ปกติแล้ว ในวันทำงานดื่มกาแฟกันวันละกี่แก้ว? หลายคนมักจะมีเครื่องดื่มแก้วโปรดสำหรับขับเคลื่อนวันทำงานของตัวเอง ตั้งแต่น้ำชงรถเข็น ชานมคาเฟ่ และเครื่องดื่มยอดฮิต ที่เป็นดั่งน้ำอมฤต คอยจุดติดวันทำงานของชาวออฟฟิศให้ต่อเนื่องได้ ไม่ว่าจะช่วงเช้าก่อนเข้างาน ช่วงบ่ายแสนง่วงงุน หรือตกดึกแล้วแต่งานก็ยังไม่เสร็จ กาแฟก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีเสมอ
แม้จะต้องทำงานที่บ้านกันมากขึ้น แต่กาแฟก็ยังคงจำเป็นเสมอ ทีนี้จะเดินไปซื้อกาแฟก่อนเข้างานเหมือนตอนอยู่ออฟฟิศก็ไม่ได้ บทความจาก bloomberg กล่าวถึงวิกฤตของร้านกาแฟที่ยอดขายลดฮวบลงเป็นปีแรกนับจากปี ค.ศ.2011 (ปกติโตขึ้นทุกปี) ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่แค่ไหนก็ตาม แม้จะสั่งเดลิเวอรี่ แต่พอหลายแก้วเข้า ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มตามไปด้วย home cafe จึงกระโดดมาอยู่ในกระแสหลัก จากผลกระทบของการออกไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านไม่ได้อย่างเคย
ยอดขายที่ลดลงอย่างหนักจนหลายร้านต้องปิดชั่วคราว การออกไปซื้อกาแฟแก้วโปรดก่อนทำงานจึงไม่สะดวกอย่างเคย ผู้คนเลยหันมาเนรมิตกาแฟของตัวเองกันที่บ้านนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น dirty coffee เมนูแปลกใหม่ หรือจะ dalgona coffee ที่มาพร้อมฟองกาแฟหนานุ่ม หน้าตาดูดีราวกับเสิร์ฟมาจากร้าน แต่สามารถทำเองได้ง่ายจากกาแฟผงสำเร็จรูป
หลายคนจึงเริ่มหันมามีเครื่องชงกาแฟไว้ขับเคลื่อนการทำงานที่บ้านเป็นของตัวเอง (หรือหลายคนมีตั้งแต่รู้ตัวแล้วว่าหมดค่ากาแฟไปเท่าไหร่ต่อเดือน) อาจจะเริ่มตั้งแต่กาแฟดริป ขยับไปเฟรนช์เพรส หรือจะ moka pot ก็หน้าตาเท่ไม่หยอก หรือ espresso machine ขนาดพอเหมาะกับการชงดื่มเองที่บ้าน
มนุษย์รักการดื่มกาแฟมาช้านาน แม้จะช้ากว่าแพะที่บังเอิญกินเมล็ดกาแฟไปอย่างไม่ตั้งใจ จนทำให้เรารู้จักกาแฟในวันนี้ แต่กาแฟเป็นเครื่องดื่มทรงอิทธิพลต่อชีวิตของเรามากเหลือเกิน ในวันที่ espresso machine ถูกพัฒนาไปไกลเรื่อยๆ มาดูวิวัฒนาการของ espresso machine ที่แม้เครื่องจะชงให้ แต่ก็ยังนับว่าเราชงเองอยู่ดีกันเถอะ
มาทำความเข้าใจคร่าวๆ ก่อนว่า espresso machine ที่เราเห็นกันตามร้านกาแฟในปัจจุบัน ดูสุดแสนจะสะดวกรวดเร็วนั้น เครื่องใช้แรงจากไอน้ำ กลั่นเอากาแฟเอสเปรสโซออกมา โดยยังคงกลิ่นและรสไว้ได้อย่างดีเยี่ยม จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นที่นิยมแซงหน้าเครื่องชงกาแฟชนิดอื่นๆ
แม้เราจะดื่มกาแฟกันมาเนิ่นนาน นานจนเราไม่อาจระบุเวลาที่แน่นอนได้ แต่กาแฟที่เก่าแก่ที่สุดคงจะเป็นที่ตุรกี น้ำตาลนิด เครื่องเทศหน่อย แต่ก็ยังไม่ใช่เอสเปรสโซแบบที่เรารู้จักในวันนี้อยู่ดี เพราะเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซนั้น เพิ่งมามีเมื่อ ปี ค.ศ.1884 นี้เอง
โดย แองเจโล โมริออนโด (Angelo Moriondo) ชาวอิตาเลียน ที่สร้างมาเพื่อตอบสนองความฮอตฮิตของกาแฟในยุคนั้นโดยเฉพาะ แต่เราก็รู้แค่นั้นอยู่ดี เพราะเราไม่มีแม้แต่โอกาสได้เห็นเครื่องแรกจริงๆ ด้วยซ้ำ จนมาถึงปี ค.ศ.1901 ลุยจิ เบซเซรา (Luigi Bezzera) พัฒนาเครื่องเอสเปรสโซของแองเจโลให้เก่งกาจยิ่งขึ้น เขาหาทางให้เครื่องชงได้ไวขึ้น กาแฟแก้วแรกที่ได้จากเครื่องนี้ ใช้เวลาไม่นานนัก แต่มาพร้อมกับไฟลุกพรึ่บจากปัญหาการควบคุมอุณหภูมิและแรงดัน พัฒนาไปมา จะไม่เหลือเงินทำเครื่องต้นแบบอีกแล้ว เลยต้องขายสิทธิบัตรเจ้าเครื่องนี้
และ Desiderio Pavoni นี่แหละที่ทำให้เราได้ตาตื่นในตอนบ่ายด้วยเครื่องชงกาแฟ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ยังคงทำงานร่วมกัน จนได้เอาเครื่องชงกาแฟที่ชื่อ cafeé espresso ออกมาให้โลกได้ยลโฉมในปี ค.ศ.1906 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาจากเครื่องเดิมเรื่อยมา จากความดันที่ 1.5-2 บาร์ พัฒนาไปจนถึง 8-10 บาร์ จนมาเป็นเครื่องที่เราใช้ปัจจุบัน
ถ้าหาก Desiderio ไม่ตัดสินใจซื้อสิทธิบัตรเครื่องชงกาแฟของลุยจิ แล้วมาพัฒนาร่วมกัน อาจจะไม่ได้มีเครื่องชงหน้าตาแบบนี้ อาจจะพัฒนาเร็วขึ้นหรือช้าลงก็ได้ จน เจมส์ สแตมป์ (James Stamp) จาก Smithsonian Magazine บอกว่าสองคนนั้นคือ Steve Wozniak and Steve Jobs of espresso ก็ไม่ได้เกินจริงเท่าไหร่นัก สำหรับความอัจฉริยะที่ทำให้เราชงดื่มกาแฟได้เองที่บ้าน
อ้างอิงข้อมูลจาก