1.
วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1998 ที่ประเทศรัสเซีย หญิงสาวอายุ 15 ปีกำลังกลับบ้านตอนกลางคืน ทันใดนั้นรถตำรวจเรียกให้เธอหยุด เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบลงจากรถ สอบถามว่าเธอออกมาทำอะไรดึกดื่นขนาดนี้ ก่อนจะเร่งให้ขึ้นรถตำรวจ เจ้าหน้าที่อาสาไปส่งเธอที่บ้าน
“ดีเหมือนกัน” หญิงสาวคิด เธอจึงยอมขึ้นรถไป
แต่เขาไม่ได้พาเธอไปบ้าน
ตำรวจนายนี้พาเธอไปนอกเมือง สั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า เขาจับหัวเธอกระแทกกับต้นไม้ หญิงสาวอายุ 15 ปี ควรจะเสียชีวิต เธอไม่รู้สึกตัวจนถึงตอนเช้า ปรากฏว่าตัวเองกลับมีชีวิตรอด ร่างเปลือยเปล่า อุณหภูมิติดลบ แต่ก็พยายามกระเสือกกระสนท่ามกลางอากาศหนาวเย็น งัดร่างออกขอความช่วยเหลือในสภาพฟกช้ำ สุดท้ายมีคนช่วยเธอก่อนหมดสติไปอีกครั้ง แล้วตื่นมาอีกทีที่โรงพยาบาล
ตัวเธอกลายเป็นพยานสำคัญของคดียืนยันว่าฆาตกรต่อเนื่องที่ชอบไล่ฆ่าหญิงสาวตอนกลางคืนเป็นตำรวจ จากเดิมเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าฆาตกรรายนี้น่าจะทำงานเป็นช่างโลหะ พนักงานรถไฟหรือสัปเหร่อมากกว่า แต่คำให้การของเธอทำให้ตำรวจที่สอบปากคำตกใจ ฆาตกรต่อเนื่องเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นคนอาชีพเดียวกับพวกเขาหรือนี่
มันเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รับความจริงไม่ได้ ดังนั้นกว่าจะจับกุมตำรวจรายนี้ได้ก็ต้องรอคอยจนถึงปี ค.ศ.2012 รวมเวลาตั้งแต่วันที่เหยื่อวัย 15 ปี ให้ข้อมูลแล้ว มันใช้เวลาถึง 14 ปีทีเดียวกว่าจะปิดคดีนี้ได้
ผลจากความล่าช้าทำให้ฆาตกรรายนี้ก่อเหตุสังหารหญิงสาวยามค่ำคืนไป 55 ศพ นั่นคือตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่คาดกันว่าเขาน่าจะฆ่าคนไปมากกว่านั้น
นี่คือเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่อง
ที่อาศัยเครื่องแบบผู้พิทักษ์ประชาชนในการฆ่า
2.
ช่วงปี ค.ศ.1992-2010 ประเทศรัสเซียเกิดความปั่นป่วนเมื่อมีรายงานพบศพหญิงสาวถูกข่มขืนแล้วฆ่า ร่างถูกพบในที่ห่างไกลปลอดตาจากผู้คน ผู้เสียชีวิตมีอายุตั้งแต่ 16-40 ปี เหยื่อบางรายถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม หลายคนไม่ได้เป็นโสเภณีขายตัวริมถนน แต่เป็นคนทำงานกลางคืน บางคนก็แค่ออกมาดื่มกินกับเพื่อนๆ หาความสนุกสนานในชีวิต เหยื่อรายหนึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ที่ถูกฆ่าโดยส่วนหัวและลำตัวถูกหั่นแยกขาดจากกัน
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พบหัวของนร.แพทย์หญิงถูกกระหน่ำแทงด้วยมีดถึง 6 แผล ส่วนร่างที่เหลือถูกพบแยกในถังขยะต่างเมือง เหตุการณ์นี้สร้างความเสียใจให้กับญาติๆ อย่างมาก เพราะพวกเขาไม่สามารถเปิดโลงศพให้ผู้มาร่วมงานเห็นได้เลย
