“..มันลุกเป็นไฟ มันไหม้เป็นจุล และมันกำลังตก กระแทกพื้น เลวร้ายมาก โอ มนุษยชาติ…”
1.
เฮอเบิร์ต มอริสัน (Herbert Morrison) วัย 31 ปีใช้ความพยายามอย่างสูง เพื่อโน้มน้าวใจหัวหน้าสถานีวิทยุช่องดับลิวแอลเอส (WLS) ซึ่งตั้งอยู่ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา เพราะหากผู้เป็นนายอนุญาต มันจะกลายเป็นความก้าวหน้าของการนำเสนอข่าวสารทางสื่อประเภทนี้ทันที
สิ่งที่นักข่าวหนุ่มต้องการ คือ การนำอุปกรณ์อัดเสียงรุ่นล่าสุดไปบันทึกบทสัมภาษณ์ของประชาชน ฟังบรรยากาศโดยรอบ ถ้าสามารถใส่เสียงผู้บรรยายไปด้วย จะถือเป็นการปฏิวัติการทำงานของสื่อวิทยุให้ได้รับความนิยมไม่แพ้หนังสือพิมพ์อย่างแน่นอน
ในปี 1937 นั้น ยังไม่มีสื่ออินเทอร์เน็ต ไม่มีสื่อโทรทัศน์ คนรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์เป็นส่วนมาก และว่างๆ ก็จะนั่งฟังสื่อวิทยุสักหน่อย
ทว่ามอริสันเล็งเห็นอนาคต และกำมันไว้ในมือ พลันหัวหน้าอนุมัติ เขาหอบอุปกรณ์บันทึกเสียงมุ่งหน้าเดินทางไปนิวเจอร์ซีย์ เพื่อทำข่าวการลงจอดของเรือเหาะขนาดใหญ่สุดในโลก ที่เดินทางจากเยอรมนีมายังอเมริกา ในวันที่ 6 พฤษภาคม 1937
หากงานนี้สำเร็จ มอริสันจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการทำงานของสื่อวิทยุในทันที และทุกอย่างขึ้นอยู่กับยานพาหนะลำนี้
ในงานวันนั้น มีประชาชนไปรอคอย มีนักหนังสือพิมพ์ไปตระเตรียมจองพื้นที่ ณ สนามบินของกองทัพเรือ เพื่อเขียนบรรยายการเดินทางของนวัตกรรมแห่งฟากฟ้า ช่างภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่ใช้กล้องฟิล์ม ต่างหามุม เพื่อจะได้ฉายให้คนเห็นในโรงภาพยนตร์
ไม่มีอะไรจะน่าสนใจเท่านี้อีกแล้ว
มอริสันและเพื่อนร่วมงาน ผู้ทำหน้าที่ดูแลอุปกรณ์บันทึกเสียง ในยุคที่ไม่มีใครรู้จัก วิศวกรเสียง (Sound engineer) เดินทางด้วยระยะทาง 1.3 พันกิโลเมตร จากชิคาโกไปยังนิวเจอร์ซีย์ เพื่อทำข่าวใหญ่
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่า ตัวเขาเองจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นี้ด้วย
เมื่อถึงวันดังกล่าว นักข่าวช่องวิทยุแดนไกล ซึ่งทำงานสายนี้มากว่า 7 ปี เริ่มต้นบรรยายอัดเสียงลงอุปกรณ์ใหม่เอี่ยม ท่ามกลางประชาชนและกองทัพสื่อที่หวังได้ยลเรือเหาะลำมหึมาที่กำลังเคลื่อนเข้ามา และใกล้จะลงจอดแล้ว
มอริสันพยายามควบคุมน้ำเสียงของเขาให้นิ่ง แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความตื่นเต้นได้ เพราะยานพาหนะที่แล่นมาอย่างแช่มช้า ช่างมโหฬาร เกินกว่าที่ใครในนั้นเคยเห็น คำว่ายิ่งใหญ่ ยังดูเป็นถ้อยคำดูแคลนสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ
ยาว 245 เมตร ขนาดที่ไม่มีเครื่องบินลำไหนในโลกเทียบเท่าได้ ผู้ประดิษฐ์เจ้าสิ่งนี้ คือชาวเยอรมัน ที่ตั้งชื่อเล่นตามรูปลักษณ์ของเรือเหาะลำนี้ว่า ‘ซิการ์บินได้’
