1.
“แคโรลีน ฤดูร้อนที่จะถึงนี้ เราจะไม่พบหน้ากันอีกแล้วนะ”
ชายวัย 40 ปี พูดกับหญิงสาวอายุ 23 ปี ประโยคนี้ ทำให้อีกฝ่ายใจสลาย ถึงกับร้องไห้ออกมา แล้วพูดอย่างไม่พอใจพลางวิงวอนว่า “ชีวิตฉันจะไม่มีค่า หากปราศจากคุณ”
“แคโรลีน…อย่าเว่อร์ไปนะ”
แคโรลีน วอร์มัส (Carolyn Warmus) เป็นลูกผู้บริหารบริษัทประกัน เธอเป็นไฮโซ ลูกคนรวย ที่เลือกอาชีพเป็นครูสอนโรงเรียนประถม ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และโรงเรียนแห่งนี้เองก็ทำให้เธอได้พบกับ พอล โซโลมอน (Paul Solomon) ชายอายุ 40 ปี ซึ่งทำงานเป็นครูมานาน
เมื่อทั้งคู่พบหน้าพูดคุยกัน ก็ก่อเกิดเป็นความรักขึ้นมา เป็นสายสัมพันธ์สวาท ระหว่างสาวอายุน้อยเพิ่งเห็นโลก กับชายที่เห็นโลกมาพอสมควร ทั้งคู่ดื่มด่ำในความรักครั้งนี้
น่าเสียดายหัวใจเศร้า! พอลมีภรรยาอยู่แล้ว คือ เบตตี้ จีน โซโลมอน (Betty Jeanne Solomon) หวานใจที่คบหากันตั้งแต่เรียนหนังสือจบ ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน
ที่ผ่านมาพอลมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา เบตตี้เองต้องทนกับเรื่องแบบนี้ เธอเองมีความคิดจะหย่ากับสามี อย่างไรก็ดี เพราะเห็นแก่ลูกสาวคนเดียว ทั้งสองจึงพยายามประคับประคองความสัมพันธ์อันแสนง่อนแง่นนี้ไปให้ได้
วันที่ 15 มกราคม ปี ค.ศ.1989 พอลกับแคโรลีนนัดพบกันที่ร้านอาหาร ทั้งสองแอบคบกันมา 18 เดือนแล้ว วันนี้ทั้งคู่กินหอยนางรม ต่อด้วยแฮมเบอร์เกอร์ แล้วจบลงด้วยการมีเซ็กส์กันในรถของแคโรลีน ที่ลานจอด ก่อนแยกย้ายกันไป
พอลกลับมาที่คอนโดมิเนียม ก่อนเที่ยงคืนไม่กี่นาที ในห้องมืดไร้แสงสว่าง เขาเริ่มแปลกใจ เสี้ยววินาทีนั้น ที่ห้องรับแขก เขาเห็นร่างเบตตี้นอนราบไปกับพื้น ตอนแรกคิดว่าเธอหลับ จึงเดินไปกะปลุก
แต่แล้ว พอลเห็นรอยเลือดที่หน้าของเบตตี้ ชายหนุ่มรีบเอาหูทาบกับหน้าอกภรรยา ไร้ซึ่งลมหายใจ จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ก่อนจะวิ่งออกไปที่ระเบียง
เพื่อกรีดร้องแล้วร้องไห้ออกมา
2.
