“I H E A R Too!!!” ดังกึกก้องไปทั่วถนนตามขบวนชุมนุม แทรกจังหวะไปด้วยคำว่า “อีหน้ากี!!!” “ประยุทธหัวรวย!!!” ท่ามกลางเสียงเงียบที่ประกาศออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ชูป้ายกระจัดกระจายตามชุมนุม “ฉันเกิดในรูศรี” “เผด็จการจงพินาศ องคชาติจงเจริญ” “ผมชอบเลียศรีมันยังดีกว่าพวกเลียนาย” “O เดียวที่ฉันรักคือ ORAL SEX” “ฉันมีองค์เดียวที่รักคือองคชาติ” หรือการออกมาบอกว่าใครติดกีบ้ากามบ้าง
การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้จึงมีเสียงหลากหลาย ระคายหูขัดใจขัดตากันเองหรือคนนอกบ้าง แต่พวกเขาและเธอก็ถือว่ากล้ามากเก่งมากที่ออกมาสื่อสารเรื่องเพศ รสนิยมทางเพศส่วนตัวในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา และเล่นกับสำนวนภาษามาใช้ เพื่อเคลื่อนไหววัฒนธรรมประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพทางเพศ นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองระดับภาครัฐ
หลายครั้งจึงดูเหมือนการใช้คำหยาบคายแล้วเอาเรื่องเพศเรื่องส่วนตัวขุดมาโจมตี กลายเป็นสิ่งไม่ PC และใช้ความรุนแรง แต่คำหยาบจะเทียบได้กับความรุนแรงตรงข้ามกันสันติวิธีเลยก็เปรียบกันแบบผิดฝาผิดตัวไปหน่อย เพราะอันที่จริงความรุนแรงและสันติวิธีก็เป็นทางออกในแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งที่ต่างกัน (ซึ่งมันเป็นเรื่องปรกติที่จะต้องขัดแย้งกัน และเกิดขึ้นได้ปรกติ) แต่ความรุนแรงกับสันติวิธีก็ไม่ใช่คู่ตรงข้ามกัน เช่นเดียวกับกับความขัดแย้งกับการปรองดอง
“I H E A R Too!!!” และคำสบถอื่น ๆ จึงถูกกู่ร้องออกมา ระบายความโกรธแค้นเจ็บปวดต่อความเพิกเฉยต่อคุณภาพชีวิตสิทธิของประชาชน ความอยุติธรรมการเอารัดเอาเปรียบ และการที่ต้องเผชิญความรุนแรง ยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีขู่อาฆาตมาดร้ายผู้ชุมนุมว่าท้าทายพญามัจจุราช ไม่สนสี่สนแปดข้อเรียกร้องประชาชน ตำรวจปิดล้อมผู้ชุมนุมแล้วฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ตุลา เสียงด่าทอก็ยิ่งทวีดังมากขึ้น
เหมือนอย่างที่บอกในบทความที่ผ่านมาว่าทำไมเวลาผู้หญิงและเฟมินิสต์บางคน ออกมาโจมตีต่อต้านปิตาธิปไตยและอำนาจผู้ชาย พวกเธอบางกลุ่มถึงเลือกที่จะด่า ‘ความเป็นชาย’ อย่างหยาบคายและเกรี้ยวกราด
เพราะนั่นคือเสียงตะเบ็งแผดร้องของผู้ที่ดูออกถึงความเหลื่อมล้ำ
ถูกขูดรีดกดขี่ถูกทำร้าย แล้วต้องการปลดแอก
แล้วการเคลื่อนไหวที่ยังต้องสู้ไปกราบไป พินอบพิเทา สุนทรียสนทนา อย่างที่ชนชั้นผู้กดขี่อยากได้ยินได้ยลก็เป็นการกดขี่ตนเองซ้อนเข้าไปอีกมากกว่าการปลดแอก
หลายคนจึงก่นด่าว่าม็อบกักขฬะกเฬวรากไม่มีสมบัติผู้ดี ซึ่ง “ความเป็นผู้ดี” ก็เป็นอีกการจัดลำดับรักษาช่วงชั้นทางสังคม เช่นหนังสือ ‘สมบัติผู้ดี’[1] ที่เป็นตำราหลักปฏิบัติในการเป็นผู้ดีในการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ทำร้ายสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่กันและมารยาทในการเข้าสังคมสโมสรสมัยใหม่ แต่นั่นก็เป็นคู่มือสำหรับกลุ่มชั้นนำ ขุนนางอำมาตย์ระบอบราชาธิปไตยและการรักษาสถานภาพทางสังคมความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้ดำรงอยู่ ไม่ให้ผู้น้อยอาจเอื้อมข้ามกรายผู้ใหญ่ผู้สูง เป็นตำราแยกประเภทชาวบ้านกับผู้ดีอีกที เพราะผู้ที่จะเข้าถึงการเรียนรู้มารยาทเข้าสังคมได้ ก็ไม่ใช่ชนชั้นชาวบ้านตาดำๆ