ที่หาง มีธงสวัสดิกะของพรรคนาซีซึ่งครองอำนาจในเยอรมนี กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลเผด็จการส่งออกให้โลกได้ยลโฉมเทคโนโลยีนี้ สิ่งประดิษฐ์ที่เดินทางได้เร็วกว่าเรือ สะดวกสบายยิ่งนัก และหากพัฒนาหรือมีคนนิยมใช้กันมาก ก็จะเป็นที่แพร่หลายแซงหน้า ยานพาหนะอีกประเภทที่เรียกว่า เครื่องบิน อย่างแน่นอน
เรือเหาะลำที่กำลังจะลงจอด ณ แผ่นดินอเมริกา มีชื่อว่า ฮินเดนบวร์ก (Hindenburg) ซึ่งตั้งชื่อตามรัฐบุรุษที่รวมชาติเยอรมนีได้สำเร็จ
เวลา 19.21 น. เรือเหาะลำนี้มาถึงสนามบิน เชือกลงจอดถูกทิ้งลงมา เจ้าหน้าที่เข้าจับไว้ ตรึงกับพื้น เพื่อทำให้นิ่ง
มอริสันเฝ้ามอง พร้อมพูดใส่ไมโครโฟน เขากำลังจะทำให้ทั้งโลกเห็นถึงอานุภาพของสื่อวิทยุในอีกไม่นาน
เมื่อเรือเตรียมตัวจะจอด ทุกอย่างก็ชุลมุน เสียงร้องชื่นชมตื่นตะลึงในฮินเดนบวร์กดังขึ้น ระหว่างนั้นมอริสันบรรยายทุกอย่างแบบละเอียดลออที่สุด เท่าที่จะทำได้
พลันที่นาฬิกาแจ้งเวลา 19.25 น.
โศกนาฏกรรมแห่งศตวรรษ ก็เกิดขึ้น
2.
เรือเหาะฮินเดนบวร์ก เป็นอุตสาหกรรมล้ำค่าของบริษัทเยอรมัน เซพเพลิน กรุ๊ป (Zeppelin Group) เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ถือเป็นธุรกิจรุ่งเรือง ที่คนแห่ใช้บริการเดินทางไปต่างประเทศ
หลังเปิดทำการในปี 1936 ซิการ์บินได้ ออกเดินทางจากเยอรมนีไปอเมริกาและบราซิลหลายเที่ยว รวมระยะทางกว่า 3 แสนกิโลเมตร
แม้จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาบ่อย แต่ก็ถึงแค่เมืองนิวยอร์ก ด้วยแนวคิดที่จะสร้างความนิยมให้มากกว่านี้ ทางเซพเพลิน ต้องการขยายเส้นทางให้คนได้เห็น จึงเลือกจะลงที่สนามบินนิวเจอร์ซีย์ โดยมีสื่อและคนให้ความสนใจจำนวนมาก
เรือเหาะฮินเดนบวร์ก ถือเป็นรุ่นที่ล้ำสมัย และใหญ่โตสุด ภายในนั้นมีชั้นอาหาร โซนสูบบุหรี่ ห้องไว้นอน ผู้โดยสารสามารถมองลงจากกระจก เห็นผืนน้ำ และแผ่นดินเบื้องล่าง
ความนิยมเกิดจากความหรูหราที่เรือเหาะแห่งนี้ครบครัน ด้วยความที่อุตสาหกรรมเครื่องบินยังไม่ก้าวหน้า ยังไม่ค่อยมีใครทำเชิงพาณิชย์ สงวนไว้แต่ในกองทัพ เรือเหาะจึงเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจและดูน่าลงทุนยิ่งนัก
อีกสิ่งที่คนชอบคือ เดินทางได้เร็วกว่าเรือ ประมาณว่าหากจะเดินทางจากยุโรปมาอเมริกา ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จะต้องใช้เวลา 4 วัน แต่ถ้าเป็นฮินเดนบวร์ก กินเวลาแค่ 3 วันนิดๆ เท่านั้น เพราะมันทำความเร็ว 125 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ไว สะดวก แถมยังได้สัมผัสความหรูหรามีรสนิยมยิ่งกว่า
ใครเลยจะไม่หลงใหลยานพาหนะใหญ่โตอันนี้
แม้จะมีคนสงสัยความปลอดภัย เพราะก่อนหน้านี้ มีบริษัทเรือเหาะของอังกฤษเคยระเบิดเสียหายมาแล้ว แต่ทางเซพเพลินก็เปลี่ยนไปใช้ก๊าซฮีเลียมแทนก๊าซไฮโดรเจน เพราะมันไม่ติดไฟง่าย จึงปลอดภัยสูงกว่า
