1.
“พวกคุณ 2 คนต้องตกลงกันแล้วนะว่า จะให้ผมฆ่าใครก่อน”
ชายหนุ่มถามหญิงสาวสองคนที่ถูกเชือกรัดคอไว้ด้วยเงื่อนที่ผูกปมมัดกับกิ่งไม้ หญิงสาวทั้ง 2 ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขืน ขณะนี้ยืนด้วยการเขย่งปลายเท้า เชือกโอบรอบคอทั้งสองอย่างทรมาน เบื้องหน้า ชายในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยืนมองหญิงสาวทั้งสองด้วยความใจเย็น
ทันใดสะดุ้ง! วอวิทยุประจำตัวชายหนุ่มดังขึ้น มีคำสั่งเรียกตัวเขากลับไปยังโรงพักด่วน นั่นทำให้ตำรวจหนุ่ม ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมก็กลับมา เพื่อปิดงานนี้ให้เสร็จ”
แล้วตำรวจหนุ่มจากไป ทิ้งหญิงสาวสองคนถูกมัดคาไว้แบบนั้น
2.
รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันนี้ สำนักข่าวหลายแห่งมักจะเรียกผู้ต้องหา คนร้าย ผู้ก่อเหตุจากรัฐฟลอริดาว่า คนฟลอริดา (Florida Man) คำนี้ถูกใช้กันเกร่อ จนกลายเป็นมีมในโลกออนไลน์ ใช้ล้อเลียนคนฟลอริดา ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นดินแดนที่มากด้วยอาชญากรรมและฆาตกรต่อเนื่อง
แท้จริงแล้ว สาเหตุที่คดีอาชญากรรมในรัฐฟลอริดาสูงมากกว่ารัฐอื่นๆ เนื่องจากเป็นรัฐใหญ่ ประชากรอยู่เยอะ ที่สำคัญคือกฎหมายที่รัฐบัญญัติในปี ค.ศ.1995 ทำให้สื่อมวลชนทำงานได้ง่ายขึ้น พวกเขามีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลการทำงานของตำรวจทุกอย่าง ข้ารัฐการมีหน้าที่ในการให้ข้อมูล ทำให้ข่าวของฟลอริดา มีความละเอียด มีข้อมูลที่มากมาย จนมีส่วนให้คนอเมริกันคิดว่ารัฐฟลอริดามากไปด้วยคนเลว
แท้จริงแล้ว รัฐฟลอริดา ก็มีชื่อเสียงในด้านฆาตกรต่อเนื่องอยู่เหมือนกัน ที่รัฐแห่งนี้มีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นตำนานหลายคน มีคดีสะเทือนขวัญไม่แพ้รัฐแคลิฟอร์เนีย ผิดแปลกที่ว่าคนอเมริกันชอบใช้คำว่า Florida Man ในข่าวมากกว่า California Man
แม้จะเป็นเรื่องตลกในโลกออนไลน์ แต่นักฆ่า ฆาตกรต่อเนื่องจากรัฐฟลอริดา ก็สร้างความสยดสยองให้กับสังคม และเหยื่ออย่างมาก ดังเช่นตำนานของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ ชายในเครื่องแบบ เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งควรมีหน้าที่ดูแลประชาชน แต่เขากลับเลือกทางเดินเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่ว่ากันว่าเขาสังหารเหยื่อไปกว่า 100 รายเลยทีเดียว
นี่คือเรื่องราวของเจราร์ด เชฟเฟอร์ (Gerard Schaefer) ฆาตกรในเครื่องแบบ
3.
