วิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ส่งผลให้คำว่า ‘Social Distancing’ หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม ติดหูและติดปากคนทั้งโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หลายคนยืนยันว่าวิธีนี้จำเป็นต่อการรับมือกับโรคระบาด เพราะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ อีกทั้งยังกดให้เส้นกราฟอัตราการติดเชื้อแบนราบลง ช่วยแบ่งเบาภาระของระบบสาธารณสุข แต่หลายคนรวมทั้งองค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่า คำคำนี้อาจทำให้คนเข้าใจผิด คำว่า ‘physical distancing’ หรือ ‘เว้นระยะห่างทางร่างกาย’ น่าจะตรงกว่า เพราะเราอยากให้คนอยู่ห่างกันทางกาย (อย่างน้อยสองเมตร) อย่างเดียว แต่ไม่อยากให้อยู่ห่างทางสังคมจากคนในครอบครัวและคนที่เรารัก
นักระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลกอธิบายว่า “วันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้ามากเสียจนเราสามารถรักษาความสัมพันธ์กันได้โดยไม่ต้องอยู่ในห้องเดียวกัน หรืออยู่ในพื้นที่เดียวกันกับคนอื่นๆ …เราเปลี่ยนไปใช้คำว่า ‘ระยะห่างทางกาย’ ด้วยความตั้งใจ เพราะเราอยากให้คนรักษาความสัมพันธ์กัน”
นักสังคมวิทยาและจิตแพทย์หลายคนออกมาเตือนว่า การรักษาระยะห่างทางกายนั้นจำเป็นสำหรับการคุ้มครองสุขภาพกายก็จริง แต่ถ้าการรักษาระยะห่างทางกายนำไปสู่การปลีกวิเวกทางสังคม (social isolation) มันก็จะไม่ดีต่อสุขภาพจิตแต่อย่างใด เพราะมนุษย์เป็น ‘สัตว์สังคม’ ที่โหยหาสายสัมพันธ์กับคนอื่น การไม่พบเจอหน้า ไม่พูดคุยกับใครเลยสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เราจิตตกและหดหู่ รู้สึกว่าเรากำลังเผชิญกับความเสี่ยงของโรคใหม่ที่น่ากลัวแต่เพียงลำพัง
ไม่น่าแปลกใจที่ในช่วง Social Distancing เราจะได้เห็นภาพคนออกมายืนร้องเพลงร่วมกันจากระเบียง พร้อมใจกันตบมือให้กำลังใจแพทย์และพยาบาล และการใช้แอพพลิเคชั่นที่ให้คนคุยกันออนไลน์อย่าง Zoom หรือ Google Hangout ก็พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่เพื่อการจัดประชุมออนไลน์หรือเรียนหนังสือออนไลน์อย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการคุยเล่นและสังสรรค์กันด้วย
ความพยายามที่จะรักษาสัมพันธ์ในวิกฤต COVID-19 ทำให้ผู้เขียนนึกถึง Mutazione เกมน่ารักที่น่าจะสะกิดใจใครต่อใครหลายคน และชวนให้เราคิดถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างลึกซึ้งและกินใจ
เกมเอาใจสายชิลล์จาก Die Gute Frabrik สตูดิโออินดี้จากเดนมาร์กเกมนี้เป็นเกมผจญภัยกราฟิกน่ารักสองมิติ เราเล่นเป็น ไค (Kai) สายวัยรุ่นขี้อายที่เดินทางไปเยี่ยมปู่ที่ขาดการติดต่อมาหลายปีแต่วันนี้ส่งจดหมายมาบอกแม่ของเธอว่าเขาป่วยหนัก ปู่เป็นชาวเกาะ ‘มิวตาซิโอน’ ตามชื่อเกม ชื่อนี้มาจากภาษาอิตาลีของคำภาษาอังกฤษว่า Mutation ซึ่งแปลว่า ‘การกลายพันธุ์’ และเกาะนี้ก็ได้ชื่อนั้นเพราะอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ตกลงมาโหม่งเกาะเมื่อหลายทศวรรษก่อนทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืชบริเวณนั้นกลายพันธุ์ หลายชนิดกลายเป็นมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แต่บางตัวก็น่ารักน่าชัง