อย่างไรก็ดี ความนิยมในเรือเหาะ ทำให้กองทัพเรืออเมริกาเองก็ต้องการพัฒนายานพาหนะนี้ควบคู่ไปกับเครื่องบินด้วย จึงผูกขาดก๊าซฮีเลียม กระทั่งมีการออกคำสั่งในปี 1929 ห้ามส่งออกไปให้ใครทั้งสิ้น
สิ่งนี้กระทบกับซิการ์บินทันที เมื่อก๊าซฮีเลียมขาดแคลน จึงต้องหวนไปใช้ไฮโดรเจนแทน แม้จะอันตราย แต่วิศวกรที่ประดิษฐ์เรือเหาะเชื่อว่า พวกเขามีมาตรการดูแลความปลอดภัยที่เพียงพอ
แถม 1 ปีที่ลองใช้ ก็ไม่มีเหตุไฟลุกไหม้แต่อย่างใด
เกร็ดน่าสนใจคือ เดิมทีกลุ่มสมาชิกพรรคนาซีที่เป็นรัฐบาลเวลานั้น ต้องการให้เรือเหาะลำนี้ ชื่อว่า ฮิตเลอร์ ตามชื่อผู้นำของเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เพื่อจะประกาศให้โลกได้รู้จักเยอรมนีโฉมใหม่
ทว่าบุรุษที่จะก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ในอีกไม่กี่ปีต่อมา ปฏิเสธไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อ เพราะมีความกลัวเล็กๆ ว่า สมมุติเรือเหาะฮิตเลอร์เกิดตก จะเป็นลางร้ายแก่ตัวเขาเอง
พวกเขาจึงใช้นามของผู้ยิ่งใหญ่อีกคนของเยอรมนี ฮินเดนบวร์กแทน
3.
การเดินทางของเรือเหาะที่ใหญ่สุดในโลก ราบรื่น มีคนซื้อตั๋วเดินทางมาอเมริกาทั้งหมด 36 ราย ซึ่งน้อยกว่าความจุ 72 ที่นั่ง แต่นั่นเป็นเพราะเวลานั้นคนอยากไปเที่ยวยุโรปมากกว่า เนื่องจากกำลังจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในวันที่ 12 พฤษภาคม
ขามาจึงน้อย แต่ขากลับเต็มทุกที่นั่ง
ด้วยความที่เรือเหาะใหญ่และมีห้องบริการมากมาย ทำให้ต้องใช้ลูกเรือ 61 คน โดยมีถึง 21 รายเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดมาดูงาน เพื่อเตรียมรองรับการขยายตัวของธุรกิจนี้ภายภาคหน้า
นั่นทำให้ฮินเดนบวร์ก บรรจุคนทั้งหมด 97 รายมายังสนามบินของนิว เจอร์ซีย์
แม้จะต้องล่าช้าไปเพราะสภาพอากาศ แต่กัปตันก็สามารถนำเครื่องมาถึงที่นัดหมายได้ ทุกคนจับจ้อง กล้องบันทึกภาพ นักข่าวเขียนข้อความ
ระหว่างนั้นมอริสันบันทึกทุกอย่าง เจ้าอุปกรณ์ล้ำยุคเก็บเสียงเครื่องยนต์ของฮินเดนบวร์กชัดเจนพร้อมกับเสียงฮือฮาของมวลชนโดยรอบ นักข่าววิทยุหนุ่มวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว หากเรือเหาะจอดเรียบร้อย เขาจะจู่โจมสัมภาษณ์ผู้โดยสารที่ลงมาในทันที
ไม่มีใครรู้เลยว่า จังหวะที่ฮินเดนบวร์กกำลังจะจอด ก๊าซไฮโดรเจนของเครื่องจะรั่วไหล แล้วทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว เปลวไฟลุกออกมา แล้วลามไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของประชาชน นักข่าว รวมถึงมอริสันด้วย
หายนะครั้งนี้กินเวลา เพียงแค่ 34 วินาทีเท่านั้น
เสียงของนักข่าววิทยุหนุ่ม ถูกบันทึกไว้ และกลายเป็นถ้อยคำประวัติศาสตร์ “มอเตอร์ด้านหลังของเรือกำลังถูกยึดไว้ เพื่อกันไม่ให้มัน…” นักข่าวหนุ่มบรรยายรายละเอียดตรงหน้า แต่เมื่อเห็นเพลิงไหม้ฮินเดนบวร์ก เขาก็ตกใจแล้วพูดออกมาว่า
“..มันลุกเป็นไฟ มันไหม้เป็นจุล และมันกำลังตก กระแทกพื้น เลวร้ายมาก โอ มนุษยชาติ…”