ตำรวจเดินทางมาจุดเกิดเหตุ พวกเขาพบว่าเบตตี้ถูกกระหน่ำยิงถึง 9 นัดด้วยกัน กระสุนเข้าที่หลังและแขน โดยกระสุน 4 นัดที่ยิงกระหน่ำที่หลังนั้น เกิดขึ้นหลังจากเบตตี้ตายไปแล้วด้วย นักสืบสอบสวนพอลก่อนเลย ในฐานะผู้พบศพคนแรก และตามหลักแล้ว ก็ถือเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ด้วย
เมื่อสอบปากคำ พวกเขาก็ตัดพอลออกจากผู้ต้องสงสัย ทันทีที่พบความสัมพันธ์แอบกินกันระหว่างแคโรลีนกับพอล เมื่อสำรวจทุกแง่มุมของสามีวัย 40 ปีแล้ว แม้ความรักของทั้งสองอาจจะง่อนแง่น แต่ก็ไม่คิดจะหย่ากันแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อพอลไร้แรงจูงใจในการฆ่าเมียตัวเอง ตำรวจจึงมองไปที่ชู้รัก-แคโรลีน
ตำรวจสืบสวนคดีพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ เริ่มแรก ก่อนหน้านี้แคโรลีนเคยพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เป็นนัยๆ ว่าอยากจะกำจัดเบตตี้ออกไปให้พ้นทาง มันอาจเป็นการพูดลอยๆ มีการเปรียบเปรย แต่ก็มีน้ำหนักให้เจ้าหน้าที่สืบสวนต่อ
ในคดีสังหารเบตตี้นี้ ตำรวจไม่เคยพบปืนที่ใช้ก่อเหตุ พวกเขาพบเพียงปลอกกระสุนขนาด 6.35 มม. ตกอยู่ในที่เกิดเหตุเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่ลองตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับแคโรลีนให้ละเอียด โดยระหว่างนั้นพอลก็จ้างนักสืบเอกชนมาร่วมไขคดีด้วย
เจ้าหน้าที่ค้นบันทึกโทรศัพท์ของแคโรลีน พวกเขาพบว่าเธอมีการติดต่อกับร้านขายปืนในนิวเจอร์ซีย์ เพื่อซื้อกระสุนปืนขนาด 6.35 มม. ไม่เพียงเท่านั้น นักสืบคนหนึ่งเผยว่า เขาได้ขายปืนบาร์เรตต้าให้กับแคโรลีนไปด้วย
นอกจากนี้ วันที่แคโรลีนไปซื้อกระสุนปืน เธอได้ขับรถโดยใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอม เมื่อตำรวจตรวจทะเบียนนั้น ก็พบว่าเป็นป้ายทะเบียนที่เพื่อนร่วมงานของแคโรลีนแจ้งหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน
ตำรวจคาดว่า วันเกิดเหตุ ก่อนที่แคโรลีนจะนัดพบกับพอลที่ร้านอาหาร ตัวหญิงสาวได้ขับรถไปหาเบตตี้ที่ห้องพัก ก่อนกระหน่ำยิงเธอจนเสียชีวิต แล้วเดินทางกลับมาหาพอลเพื่อปรนเปรอความสุข
พอลยืนยันกับแคโรลีนว่า ตัวเขาไม่มีวันแต่งงานใหม่อีก หากเลิกกับเบตตี้ไป ซึ่งหลังจากภรรยาตายไป พอลก็ไม่ได้คบกับแคโรลีนต่อ
แต่เขาหันไปกินเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนท่านอื่นแทน
6 เดือนหลังเมียตาย พอลไปเที่ยวกับสาวคนใหม่ ที่เปอร์โตริโก ทางแคโรลีนรู้ข่าวจึงระดมโทร.ไปหาด้วยความไม่พอใจอย่างมาก และพยายามจะบินไปหาด้วย
การระดมโทร.กดดันนี้ ทำให้พอลและแฟนคนใหม่ตกใจกลัว พวกเขากลับมายังนิวยอร์ก และแจ้งตำรวจถึงพฤติกรรมของแคโรลีน นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ยิ่งสงสัยหญิงสาวคนนี้มากขึ้นไปอีก
ด้วยพฤติกรรมก้าวร้าวอยากครอบครองแบบนี้ และด้วยหลักฐานการซื้อปืน เมื่อตำรวจรวบรวมหลักฐาน พวกเขาจึงสรุปว่า การสังหารเบตตี้นั้น เกิดจากฝีมือของแคโรลีนที่ต้องการครอบครองพอล โดยในช่วงเวลานั้นมีภาพยนตร์ฮอลลีวูดเข้าฉายเรื่อง Fatal Attraction หรือชื่อไทย เสน่ห์มรณะ เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่คบชู้กับหญิงสาวคนหนึ่ง ก่อนจะเลิกรากับเธอไป แต่ดูเหมือนว่าชู้คนนี้จะไม่ยอมจบไปด้วย จึงบุกคุกคามครอบครัวของชายหนุ่มอย่างหนัก มันกลายเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญที่คนชอบกันมาก
ด้วยกระแสภาพยนตร์ กับคดีเบตตี้ และการคบชู้ระหว่าง พอลกับแคโรลีน ทำให้สื่อมวลชนให้ความสนใจกันมาก จนสังคมต่างจับตามองคดีนี้อย่างใกล้ชิด
สุดท้าย ตำรวจจึงจับกุมแคโรลีน พร้อมตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา
3.
