“ถ้าเห็นเพื่อนถูกยิงขนาดนั้น รับรองเถอะ คุณจะมีแรงผลักดันให้สู้ต่ออย่างแน่นอน”
1.
อีกเพียงแค่ปีเดียว เจ้าหน้าที่พิเศษ เบน โกรแกน (Ben Grogan) วัย 53 ปีก็จะเกษียณอายุราชการ จากสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอแล้ว
บุรุษที่เพื่อนร่วมงานตั้งฉายาให้ว่า ‘คุณหมอ’ เริ่มทำงานในหน่วยงานนี้เมื่อ 25 ปีก่อน
“ที่จริงแล้ว เขาเริ่มเป็นเอฟบีไอตั้งแต่ อายุ 9 ขวบด้วยซ้ำไป” น้องชายของเขาเล่า
เบนชอบเปิดวิทยุฟังเรื่องราวของหน่วยงานนี้อยู่เสมอ เขาหลงใหลและใฝ่ฝันที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
กระนั้นเส้นทางของชายวัย 53 ปี กับหน้าที่การบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่ดีสุดในสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เริ่มขึ้นในทันที
เพียงแค่จบม.2 เบนไปเรียนต่อโรงเรียนสอนศาสนา และเขาเริ่มเส้นทางเป็นนักบวช รับใช้พระผู้เป็นเจ้า แทนการจับปืนสู้กับคนร้าย
เมื่ออายุได้เบญจเพส พ่อก็ด่วนจากโลก ในฐานะพี่คนโตของน้องๆ ทั้ง 4 เขาจึงกลับมาบ้าน โดยพกสถานะบาทหลวง อุทิศตนเพื่อชุมชน เป็นโค้ชสอนมวยปล้ำให้กับโรงเรียนในท้องถิ่น เมื่อถึงจุดหนึ่ง หลังจากทุกอย่างที่ชีวิตแสวงหาประสบความสำเร็จแล้ว เบนกลับสู่ตัวตนของเขา เดินออกจากโบสถ์ วางสถานะผู้เผยแพร่คำสอนของพระเจ้า สู่การเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ในหน่วยงานที่เขาหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก
เอฟบีไอ!
แม้ทั้ง 2 อาชีพจะดูแตกต่างอย่างสุดขั้ว ทว่าสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันก็คือ ศัตรูของพวกเขาล้วนเป็นปีศาจ ที่บางครั้งก็มาในรูปของมนุษย์
เช้าวันที่ 11 เมษายน 1986 ตัวเขาและ เจอรี่ โดฟ (Jerry Dove) เพื่อนร่วมงานหนุ่มวัย 30 ปี ที่กำลังเตรียมตัวเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว และเพิ่งมาเป็นเอฟบีไอได้เพียง 4 ปี ขับรถไปตามท้องถนนเมืองไมอามี
ระหว่างนั้นทั้ง 2 ได้รับแจ้งให้เข้าติดตามและสกัดรถเก๋งสีดำ หลังพบว่าถูกลักมา และเจ้าของที่แท้จริงถูกยิงเจ็บสาหัส ไม่เพียงเท่านั้นรถต้องสงสัยคันนี้ ยังถูกใช้ก่อเหตุปล้นแบงค์อีกด้วย
สำนักงานสอบสวนกลางระดมมากัน 8 คน ใช้รถ 5 คัน โดยมีเบนเป็นหัวหน้าชุด เมื่อถึงจุดที่คนไม่พลุกพล่าน อดีตบาทหลวงนำทัพขับเข้าประกบเก๋งสีดำพร้อมเพื่อนอีกคัน ขนาบซ้ายขวา เพื่อบีบให้ยอมจำนน โดยมีรถเอฟบีไอตามหลัง ซ้อนอีกชั้นกันหลบหนี
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยานพาหนะที่ถูกใช้ก่อเหตุอาชญากรรม ถูกล้อมทันที
เจ้าหน้าที่เตรียมเข้าจับกุม โดยใช้ปืนลูกโม่ .38 เป็นอาวุธประจำกาย
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้และตระหนักมาก่อนก็คือ เป้าหมายที่อยู่ในรถสีดำทมิฬนั้น ไม่ใช่อาชญากรธรรมดา แต่เป็นฆาตกร อดีตทหารรบพิเศษ ที่ชำนาญด้านการฆ่าเป็นอย่างยิ่ง
แถมอาวุธที่พวกเขาครอบครอง ไม่ใช่ลูกโม่ .38 ที่เอฟบีไอใช้กัน
พวกเขามีปืนกล ไรเฟิล พร้อมปะทะแถมยังรัวได้หลายนัดอีกด้วย
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลา 09.45 น. ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท
เสียงปืนก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว
กินเวลาเพียงแค่ 5 นาที แต่มีกระสุนยิงออกมาถึง 140 นัด
ทุกอย่างจบลงที่มีคนตาย 4 ศพ เจ็บอีก 5
นี่คือเหตุการณ์ที่จะถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า การดวลปืนเดือดแห่งไมอามี
2.