น้ำเสียงของมอริสันสั่นเครือ พูดอะไรไม่ถูก แต่สักพักเขาเริ่มคุมสติได้ ก่อนค่อยๆ เล่าถึงโศกนาฏกรรมนี้พร้อมกับได้ยินเสียงไฟกำลังทำลายโครงสร้างของเรือเหาะลำนี้
“ผู้โดยสารทุกคน…ไม่อยากจะเชื่อเลย”
จากที่จะได้ทำข่าวการลงจอดของฮินเดนบวร์ก แต่สื่อที่อยู่ในสนามบิน ณ เวลานั้น ได้เห็นเปลวเพลิงมหึมา กลืนกินเรือเหาะในฉับพลัน ทั้งที่อยู่ห่างจากพื้นเพียงแค่ 60 เมตรเท่านั้น
เพลิงโหมทำลายซิการ์บินได้ลำนี้ทั้งหมด สิ่งที่คนเห็น นอกจากฮินเดนบวร์กกำลังร่วงตกใส่ผืนดินแล้ว เขายังเห็นคนในนั้น โดดหนีตายจากควันไฟกระแทกพื้นในสภาพดิ้นรนตะเกียกตะกาย
“แม่โยนผมลงมา แต่โยนพี่ไม่ทัน ส่วนพ่อก่อนหน้านั้น หยิบกล้องไปถ่ายอะไร แล้วเราไม่เคยเห็นเขาอีกเลย” หนึ่งในผู้โดยสารเล่า
มอริสันรัวน้ำเสียง “มันกำลังจะตก มันร่วงลงมาแล้ว”
นักข่าววิทยุวัย 31 ปี เห็นคนวิ่งออกจากซากยานพาหนะที่(เคย)ยิ่งใหญ่สุดในโลก ในสภาพไฟไหม้ทั้งตัว เสื้อผ้าโดนเผาแนบกับเนื้อ นอกจากเสียงกรีดร้องของคนทั้งสนามบิน ยังมีเสียงผู้โดยสารร้องขอชีวิตแบบเจ็บปวด
เจ้าหน้าที่สนามบินรีบตรงเข้าดับเพลิง เพราะก๊าซไฮโดรเจนซึ่งไวไฟอย่างมาก กินเวลาไม่ถึงนาที ทุกอย่างจึงจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
36 ชีวิตดับสลด บางคนโดนไฟคลอกเป็นแผลฉกรรจ์ ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
มอริสันทั้งทำข่าวและวิ่งไปช่วยคนบนเรือเหาะ กินเวลาหลายชั่วโมง ขณะทีมกู้ภัยคุ้ยหาผู้รอดชีวิต จากซากไหม้ดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่พรรคนาซีซึ่งเห็นเหตุการณ์ พยายามจะบล็อกไม่ให้สื่ออเมริกานำเสนอข่าวร้ายนี้
ทีมงานสถานีวิทยุชิคาโก เห็นการเข้าตรวจค้นจากพวกเยอรมัน ก็ตัดสินใจครั้งสำคัญ นี่คือเหตุใหญ่ ไม่มีทางให้พวกต่างชาติมาขัดขวางการเผยแพร่ข้อมูลเด็ดขาด
มอริสันและเพื่อนร่วมงานรีบวิ่งออกจากสนามบิน ไม่ทันที่พวกนาซีจะถึงตัว ก่อนจองตั๋วเครื่องบิน เดินทางกลับชิคาโก เมื่อเอาสิ่งที่บันทึกได้ไปให้กับหัวหน้า ฟังจนจบ ก็อนุมัติให้ออกอากาศทันที
เที่ยงวันต่อมา เสียงที่ชายหนุ่มพูดออกมาก็กระจายไปทั่วทั้งเมือง และถูกแพร่ต่อไปยังสถานีวิทยุระดับชาติ คราวนี้คนทั้งโลกได้ยินเสียงมอริสัน รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมนี้อย่างเจ็บปวด
ถ้อยคำที่มอริสันพูดว่า มนุษยชาติ กลายเป็นคำสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
คำบรรยายของเขากลายเป็นสิ่งล้ำค่า เพราะนอกจากสังคมจะได้รับรู้ความเลวร้ายแล้ว มวลชนยังชื่นชมการทำงานของมอริสันที่ให้ข้อมูลทุกอย่างครบถ้วน เข้าถึงอารมณ์และหัวใจของผู้ฟังอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ภาพนิ่งที่เห็นไฟลุกโชนเผาผลาญฮินเดนบวร์ก กลายเป็นหายนะของบริษัทเซพเพลินทันที ยิ่งมาเจอฟิล์มภาพเคลื่อนไหวที่ฉายในโรงภาพยนตร์ แล้วมีคนนำเสียงมอริสันไปพากย์ทับ ยิ่งสร้างความหวาดผวาในสังคม จนแห่ทิ้งตั๋วไม่อยากเดินทางกับเรือเหาะลำนี้อีกต่อไปแล้ว