อีกกรณีเป็นเหยื่อสาว 2 ราย พวกเธอแค่ไปชมคอนเสิร์ต ขณะเดินกลับบ้าน ก็มีรถตำรวจมาจอดแวะรับอาสาไปส่งหญิงสาวทั้ง 2 คนที่บ้าน แน่นอนว่าด้วยเครื่องแบบ ทำให้พวกเธอขึ้นรถไป รถไม่ได้ไปส่งบ้าน แต่พาพวกเธอไปถูกฆ่าสังหารข่มขืน ร่างถูกชำแหละอย่างเลวร้าย แล้วเอาไปทิ้งป่าที่ร้างไกลจากผู้คน
สภาพศพของเหยื่อทั้งสองเลวร้ายมาก ถึงขนาดว่าพี่ชายของเหยื่อพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวเมื่อห็นสภาพยับเยินแบบนี้ โลงศพในพิธีต้องถูกปิด เพราะร่างถูกทุบชำแหละอย่างโหดเหี้ยมเกินกว่าจะเปิดให้ใครเห็น แม่ของผู้ตายเป็นลมไปหลายครั้งในงาน
อย่างไรก็ดีในคดีหญิงสาว 2 คนนี้มีพยานเห็นว่า เหยื่อขึ้นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจไป นั่นจึงทำชุดสืบสวนในคดีนี้เริ่มตระหนักแล้วว่า
บางทีฆาตกรต่อเนื่องรายนี้
อาจเป็นบุคคลที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาจริงๆ
อย่างไรก็ดีตำรวจรัสเซียเองก็ไม่อยากยอมรับหลักฐานตรงนี้ พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปทางอื่นมากกว่า ยิ่งพบศพผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืนมากขึ้น ยิ่งมีคนเจอร่างในป่าห่างไกลชุมชนเยอะเท่าใด ชุดสืบสวนก็ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อรวบรวมหลักฐาน ตัดประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ต้องพิจารณาการเสียชีวิตแต่ละครั้งว่าเป็นฝีมือฆาตกรรายนี้จริงๆ หรือไม่
ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าผู้ก่อเหตุมักจะออกฆ่าคนทุกวันพุธอยู่เป็นประจำ ตลอดหลายปีที่พบศพหญิงสาวถูกฆ่ามีหลักฐานรอยนิ้วมือ คราบอสุจิและสภาพแวดล้อมหลายอย่างสามารถสาวไปถึงผู้กระทำผิดได้ แต่กลับไม่มีการเก็บหลักฐานอย่างละเอียดในช่วงแรก ทำให้การโยงคดีเข้าด้วยกันจึงเป็นเรื่องยากมาก แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังทำงานไปอย่างต่อเนื่องจนพบว่าศพรายหนึ่งติดเชื้อซิฟิลิสและมีร่องรอยการร่วมเพศของคนร้าย ดังนั้นผู้ต้องหาคดีนี้น่าจะติดเชื้อซิฟิลิสไปด้วย
ครั้งนี้เจ้าหน้าที่นำข้อมูลเรื่องคนร้ายอาจเป็นตำรวจมาวิเคราะห์ด้วย นั่นจึงเกิดการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสกับตำรวจในเมืองที่มีหญิงสาวหายตัวไป ไม่นานพวกเขาก็พบว่า ร.ต.ท.มิคาเอล ป็อปคอฟ (Mikhail Popkov) ติดเชื้อซิฟิลิส
นั่นจึงนำมาสู่การสอบปากคำมิคาเอลอย่างจริงจัง เขาให้การปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ เมื่อสอบปากคำภรรยาที่เป็นตำรวจด้วยกัน อีกฝ่ายก็ยืนยันที่อยู่ของมิคาเอลตอนเกิดเหตุการณ์หญิงสาวหลายคนหายตัวไปได้
ดังนั้นชุดสืบสวนจึงปล่อยตัวมิคาเอลไป แต่ยังคงจับตาเขาไว้ตลอดเวลาในฐานะบุคคลต้องสงสัย ถึงจุดนี้ชุดสืบสวนเริ่มคาดการณ์ว่าการที่ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ลอยนวลไปได้ เพราะเขาน่าจะรู้วิธีการปกปิดพยานหลักฐานอย่างดีเยี่ยมไม่ให้สาวถึงตัวเอง ซึ่งคนที่ทำแบบนี้ได้จะต้องชำนาญ ฉลาดและเก่งกาจอย่างมาก
หรือก็แค่เป็นตำรวจเท่านั้นเอง
3.