แท้จริงแล้ว ชายฉกรรจ์ทั้ง 2 ที่เบนและผองเพื่อนเอฟบีไอเผชิญหน้านั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นคนผิวขาว มีนามว่า ไมเคิล ลี แพลตต์ (Michael Lee Platt) อายุ 35 ปี กับ วิลเลี่ยม รัสเซล แมททิกซ์ (William Russell Matix) อายุ 32 ปี
จากประวัติย้อนหลัง วิลเลี่ยม เคยเป็นนาวิกโยธินมาก่อน และไปทำงานเป็นสารวัตรทหาร ช่วงเวลานั้น เขาได้รู้จักกับไมเคิล อดีตพลร่มประจำหน่วยรบเรนเจอร์อันเลื่องชื่อของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ที่ย้ายมาเป็นสารวัตรทหาร หลังจากพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง ทั้งคู่ก็สถาปนาความสัมพันธ์เป็นเพื่อนรักกันจนวันตาย
เมื่อปลดประจำการจากทหาร หวนคืนสู่ชีวิตพลเรือน ไมเคิลและวิลเลี่ยม ไม่เพียงปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกค่ายทหารไม่ได้ แต่ยังมีพฤติกรรมหมกมุ่นกับความรุนแรง ลุกลามไปสู่การฆาตกรรม
วันที่ 30 ธันวาคม 1983 ภรรยาของวิลเลี่ยมพร้อมเพื่อน เสียชีวิตหลังโดนของมีคมกระหน่ำแทงจนตาย โดยมีร่องรอยการทารุณกรรมตามตัวอย่างโหดเหี้ยม แม้วิลเลี่ยมจะเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ แต่กลับไม่มีการตั้งข้อหาเขาแต่อย่างใด
เมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ อดีตนาวิกโยธินแต่งงานกับเมียคนที่ 2 แต่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ ก็จบลงที่การหย่าร้าง หญิงคนนี้เปิดเผยกับนักข่าวในเวลาต่อมาว่า ชายที่เธอเคยหลงรัก แท้จริงแล้ว “เป็นปีศาจ”
คู่เพื่อนรักอดีตทหาร ทำงานธุรกิจจัดสวนในไมอามี กระทั่งในปี 1984 ภรรยาของไมเคิลก็มีชะตาคล้ายกับคนรักของวิลเลี่ยม เมื่อถูกพบเป็นศพ โดยมีร่องรอยกระสูนปืนลูกซองซัดเข้าที่ปาก ตำรวจเชื่อว่าน่าจะเป็นการจบชีวิตด้วยตัวเอง
ถัดมาอีก 1 อาทิตย์ อดีตนักรบเรนเจอร์ก็เลียนแบบเพื่อนนาวิกโยธิน ด้วยการแต่งงานใหม่ แต่ก็เตรียมจะหย่าในเวลาต่อมา แม้ประวัติของพวกเขาจะอื้อฉาวขนาดนี้ แต่ไม่เคยมีใครตระหนัก เพราะทั้งคู่ดูเป็นคนดี ที่ไม่เคยแม้แต่จะใช้ความรุนแรงกับใครทั้งสิ้น
“ตอนรู้ข่าว ฉันช็อกไปเลย ไม่น่าเชื่อ” เพื่อนบ้านของทั้ง 2 กล่าวกับสื่อ
