฮิตมากๆ ในอเมริกา) ก็สามารถทำให้เธอสดชื่นได้ ก็เหมือนฉัน (ผู้หญิงหรือในที่นี่คือตัวซาบรีน่า) ยังไงล่ะ
ก็คือซาบรีน่ากำลังสื่อว่าผู้หญิงมีพลังที่สามารถทำให้คุณทั้งตื่นทั้งสดชื่นได้ในเวลาเดียวกัน แต่ตอนนี้คิดว่าคนทั้งโลกคงไม่ได้แค่ตื่นและสดชื่นเพราะเอสเปรสโซ่ที่เธอเเสิร์ฟผ่านเสียงเพลงให้พวกเราฟังเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะ
ตอนนี้คนมากมายต่างตกหลุมรักและเสพติดความน่ารัก ขี้เล่น ของสาวคนนี้เหมือนที่ชาวกาแฟเสพติดคาเฟอีนของเอสเปรสโซยังไงล่ะ
อ้างอิงจาก