เวลาต่อมาด้วยหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอซึ่งสามารถระบุตัวคนร้ายได้อย่างแม่นยำ ทำให้ชุดสืบสวนเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดพันกว่านายไว้ และนำไปเปรียบเทียบดีเอ็นเอที่พบในจุดเกิดเหตุ โดยในช่วงหลังปี ค.ศ.2000 เป็นต้นไป การสังหารโหดของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ลดลงแต่ไม่ได้หยุด ที่สำคัญคือไม่มีการข่มขืนอีกแล้ว สาเหตุก็เพราะนักฆ่าคนนี้ติดเชื้อซิฟิลิสจากเหยื่อที่ถูกฆ่า ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อม แต่ก็ยังมีหญิงสาวถูกฆ่า ศพถูกทิ้งนอกเมืองอยู่เป็นประจำ
หลังจากใช้เวลาหลายปี ทั้งการเปลี่ยนความคิดยอมพิจารณาว่า ตำรวจอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้การโน้มน้าวใจชุดสืบสวนอยู่หลายปี ทั้งการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ทั้งการค่อยๆ รวบรวมพยานหลักฐาน ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็บุกจับกุมตัวมิคาเอล ซึ่งขณะนั้นลาออกจากอาชีพตำรวจไปทำงานบริษัทรักษาความปลอดภัยแล้ว โดยตำรวจได้ค้นรถของมิคาเอล พบดีเอ็นเอของเหยื่อผู้เสียชีวิตจำนวนหลายราย
โชคยังเข้าข้างเจ้าหน้าที่ เพราะสามารถดักจับมิคาเอลได้บนถนนขณะที่เขากำลังจะเดินทางไปซื้อรถใหม่พอดี
การจับกุมครั้งนี้สร้างความแปลกใจให้กับภรรยาและลูกสาวของมิคาเอลมาก
แม้กระทั่งอดีตเพื่อนร่วมงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่เชื่อว่า
มิคาเอลจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
ที่สื่อตั้งฉายาไว้ว่า ‘มนุษย์หมาป่า’
อดีตเพื่อนร่วมงานบอกว่า “ตอนผมอ่านข่าว แทบช็อกไปเลย ผมเคยทำงานกับเขาและคิดว่ารู้จักมิคาเอล ป็อปคอฟดี นี่เป็นผู้ชายธรรมดา ชอบเล่นสกี ตอนเข้าเวร เขาเคยยิงพวกข่มขืนระหว่างการจับกุม โดนตั้งกรรมการสอบสวนแต่ไม่ถูกลงโทษ พวกนายๆ มองว่าสิ่งที่เขาทำมันโอเคแล้ว”
ขณะที่เพื่อนร่วมงานอีกรายให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ผมทำงานใกล้ชิดกับมิคาเอล ป็อปคอฟมา 5 ปี เขาเล่าเรื่องเก่งมาก แถมมุกเยอะ ถ้ามีจัดปาร์ตี้ ทุกคนจะสนใจแต่เขาหมด”
ไม่เพียงเท่านั้น ป็อปคอฟยังเคยอยู่ในจุดเกิดเหตุพบศพเหยื่อที่เขาฆ่าข่มขืนด้วยหลายครั้งในฐานะเจ้าหน้าที่ เขาเฝ้ามองชุดสืบสวนทำงานไล่ล่าตัวเขาเอง ตอนโดนจับ คนรู้จักต่างไม่เชื่อว่า มิคาเอลคือฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าหญิงสาวเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์นี้ทำให้นักจิตวิทยาต้องมาร่วมสอบสวนมิคาเอลด้วย นำไปสู่บทสรุปว่า คนที่มีอาการป่วยทางจิตนั้นมีอยู่ 2 ประเภท อันแรกคือพวกป่วยปกติ ประเภทนี้ตำรวจจับง่าย พวกเขาจะอาศัยอยู่ในโลกของตัวเองหลีกหนีจากผู้คน แต่ประเภทที่ 2 คือแบบมิคาเอลเป็น เขามีอาการทางจิต แต่กลับฉลาด เข้าสังคม ปรับตัวเก่ง บ่อยครั้งจะมีครอบครัว ทำงานที่มั่นคงต่อชีวิต เพื่อจะได้มีเวลาไปก่อเหตุอาชญากรรมได้ เป็นคนป่วยที่ยากจะรู้และตำรวจยากจะจับตัวได้ นี่คือคนป่วยประเภทที่เหล่าฆาตกรต่อเนื่องหลายคนเป็นกัน
มิคาเอลนั้นคิดว่าตัวเองคือผู้ทำความสะอาด มีหน้าที่ขจัดหญิงสาวที่ออกมาเที่ยวกลางคืนแทนที่จะอยู่บ้านให้หมดไป แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องผิด แต่เขาก็ต้องทำ การหักห้ามใจไม่ฆ่าเป็นสิ่งที่มิคาเอลทำไม่ได้
“ผมก็แค่อยากฆ่าผู้หญิงพวกนี้
เลยเชิญพวกเธอให้ขึ้นรถ”
4.