แต่เมื่อโลกหลังชีวิตนักรบเป็นไปอย่างขัดสน เงินทองไม่พอใช้ และไม่มีของฟรีบริการเหมือนตอนเป็นทหารอีก พวกเขาจึงตัดสินใจใช้สิ่งที่ได้รับการสอนในกองทัพมาหากิน
นั่นก็คือการฆ่าคน
เชื่อกันว่าศพแรกของทั้งคู่ เกิดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 1985 พวกเขาสังหารชายหนุ่ม วัย 25 ปี เพื่อชิงรถ ก่อนเอาศพไปโยนทิ้งทะเลสาบ แล้วเริ่มบุกปล้นแบงก์ทั่วไมอามี หากใครขวางก็จะใช้ทักษะที่ได้จากการเป็นนักรบ คือยิงผู้ขวางทางให้สิ้นซาก
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาที่พวกเขาอยากได้รถ หรือรปภ.ของแบงก์ที่พยายามจะจับตัวพวกเขา หากยุ่งไม่เข้าเรื่อง ก็ต้องเจอลูกตะกั่วเป็นการตอบแทน
รูปแบบการก่อเหตุฆ่าปิดปากพยาน และปลอมตัวก่อเหตุชิงเงินจากธนาคาร ทำให้ทางการไม่อาจระบุตัวทั้ง 2 ได้ชัด นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากการเป็นสารวัตรทหาร นั่นก็คือวิธีการหลบเลี่ยงตำรวจและผู้บังคับใช้กฎหมาย
ทว่าเมื่ออาชญากรย่ามใจ ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น ในวันที่ 12 มีนาคม 1986 วิลเลี่ยมและไมเคิล บุกชิงรถ แล้วกระหน่ำยิงเจ้าของยานพาหนะถึง 4 นัดด้วยกัน แต่เหยื่อกลับไม่สิ้นใจ แสร้งทำเป็นนอนเสียชีวิต ทำให้ทั้งคู่ไม่อุ้มร่างไปโยนทิ้งทะเลสาบ หรือลั่นไกซ้ำอีกรอบ แต่ปล่อยให้นอนตายกลางถนนแบบนั้น ก่อนหลบหนีไป
นั่นทำให้ผู้บาดเจ็บรอด ก่อนกระเสือกกระสนพาร่างสุดบอบช้ำ ไปแจ้งตำรวจ จนทำให้เอฟบีไอมีข้อมูลรถที่ถูกปล้นไป ถ้าเห็นตามท้องถนน สามารถจับกุมได้ทันที พร้อมหน้าตาของคนร้าย
และก็พบในที่สุด เพราะผู้ก่อเหตุไม่คิดจะเปลี่ยนป้ายทะเบียนด้วยซ้ำ พวกเขากำลังโดนจับในไม่ช้านี้
ทว่าสิ่งที่เบนและเพื่อนร่วมงานไม่เคยรู้เลยก็คือ ในเช้าที่บุกจับกุมนั้น พวกเขาไม่ได้เจอแค่อาชญากรธรรมดา แต่ต้องเจอนักรบที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีต่างหาก แถมอีกฝ่ายยังตกลงสัญญาใจกันไว้แล้วว่า หากถูกทางการไล่ล่า จะไม่มีวันยอมจำนนเด็ดขาด
ทั้งคู่จะยืนหยัดตามหลักการที่เรียนรู้จากอาชีพทหาร
นั่นก็คือ
ถ้าไม่ฆ่า ก็จะต้องถูกฆ่า
3.