และ ‘ผู้ดี’ ก็ถูกใช้เป็นคู่ตรงข้ามกับคำว่า ‘ขี้ครอก’ ที่หมายถึงคนชั้นต่ำ คนเลว ไร้วัฒนธรรมไร้การศึกษา ที่เดิมหมายถึงคนที่เกิดจากพ่อและแม่ที่เป็นทาสในระบบชนชั้นที่ยังมีไพร่ทาส
ดังนั้นจึงไม่เพียงมีเหี้ยห่าสารพัดสัตว์ที่ถูกนำเสนอออกมาในฐานะความหยาบโลนหยาบคาย แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กีๆ จวยๆ และเซ็กซ์ก็ถูกนำเสนอเช่นกัน ในโลกที่เข้าใจโดยดุษณีว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องอุลามกอุจาดหยาบคาย เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติและเรื่องส่วนตัวที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรม และก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การพูดในวงสังคมหรือนำมาเปิดเผยในที่สาธารณะ อย่างที่ตำราสมบัติผู้ดีขัดเกลาสั่งสอนว่าไม่ให้พูดทะลึ่งตึงตังพูดจาส่อเสียด และสงวนอากัปกิริยาเพื่อความสุภาพสง่างาม ทั้งนี้ก็เพื่อทลายช่วงชั้นระดับการแบ่งผู้ใหญ่ผู้น้อยของโครงสร้างปีระมิด แล้วดึงคนที่ถูกประดิษฐานไว้ยอดปีรมิด มีอำนาจบารมีสูงส่งจนอาจเอื้อมไม่ได้ในโครงสร้างทางสังคมอันเหลื่อมล้ำต่ำสูง ให้ลงมาอยู่ในระนาบเดียวกัน เป็นมนุษย์มีกิจวัตรประจำวันคล้ายๆ กันกันกับคนที่ประกาศว่า “O เดียวที่ฉันรักคือ ORAL SEX” หรือ“ฉันเกิดในรูศรี”
การตะโกนจู๋จิ๋มกีกรวยและการหยิบเรื่องเพศที่เป็นเรื่องส่วนตัวและธรรมชาติมาส่งเสียงดัง มันจึงระคายหูและหยาบคายมากๆ สำหรับผู้ที่ยึดมั่นในโครงสร้างสังคมที่มีชนชั้น เชื่อว่ามีคนบางคนสามารถศักดิ์สิทธิ์มีบารมีเหนือคนอื่นได้ สมมติบางคนให้เสมือนเทวดา เหนือกว่าผู้อื่น และสามารถอิ่มทิพย์ได้โดยไม่ต้องเสพอะไร
เพราะในตัวของมันแล้ว อวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์ไม่ได้หยาบต่ำหรือผิดอะไร ทุกคนรู้แฟนคลับรู้ว่า ชอบมีเซ็กซ์ไม่ผิด ชอบโดนเอาบ่อยๆ ไม่ผิด ติดกีไม่ผิด บ้ากามก็ไม่ผิด ใครจะมีใบหน้าหรือศีรษะเหมือนอวัยวะเพศก็ไม่ผิด และก็รู้ด้วยว่า อวัยวะเพศ ความกระสันต์กระหายทางเพศ ตัวเหี้ย น้องหมา แต่ละคำเรียกมีสัญญะที่มากกว่าหนึ่ง เข้าใจและใช้กันทั่วไปบ่อยครั้งจนมันไม่ได้ซับซ้อนที่จะตีความ เหี้ยเป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญในระบบนิเวศ เป็นสัตว์ที่น่าเอ็นดูอย่างห่างๆ แต่ในอีกบริบทก็ถูกใช้ในฐานะตัวต่ำตมจัญไรอัปรีย์น่ารังเกียจ หมาเป็นสัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว นับญาติเทียมกันได้ให้เป็น ‘น้อง’ เป็น ‘ลูก’ เป็นสัตว์แรกๆ ที่คนจะนึกออก เมื่อต้องการด่าใครว่าไม่ใช่คำ หมาจึงเข้ามาทดแทนคำว่า ‘อีสัตว์’ ได้ง่ายกว่า หลายคนรักหมา แต่ก็สามารถด่าว่า ‘อีชาติหมา’ ได้เหมือนกัน เพราะนั่นคำมันมีหลายสัญญะและแต่บริบทการใช้
และมันก็แทบจะเป็นวัฒนธรรมสากลที่มักหยิบยกอวัยวะเพศ การอึ๊บ ปี้ ยิ้ม มาเป็นคำด่าเหมือนกับการควักนิ้วกลางขึ้นมาชู โชว์นมโชว์ตูดใส่ผู้มีอำนาจเพื่อแสดงสัญญะลดทอนอำนาจผู้นั้น โดยเฉพาะผู้ที่ทำโดยใช้ภาษีประชาชน จนเรื่องส่วนตัวจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่สัมพันธ์กับประชาชนความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมากด้วยเช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] Jory, Patrick. (2015). “Thailand’s Politics of Politeness: Qualities of a Gentleman and the Making of ‘Thai Manners’.” South East Asia Research, 23(3), 357–375.