แคโรลีน เป็นลูกสาวคนโต ของผู้บริหารบริษัทประกัน เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ก็ได้เห็นพ่อแม่หย่ากัน พ่อเธอไปแต่งงานกับเลขาส่วนตัว แคโรลีนกับน้องอีก 2 คน จะไปอยู่กับพ่อเป็นบางเวลาที่หมู่บ้านหรูที่เนินเขาสวยงาม ขณะเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เธอได้เป็นผู้ช่วยสอนกับครูคนหนึ่ง และได้คบหากัน
หลังจากที่เลิกกันไปแล้ว ครูคนนี้ได้แจ้งว่า ถูกแคโรลีนระดมโทร.หา พร้อมเขียนจดหมายคุกคาม จนครูกับคู่หมั้นต้องแจ้งห้ามแคโรลีนมางานแต่งงานของทั้งคู่โดยเด็ดขาด ซึ่งนักสืบได้ข้อมูลนี้มาด้วย เมื่อนำไปประกอบสำนวนในคดี ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักว่า แคโรลีนนั้นเป็นคนหึงแรง ไม่ยอมจบ มีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้วในอดีต ในเวลาต่อมามันจึงพัฒนาจากการหึงโหดคุกคาม กลายเป็นการฆาตกรรมสังหารเบตตี้
เมื่อเรียนจบ เธอไปเรียนต่อด้านครู ก่อนจะมาลงเอยที่โรงเรียนประถมกรีนวิลล์ ในนิวยอร์ก และได้พบกับพอล โซโลมอน ชายอายุมากกว่า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรสนิยมของแคโรลีน ทั้งสองคบหากัน และเมื่อพอลต้องการจบความสัมพันธ์ บางทีแคโรลีนอาจไม่พอใจ และคิดว่าหากกำจัดเบตตี้ไปได้ เธอจะได้ครอบครองพอลอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นจึงนำไปสู่การฆาตกรรมสุดโหดนี้
เมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ทนายความของแคโรลีน ยืนยันว่าหญิงสาวไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เขาย้ำว่า คนที่ได้ประโยชน์สุดในเรื่องนี้ คือ สามีของผู้ตาย
“ฉันไม่ได้ฆ่าเบตตี้
และฉันไม่อยากติดคุกในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ”
อัยการหยิบข้อมูลมาเผยว่า ตัวพอลนั้นได้แนะนำแคโรลีน ให้ลูกสาววัย 17 ปีรู้จัก โดยที่เด็กไม่รู้ว่าทั้งสองแอบคบหากัน แคโรลีนเล่นกีฬาชำนาญหลายอย่าง แถมเล่นสกีเก่งด้วย พอลเคยพาแคโรลีนไปเล่นสกี และสอนลูกสาวเขา ดูเหมือนครูสาววัย 23 ปี อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้มาก เธอสอนและพยายามผูกมิตรกับลูกสาวของพอลเสมอ
ที่สำคัญแคโรลีน มักจะถามลูกสาวพอล อยู่หลายครั้งว่า เบตตี้โอเคกับเธอไหม โดยทั้งแคโรลีนและเบตตี้ก็ต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เบตตี้อาจคิดว่า แคโรลีนคือเพื่อนร่วมงานของพอล และอาสามาดูแลลูกสาวของเธอเท่านั้น
อัยการเผยว่า หลายครั้งที่แคโรลีนพูดเป็นนัยกับลูกสาวของพอล ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน ที่สำคัญเพื่อนร่วมงานของผู้ต้องหายังบอกว่า ตัวหญิงสาว นอกจากพูดเรื่องการกำจัดเบตตี้แล้ว ยังพูดว่าด้วยอำนาจเงินของเธอ การคบกับพอล น่าจะเป็นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
แต่เมื่อพอลไม่คบแคโรลีนต่อ หลังเมียตาย แต่กลับไปคบคนอื่น ยิ่งทำให้หญิงสาวแสดงความหึงหวงอยากครอบครองมากกว่าเดิม จนพอลถึงขั้นกลัวต้องแจ้งตำรวจ
2 ปีหลังการฆาตกรรมเบตตี้ ลูกขุนมีมติเสียงข้างมากว่าแคโรลีนผิดจริง แต่คำพิพากษานั้น จะต้องได้มาด้วยเสียงเอกฉันท์ในคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา นั่นทำให้มีการไต่สวนครั้งที่ 2 คราวนี้อัยการหยิบเอาหลักฐานชิ้นสำคัญที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาเฉย
นั่นก็คือ ถุงมือสีดำ ซึ่งเปื้อนคราบเลือดของแคโรลีน และตกในจุดเกิดเหตุ อัยการโน้มน้าวลูกขุนว่า นี่คือถุงมือที่เป็นของแคโรลีน และได้ลืมไว้ในจุดเกิดเหตุ มันตกอยู่ใต้ร่างที่เบตตี้ทับไว้
ด้วยหลักฐานชิ้นนี้ ทำให้ลูกขุนมีมติเป็นเอกฉันท์ พิจารณาลงโทษว่าแคโรลีน มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ต้องโทษจำคุก 25 ปีทันที
หญิงสาวถูกส่งเข้าคุก ท่ามกลางสื่อมวลชนที่ขนานนามคดีนี้ว่า มันคือ Fatal Attraction ของจริง เราอาจจะเรียกคดีนี้เป็นภาษาไทยได้อย่างไพเราะปนสยองว่า คดีเสน่ห์มรณะ
4.