อดีตนักรบพิเศษเรนเจอร์เปิดฉากยิงก่อน รัวกระสุนใส่รถเอฟบีไอทางซ้าย ทำเอารถเจ้าหน้าที่เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ท่ามกลางลูกตะกั่วที่ยิงต่อเนื่อง จนคนของสำนักงานสอบสวนกลางต้องดีดตัวเองจากยานพาหนะทันที
เจ้าหน้าที่ในวันนั้นเล่าว่า “ตอนผมลงจากรถไปทีแรก ยังพอคุมตัวเองได้อยู่ แต่เมื่อยิงไปเรื่อยๆ จนกระสุนหมด แล้วทุกอย่างไม่จบสิ้น ตอนนั้นแหละ ที่ผมเริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว”
ด้วยความเป็นแค่ปืนลูกโม่ พอเจอกระสุนรัวเป็นชุด จึงต้องหลบกันวุ่น แถมยังไม่อาจโผล่หัวหาช่องยิงได้ ทว่าระหว่างนั้นเบนและเจอรี่ กลับเหนี่ยวไกอย่างกล้าหาญ ไม่ยอมให้ทรชนทั้ง 2 หนีไปไหนได้
เอฟบีไอรายหนึ่งที่ร่วมจับกุมถูกยิงล้มลงไป ทำเอาคู่หูต้องเข้าไปช่วย หยิบปืนลูกซองออกมาสู้ พร้อมลากคนเจ็บไปไว้ที่ทางเท้า ห่างจากจุดเกิดเหตุ
เบนยิงโดนวิลเลี่ยมเข้าอย่างจัง จากนั้นกระสุนอีก 2 นัด ของเพื่อนสำนักงานสอบสวนกลาง พุ่งซัดเข้าหัวและคอของอดีตนาวิกโยธินที่ต้องสงสัยว่าฆ่าเมีย ทำเอาชายหนุ่มตายคาที่ทันที
เมื่อเพื่อนรักร่อแร่ ไมเคิลตะเกียกตะกายปีนหน้าต่างหนี เขาโดนกระสุนของเจอรี่ ซัดเข้าที่แขน หน้าอก มันทำลายปอดอย่างฉับพลัน
หากเป็นสถานการณ์ปกติ แพทย์จะต้องเตรียมผ่าตัดใหญ่แก่อดีตนักรบเรนเจอร์รายนี้อย่างแน่นอน แต่ในเวลานั้น เขากลับไม่คิดยอมจำนน และเลือกที่จะสู้ต่อ
เสี้ยววินาทีต่อมา การดวลปืนค่อยๆ บางเบาลงไป เป็นเพราะการฝึกสอนของเอฟบีไอ ที่เน้นว่าพวกเขายิงเพื่อหยุดคนร้าย ไม่ได้หวังเอาชีวิต แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายเหนี่ยวไก เพื่อหวังฆ่าเท่านั้น และเมื่อไมเคิลไม่ยอมหยุด มันจึงเกิดความเสียหายต่อผู้บังคับใช้กฎหมายทันที
เจอรี่ไม่ได้ลั่นไกต่อ ตามที่ถูกฝึกมา อดีตทหารจึงได้โอกาสพุ่งเข้าไปหลบที่บังโคลน รอจังหวะที่เจ้าหน้าที่ใส่กระสุนเข้าไปใหม่ เขารอคอยอย่างอดทนตามที่เคยฝึกมา เมื่อได้โอกาสจึงลั่นไกใส่เบนที่พยายามล้อมจับ กระสุนเข้าอก อดีตบาทหลวงที่เหลือเวลาทำงานในเส้นทางนี้แค่ 1 ปี จบชีวิตลงทันที
ไม่เพียงเท่านั้น เอฟบีไออีกรายโดนยิงที่คอ อาการสาหัส จากนั้นเจอรี่ก็มาถูกยิงที่หัว 2 นัด ตายเป็นศพที่ 2
เจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บ แต่ยังไม่ยอมจำนน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พวกเขารวบรวมความกล้าและเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิด ระดมยิงปืนลูกซองใส่ไมเคิล กระสุนนัดหนึ่ง ซัดเข้าเท้าของอดีตทหาร กระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววยอมแพ้ เขายังยิงปืนสวนมาอีก 5-6 นัด จนหมดรังเพลิง ก่อนจะขาดใจตาย
กำลังเสริมรีบมาทันที แต่ไม่ทันฉากการรบที่กินเวลาไม่กี่นาที พวกเขาพบร่างวิลเลี่ยมและไมเคิลนอนตายอย่างอนาถ ขณะเดียวกัน ก็พบเบนกับเจอรี่ที่เสียชีวิตจมกองเลือด ทางการรีบพาคนเจ็บ 5 รายส่งโรงพยาบาลทันที มีอยู่ราย อาการหนักถึงขนาดเป็นอัมพาตชั่วคราว
หลังจากแพทย์รักษานานหลายชั่วโมง ทุกคนจึงพ้นขีดอันตราย ท่ามกลางความเศร้าหลังรับรู้ข่าวร้ายของเพื่อนร่วมงานที่สละชีพในเหตุการณ์นี้
เมื่อข่าวนำเสนออกไป สังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเดือดดาล เพราะรับไม่ได้ที่รู้ความจริงว่า เอฟบีไอนั้นเข้าจับกุมโดยมีแค่ปืนพกกับลูกซอง สู้กับปืนกลของคนร้ายแบบนี้ เรียกได้ว่าต้องกล้าหาญมากๆ ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเลือกจะยืนหยัดสู้ต่อไม่ยอมแพ้ ทางคนเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาลจึงบอกเพียงว่า
“ถ้าเห็นเพื่อนถูกยิงขนาดนั้น รับรองเถอะ คุณจะมีแรงผลักดันให้สู้ต่ออย่างแน่นอน”
4.