ข้อมูลวัยเด็กของมิคาเอล ป็อปคอฟมีน้อยมาก ทราบเพียงว่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ.1964 ว่ากันว่าชีวิตวัยเด็กของเขาไม่สมบูรณ์ พ่อกับแม่รักน้องสาวมากว่า ทำให้มิคาเอลมีปมในใจมาก คำรับสารภาพเผยว่า เขาเคยถูกคุกคามทำร้ายจากหญิงขี้เมา ซึ่งอาจจะเป็นแม่ของเขาเองจนเป็นบาดแผลในวัยเด็ก อย่างไรก็ดีชีวิตชายคนนี้กลับโตมาอย่างปกติสุข เรียนเก่งหัวดีทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งงานกับหญิงสาวที่เรียนมาด้วยกัน เธอทำงานเป็นตำรวจเช่นกัน มีลูกสาวสุดน่ารักที่โตมาเป็นครู
สองพ่อลูกใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ผูกพันกัน เขาเป็นคนไม่ใช้ความรุนแรง สุภาพ แสนดี ทั้งคู่ชอบไปปั่นจักรยาน มิคาเอลมักไปรอรับลูกที่โรงเรียนอยู่เป็นประจำ
“ตอนนั้นฉันอยากเป็นนักอาชญวิทยา
เลยอ่านหนังสือการไล่ล่าจับกุมฆาตกรต่อเนื่อง
ทำให้รู้พื้นฐานชีวิตของฆาตกรเหล่านี้
ฉันจึงรู้ว่าพ่อไม่ได้มีพื้นฐานหรือใกล้เคียง
กับพวกคนบ้าเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย”
เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่า จุดที่ทำให้มิคาเอลตัดสินใจออกไปฆ่าคน น่าจะเกิดจากการคิดไปเองว่าภรรยาเขาคบชู้ โดยเขาไปเจอกล่องถุงยางในถังขยะ แล้วเข้าใจว่าเมียตัวเองมีชู้ ซึ่งต่อมามิคาเอลจะพบว่ากล่องถุงยางนั้นเป็นของแขกซึ่งมาพักที่บ้านต่างหาก แต่มันช้าไปแล้ว เพราะเขาได้ขับรถตำรวจเปิดหวอออกไปรับหญิงสาวเพื่ออ้างไปส่งบ้าน แต่จบลงด้วยการข่มขืนแล้วฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ก่อนเอาศพไปทิ้งนอกเมือง
แม้ทางภรรยาและลูกสาวจะประสานเสียงแข็งยืนยันว่า สามีและพ่อไม่มีทางเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปได้ เขารักครอบครัว เป็นพ่อที่ดี แต่เมื่อมิคาเอลเปิดปากสารภาพ ทุกอย่างก็จบ นั่นทำให้ศาลตัดสินจำคุกเขาตลอดชีวิต
ทุกวันนี้ตำรวจนำตัวมิคาเอลมาสอบปากคำจ่ายเงินให้ เพื่อร่วมแบ่งปันข้อมูลไขคดีหญิงสาวหายตัวไปเป็นจำนวนมาก ตัวเขายังช่วยตำรวจระบุตัวเหยื่อที่ถูกฆ่าสม่ำเสมอ เขายอมรับว่า ได้ฆ่าหญิงสาวไปทั้งหมด 83 ราย หากเจ้าหน้าที่สามารถระบุหลักฐานได้ทุกราย จะทำให้มิคาเอลกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อสูงสุดในประวัติศาสตร์ฆาตกรต่อเนื่องของรัสเซีย แค่ตอนนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปได้ 55 ศพ เขาก็ติดอันดับ 3 ของฆาตกรต่อเนื่องในประเทศนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
มิคาเอล ป็อปคอฟไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นตำรวจ จึงรู้ว่าจะปกปิดความผิดหลักฐานอย่างไรให้รอด แต่สิ่งที่มิคาเอลพลาดก็คือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น เรื่องนี้คือสิ่งที่เขายอมแพ้ มิคาเอลยอมรับกับชุดสืบสวนในคดีนี้ว่าที่เขาโดนจับกุมตัวได้ก็เพราะดันเกิดมาในยุคเก่า ยุคที่ไม่ได้มีมีเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเฉพาะการเทียบดีเอ็นเอ ซึ่งถ้าหากไม่มีวิธีนี้ล่ะก็..
“รับรองได้ว่า ผมคงจะไม่ได้มานั่งแบบนี้ต่อหน้าคุณหรอก”
ข้อมูลอ้างอิง