แคโรลีนไม่เคยรับสารภาพว่าก่อเหตุสังหารเบตตี้ ที่สำคัญตำรวจไม่เคยค้นพบอาวุธปืนก่อเหตุเลย เธอยังคงยืนกรานความบริสุทธิ์ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวออกมาในปี ค.ศ.2019
ในช่วงติดคุกนั้น แคโรลีนได้ฟ้องผู้คุม กล่าวหาว่าพวกเขาข่มขืน คุกคามทางเพศเธอ เพื่อแลกกับอภิสิทธิ์กินดีอยู่ดีในเรือนจำ เธอมีหลักฐานถึงขนาดเก็บน้ำอสุจิของเจ้าหน้าที่ไว้ในถุงพลาสติก จนต้องมีการจ่ายเงินชดเชย สอบสวนผู้คุมด้วย
ขณะติดคุก หญิงสาวร้องขอการตรวจดีเอ็นเอถุงมือ แต่ทางการไม่เคยพลิกฟื้นคดีนี้อีกเลย จนกระทั่งเธอออกจากคุก
สื่อมวลชนยุคใหม่พบว่าคดีนี้ มีข้อสงสัยหลายอย่าง ทนายความของแคโรลีน เผยว่า พวกเขาถูกจัดฉากขึ้นมา โดยเฉพาะถุงมือที่เป็นหลักฐานเด็ดพาตัวหญิงสาวเข้าเรือนจำนั้น มันหายไปจากจุดเกิดเหตุ ไม่มีใครพบเลย
จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไป พอลได้ไปเจอถุงมือนี้
แล้วมอบมันให้กับทางอัยการ
ใช้เป็นหลักฐานปรักปรำแคโรลีนจนติดคุก
มีคนคาดว่า พอลอาจจะจ้างคนอื่นฆ่าเมียตัวเอง โดยหลังมีอะไรกับแคโรลีนแล้ว เขาก็ทำทีเอารถไปชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อให้คนร้ายตัวจริงบุกยิงเมียตัวเองตาย ก่อนหลบหนีไป ทางทนายความจำเลยยืนยัน ย้ำอีกรอบว่า แคโรลีนเป็นผู้บริสุทธิ์
ทั้งนี้มีหลักฐานสำคัญปรากฏในเวลาต่อมาว่า เบตตี้เองก็คบชู้ด้วย โดยเพิ่งยุติความสัมพันธ์กับกิ๊กของตัวเองไปไม่ถึงปี ก่อนที่จะเสียชีวิต เป็นไปได้ไหมว่า มันทำให้พอลไม่พอใจ จนวางแผนฆ่าเมียตัวเอง แล้วโยนหลักฐานเท็จทั้งหมดให้แคโรลีนเป็นแพะ
อย่างไรก็ดีคดีนี้จะมีข้อสงสัยหลายอย่าง แต่ทางการก็ไม่ได้รื้อฟื้นมาพิจารณาใหม่ ทำให้แคโรลีน ถูกจดจำในฐานะเมียน้อยที่บุกยิงเมียหลวงตาย เพื่อหวังครอบครองผัวเขา ถึงทุกวันนี้
ด้านลูกสาวของเบตตี้และพอล ย้อนความหลังว่า เธอหัวใจสลายและช้ำใจสุดๆ ในวันที่แม่ตาย เพราะทุกคนในบ้านร้องไห้กันหมด แต่เธอกลับไม่มีแม้แต่น้ำตาไหลออกมา เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมาก เธออยากให้แม่มีชีวิตอยู่ เธอรอคอยหวังว่าแม่จะยังไม่ตาย
“ตอนนั้น ฉันหวังว่า แม่จะเปิดประตูเข้ามา แล้วพูดว่า โธ่…ลูก แม่ก็แค่อำเล่นเท่านั้น”
ข้อมูลอ้างอิง