ชาวเกาะที่กลายพันธุ์กลายเป็นที่รังเกียจของเพื่อนร่วมชาติบนแผ่นดินใหญ่ แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี ชาวมิวตาซิโอนผนึกกำลังกัน ฟื้นฟูชีวิตขึ้นมาใหม่จากซากปรักหักพังของเมือง หาทางทำกินและอยู่อย่างพอเพียงให้ได้มากที่สุดเพื่อได้ไม่ต้อง พึ่งพาแผ่นดินใหญ่ คนทั้งเกาะสนิทสนมกลมเกลียวกันจนกลายเป็นครอบครัวใหญ่ เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดบนเกาะเติบโตมากับพ่อแม่หลายคู่ เพราะผู้ใหญ่ประคบประหงมดูแลประหนึ่งเป็นลูกในไส้ของตัวเอง
ไม่นานเราจะได้เรียนรู้ว่าปู่ของเราเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวเกาะมิวตาซิโอนในฐานะ ‘หมอผี’ และ ‘ชาวสวน’ ประจำเกาะ ปู่ปลูกพืชสมุนไพร (กลายพันธุ์) น่าอัศจรรย์นานาชนิดที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ดอกไม้และต้นไม้นานาชนิดที่ไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยัง ‘ร้องเพลง’ ให้เราฟังได้ และเราก็สามารถร้องเพลงกระตุ้นการเติบโตของพืชในสวน
ในเมื่อปู่เจ็บหนัก ลุกจากเตียงแทบไม่ได้ สวนต่างๆ รอบเกาะที่ปู่เคยดูแลจึงเหี่ยวเฉา ‘พันธกิจ’ หลักของเราในเกมนี้ก็คือการทำตัวเป็นผู้ช่วยของปู่ ฟื้นฟูสวนต่างๆ รอบเกาะให้กลับมางอกงามดังเดิม ระหว่างทางเราจะสามารถสะสมเมล็ดพันธุ์จากสองข้างทางและจากชาวเกาะ ถ้าพืชในสวนหยั่งรากแล้วก็สามารถเก็บเมล็ดไปเพาะที่อื่นได้
สวนแต่ละสวนมีดินไม่เหมือนกัน พืชที่เจริญเติบโตในสวนหนึ่งอาจไม่เหมาะกับดินในสวนอื่น เราต้องคอยดูแลให้แต่ละแปลงในสวนมีที่เหลือพอให้พืชได้โตเต็มที่ เพราะพืชแต่ละชนิดมีขนาดเต็มวัยไม่เท่ากัน
เวลาของเราในเกมนี้ส่วนใหญ่จะหมดไปกับการเดินทอดน่องไปรอบเกาะ เสาะหาเมล็ดพืช ทำสวน และพูดคุยกับชาวเกาะ ซึ่งแต่ละคนก็มีบุคลิกและเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์น่าค้นหา แม้ว่าจะกลายพันธุ์ไปแล้วก็ยังมี ‘ความเป็นมนุษย์’ อยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะความเป็นสัตว์สังคมที่โหยหาสายสัมพันธ์ระหว่างกัน เนื้อเรื่องทั้งเกมแบ่งออกเป็นหลายบท หนึ่งบทเท่ากับหนึ่งวัน แต่ละวันหั่นซอยออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่เช้า กลางวัน บ่าย ค่ำ กลางคืน และกลางดึก ส่วนใหญ่เราต้องคุยกับตัวละครเพื่อขยับนาฬิกาในเกมไปข้างหน้า
ซึ่งเราจะไม่มีวันงงเพราะ ‘สมุดบันทึก’ ในเกมระบุเป้าหมายต่อไปที่ต้องทำ แถมเกมจะขึ้นรูปนาฬิกาก่อนคุยให้เห็นชัดว่าบทสนทนานี้จะขยับเส้นเวลาในเกม ทำให้เราเลือกได้เสมอว่าจะขยับเวลาเมื่อไร จะเดินชิล คุยเรื่อยเปื่อยกับตัวละคร ทำสวนและฟังเพลงเพราะๆ ของดอกไม้ในสวนนานเท่าไรก็ได้ เพราะเกมนี้ไม่มีเส้นตายหรือความเร่งด่วนใดๆ มาบังคับ ตัวละครแต่ละคนจะทำธุระปะปังของตัวเองในแต่ละช่วงเวลา ความสนุกส่วนหนึ่งจึงอยู่ที่การเดินหาเพื่อนคุย บางจังหวะอาจทำให้เราได้เสียน้ำตา
เมื่อเราได้ปะติดปะต่อประสบการณ์ของผู้คนเข้าด้วยกัน
เสน่ห์ของ Mutazione ส่วนหนึ่งจึงอยู่ในการให้เวลากับสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องทำ แต่อยากทำเพราะอยากรู้จักชาวเกาะแต่ละคนให้มากขึ้น อยากช่วยแบ่งเบาความหนักใจ หรือภาระของพวกเขา ซึ่งความช่วยเหลือของเราส่วนหนึ่งก็คือการไปฟื้นฟูสวนของชาวเกาะให้กลับมาสวยงาม แถมยังไพเราะเสนาะหู ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ต้นไม้และดอกไม้ในเกมนี้ร้องเพลงให้เราฟัง
บทสนทนาทางเลือกเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น มองเห็น ‘ความเป็นมนุษย์’ ของพวกเขา และเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเขาคนนี้พูดอย่างนั้น ทำไมเธอคนนี้ถึงไม่เคยเผยความในใจให้ใครฟัง เรื่องราวของปู่สุดที่รักผู้ป่วยหนักเป็นเส้นเรื่องหลักของเกม แต่ชาวเกาะคนอื่นๆ ทุกคนล้วนมีเรื่องราวส่วนตัว มีความทุกข์ หรือวิกฤตส่วนตัวที่ต้องเผชิญ และความเป็นชุมชนแนบแน่นที่ทุกคนสนิทสนมกลมเกลียวกันก็หมายความว่า เรื่องราวของปัจเจกแต่ละคนหนีไม่พ้นที่จะผสมปนเปเข้าด้วยกัน ยิ่งเราลงแรงพูดคุยกับคนมากเท่าไร เรายิ่งเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาและ ‘อิน’ กับเส้นเรื่องหลักมากเท่านั้น
ตอนแรกเราจะคิดว่าการทำสวนเป็นเพียงส่วนประกอบเพลินๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องของเกม แต่สุดท้ายเราก็จะได้ค้นพบความลับของการทำสวนบนเกาะนี้ ความลับของจิตวิญญาณ ธรรมชาติ และบทบาทของ ‘หมอผีควบคนสวน’ ที่ไม่เพียงแต่รักษาความป่วยไข้ทางกาย (ด้วยหมวก ‘หมอผี’) แต่ยังช่วยเยียวยาความป่วยไข้ทางใจ (ผ่านหมวก ‘คนสวน’) ด้วย และเมื่อนั้นเราจะถึงบางอ้อว่า การทำสวนในเกาะ Mutazione นับเป็นอุปลักษณ์อันแยบยลของ ‘ชีวิต’ ของคนบนเกาะ
ก่อนที่เราจะเดินทางมาเยือนเกาะนี้ สวนต่างๆ บนเกาะถูกทอดทิ้งไร้คนเหลียวแลเพราะปู่ป่วยหนัก สวนบางสวนทรุดโทรมจนดูไม่ออกว่าตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวนมาก่อน สภาพของชาวเกาะก็ไม่ต่างกัน มองจากภายนอกพวกเขาดูเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ปกติที่สรวลเสเฮฮา (จัดงานปิ้งย่างกลางแจ้งยามดึกเพื่อต้อนรับเราอย่างอบอุ่นด้วยซ้ำ) แต่ลึกๆ แล้วเขาและเธอแต่ละคนล้วนมี ‘ปม’ หรือปัญหาหนักอกที่ไม่อยากหันหน้ามารับมือ และปมเหล่านี้ก็บั่นทอนชุมชนให้อ่อนแอลงอย่างเชื่องช้า แต่ทว่ามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
ชาวเกาะเริ่มฟื้นฟูชีวิตของตัวเองและของเกาะได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อพวกเขาตัดสินใจเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลายครั้งนั่นหมายถึงเผชิญหน้ากับคนอื่นที่ไม่เคยเปิดอกคุยเพราะกลัวว่าจะผิดใจกันตลอดกาล และพวกเขาก็ลุกขึ้นสู้ชีวิตได้ส่วนหนึ่งเพราะได้แรงบันดาลใจจากการทำสวนของเรา หรือจากการพูดคุยกับเรา ไม่น่าแปลกใจที่สวนของชาวเกาะแต่ละคนกลับมางอกงาม เมื่อปมปัญหาในชีวิตเริ่มคลี่คลาย
ต้นไม้และดอกไม้แต่ละชนิดในเกมนี้ขับร้องตัวโน้ตคนละตัว ความหลากหลายของพันธุ์พืชในสวนเท่านั้นที่จะทำให้ตัวโน้ตทั้งหมดสอดรับกันเป็นบทเพลง และสวนแต่ละสวนในเกมก็มี ‘ธีม’ ต่างกัน ทำให้แนวเพลงที่เกิดขึ้นจากต้นไม้และดอกไม้แตกต่างกันตามไปด้วย
ไม่ต่างจากความหลากหลายของชาวเกาะ
ใน Mutazione และผู้คนในสังคมจริง
Mutazione เป็นเกมชิลที่เพลินตา เพลินใจ และเพลินหู ทั้งเกมใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมงถ้าเราพยายามคุยกับคนให้ได้มากที่สุด น้อยกว่านั้นมากถ้ามัวแต่มุ่งเอาชนะ ขยับเส้นเรื่องไปข้างหน้าอย่างเดียว เกมเรียกร้องให้เราใส่ใจทั้งคนและพืช ยิ่งใส่ใจมากเพียงใด สายสัมพันธ์ที่เราสร้างยิ่งมั่นคง และความสัมพันธ์นั้นก็จะเปิดประตูไปสู่ความเข้าอกเข้าใจ