ข่าวร้ายจากอเมริกา ส่งตรงถึงเบอร์ลิน ฮิตเลอร์ถึงกับช็อกนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ ทางการเยอรมนีรีบปัดทฤษฎีก่อการร้าย แม้จะมีข่าวร่ำลือว่าผู้โดยสารรายหนึ่งอาจจุดไฟเพื่อทำให้เกิดหายนะนี้ แต่ไม่มีใครเชื่อ
“พวกนาซีไม่ต้องการให้สังคมเชื่อว่า มีคนตั้งใจก่อเหตุกับฮินเดนบวร์ก เพราะอยากสร้างภาพว่า ทุกคนรักฮิตเลอร์ ไม่มีใครอยากทำลายภาพลักษณ์ของเยอรมนี”
แม้ต่อมา จะมีการสอบสวน ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือเหาะลำนี้ คือก๊าซไฮโดรเจนรั่วจนลุกไหม้ ไม่ใช่การวางเพลิงหรือก่ออาชญากรรมจากใครทั้งสิ้น
แต่โศกนาฏกรรมดังกล่าว ทำให้ธุรกิจเรือเหาะทั้งโลก เจ๊งในพริบตา ไม่มีใครอยากขึ้นมันอีก จนเซพเพลินประกาศล้มละลาย และนวัตกรรมซิการ์บินได้ ก็แพ้ราบคาบ ให้กับยานพาหนะที่ชื่อว่า เครื่องบินในทันที
ผ่านไปเกือบร้อยปี ไม่มีใครขุดเอาสิ่งประดิษฐ์นี้มาเสนอเป็นทางเลือกของการเดินทางบนฟากฟ้าอีกต่อไป
“บทอวสานของเรือเหาะจบสิ้นลง จากเหตุการณ์ในวันที่ 6 พฤษภาคม 1937”
4.
เสียงของมอริสันที่ปรากฏออกไป ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงได้รับรางวัลในความกล้าหาญจากการทำข่าว หลายครั้งเดินตามท้องถนน จะมีคนทักทาย และชื่นชมในการทำงาน
“พอถึงวันครบรอบเมื่อไหร่ จะมีคนโทร.หาผม ทั้งกลางวันและกลางคืนเต็มไปหมด”
เขามีส่วนในการสร้างภาพยนตร์จากเหตุการณ์ดังกล่าว และบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้โลกตระหนักถึงมหันตภัยนี้ เพื่อจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยขึ้นอีก
นี่คืออีกหน้าที่หนึ่งของนักข่าว
หลังเรือเหาะตก ไม่กี่ปีสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น เครื่องบินกลายเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างความตื่นตาไปทั่ว จนเมื่อโลกสงบสุข ก็นำมาใช้บินเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น จนพัฒนาเป็นยานพาหนะหลักที่ครองน่านฟ้าจนถึงปัจจุบัน
มอริสันไปเป็นทหารช่วยอเมริกาเอาชนะนาซี ก่อนกลับไปทำงานวิทยุ จนได้เป็นหัวหน้าสถานี และได้ทำงานกับสื่อใหม่ในเวลานั้น อย่างโทรทัศน์ด้วย และตลอดชีวิตก็เลือกอาชีพนี้ คือเป็นนักข่าวจวบจนเกษียณอายุ
เกียรติยศที่เจ้าตัวได้รับ คือการยกย่อง ชื่นชม แม้จะเสียชีวิตไปในวันที่ 11 มกราคม 1989 อายุรวม 83 ปี แต่เสียงของเขา ยังคงเป็นอมตะ ที่ทุกคนสามารถหาฟังได้ จนถึงปัจจุบัน
นักข่าวรุ่นใหม่เคยถามตำนานรายนี้ก่อนเสียชีวิตว่า มีข่าวไหนที่เลวร้ายยิ่งกว่าโศกนาฏกรรมนี้หรือไม่
ชายชราตอบทันทีว่า “ตลอด 55 ปีที่ทำงานมา ไม่มีอะไรจะกดดันเท่ากับตอนเรือเหาะไฟลุกไหม้ หล่นกระแทกพื้นอีกแล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับฮินเดนบวร์ก คือข่าวใหญ่ที่สุดในชีวิตผม”
อ้างอิงจาก