หลังเกิดเหตุ เอฟบีไอสรุปบทเรียนทันที พวกเขาปรับอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่ แม้จะยังให้ใช้ปืนพก แต่ในรถจะต้องมีอาวุธหนัก ปืนไรเฟิล ปืนกึ่งออโตเมติก พร้อมต่อสู้กับคนร้ายได้ นอกจากนี้ยังออกกฎว่า ขณะจับกุมอาชญากร ไม่ว่าจะมีความผิดเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ต้องใส่เสื้อเกราะกันกระสุนอยู่เสมอ
โศกนาฏกรรมที่ไมอามี นำไปสู่การฝึกฝนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งประเทศ ปรับยุทธวิธี และตั้งหน่วยตอบโต้เร็ว เพื่อรับมือกับอาชญากรที่มีความสามารถสร้างความมหาประลัยแก่สังคมให้ทันท่วงทีกว่านี้
เอฟบีไอและตำรวจทั่วอเมริกา จะไม่มีวันยอมให้ อาชญากรมีปืนและอาวุธที่ดีกว่าอีกต่อไป เพื่อไม่ให้มีคนตายอย่างเบนและเจอรี่อีก
นี่คือหมุดหมายแห่งความเปลี่ยนแปลงทำให้เจ้าหน้าที่พร้อมสู้กับแก๊งวายร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หลังเหตุการณ์นี้ ทางการมีพิธีฝังศพ 2 วีรบุรุษอย่างสมเกียรติ น้องชายของอดีตบาทหลวง พูดออกมาด้วยความเสียใจว่า “พี่คือต้นแบบที่ดี สำหรับทุกคน ถ้าอยากเป็นอย่างเขา ก็ทำทุกสิ่งเหมือนที่พี่ผมทำ”
สำนักงานสอบสวนกลางยกย่องผู้เสียชีวิต ติดรูปชื่อไว้บนกำแพงแห่งเกียรติยศในที่ทำการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รุ่นหลังรับรู้ถึงความกล้าหาญและความเสียสละของเบนและเจอรี่
ในวันครบรอบโศกนาฏกรรมนี้ ทุกปีจะมีผู้รอดชีวิตและประชาชนวางดอกไม้หน้าหลุมศพของทั้งคู่ แม้จะผ่านมากว่า 39 ปี มันยังถูกจัดอย่างต่อเนื่อง มีการเปลี่ยนชื่อถนนเกิดเหตุ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์
อดีตเจ้าหน้าที่บอกกับนักข่าวว่า ทุกคนมีชีวิตรอดจนถึงวันนี้ได้ เพราะติดหนี้บุญคุณของเบนกับเจอรี่ทั้งสิ้น พวกเขาจึงสำนึกในการเสียสละของเพื่อนร่วมงานไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
“แต่หากผมสามารถเปลี่ยนอะไรได้สักอย่างในเหตุการณ์นี้ คงจะขอให้เรามีอาวุธหนักๆ ก่อนวันที่ 11 เมษายน 1986 แค่นั้นเอง”
“เพราะถ้าพวกเรามีปืน เหมือนพวกมัน การยิงสู้กัน คงจบลงใน 15 วินาทีแล้ว”
“และเราจะเป็นฝ่ายชนะ โดยไม่สูญเสียเบนกับเจอรี่อย่างแน่นอน”
อ้างอิงจาก