หญิงสาววัยรุ่น 2 คนโบกรถ เพื่อจะไปชมทะเล ทันใดรถตำรวจเคลื่อนเข้าจอด ตำรวจหนุ่มนาม เจราร์ดลงจากรถ เขาแจ้งว่าการโบกรถ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในรัฐฟลอริดา (ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ) แต่เขาจะไม่จับทั้งสองเด็ดขาด แต่แค่ตักเตือน หลังจากนั้นเชฟเฟอร์ก็พาเด็กสาวไปส่งบ้าน แล้วนัดแนะว่าพรุ่งนี้จะมารับ พาไปดูทะเล
ความกรุณานี้ทำให้เหยื่อตายใจ พรุ่งนี้มาถึงอย่างรวดเร็ว เจราร์ดไม่ได้ใช้รถตำรวจมารับ แต่กลับเป็นรถธรรมดา เขาไม่ได้ใส่เครื่องแบบ แต่เหยื่อทั้งสองก็ยังเชื่อใจ ขึ้นรถไปด้วย
รถไม่ได้พาไปทะเล เมื่อขับไปได้สักพัก ตำรวจหนุ่มก็ควักปืนสั่งให้หญิงสาวทั้งสองคนอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะขับรถพาไปที่เปลี่ยว จับหญิงสาวมัดกับต้นไม้ เอาเชือกผูกคอไว้ แล้วลงมือข่มขืนทั้งสองอย่างโหดเหี้ยม ระหว่างที่เขากำลังถามเหยื่อว่าจะให้ฆ่าใครก่อน ผู้บังคับบัญชาก็แจ้งให้เขาเข้าโรงพักด่วน
นั่นทำให้เชฟเฟอร์ต้องผละจากเหยื่อ เพื่อไปทำงาน
ในเสี้ยววินาทีนั้น เหยื่อแก้เชือกได้สำเร็จ ก่อนไปร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเจราร์ดทราบเรื่อง เขาแจ้งหัวหน้าว่าได้ก่อเรื่องร้ายขึ้นมาเสียแล้ว
ตำรวจหนุ่มบอกว่า เขาแค่ต้องการลงโทษหญิงสาวที่โบกรถ อยากให้รู้ถึงอันตรายที่ไว้ใจคนแปลกหน้า จึงพาไปจับมัด แต่มันเลยเถิดไปหน่อย
ผู้บังคับบัญชาของเจราร์ดฟังแล้ว ก็ตัดสินใจไล่เขาออก พร้อมจับกุมชายหนุ่มทันที
อย่างไรก็ดี เจราร์ดติดคุกได้ไม่นาน เขาได้รับการประกันตัวออกมา และนั่นคือหายนะครั้งสำคัญสำหรับรัฐฟลอริดา ชายชาวฟลอริดาอย่างเจราร์ดได้กลับไปสนุกสนานในสิ่งที่เขารักอย่างมาก
นั่นก็คือการฆ่า
4.
1 เมษายน ปี ค.ศ.1973 คนเก็บขยะ สำรวจป่า เก็บกระป๋องแล้วพบเศษซากชิ้นส่วนมนุษย์ปรากฏขึ้น เขาแจ้งตำรวจทันที เจ้าหน้าที่พบว่ามีการฝังร่าง 2 ศพไว้ที่ต้นไม้แห่งนี้ แล้วสัตว์มาคุ้ยเขี่ย ตำรวจใช้เวลาไม่นานก็ระบุตัวเหยื่อได้ ปรากฏว่าเป็นหญิงสาว 2 คนที่หายตัวออกจากบ้านไปหลายเดือนก่อน
แม่ของหญิงที่หายตัวไป แจ้งตำรวจ แต่เหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่ทำอะไร เธอจึงตัดสินใจสืบคดีเอง จากการค้นหาจดหมายที่ลูกคุยกับคนรัก เธอพบชื่อชายหนุ่มนาม เจอร์รี่ เชพเพิร์ด พร้อมที่อยู่ คนเป็นแม่เดินทางไปตามที่อยู่ แต่กลับพบภรรยาของเจราร์ดแทน ในช่วงเวลานั้นเจราร์ดติดคุกคดีทำร้ายร่างกายหญิงสาวอยู่
เมื่อตำรวจได้รับข้อมูลชิ้นนี้จากผู้เป็นแม่ พวกเขาจึงเพ่งความสนใจมาที่เจราร์ดอีกครั้ง คราวนี้นักสืบสอบถามพยาน ยืนยันว่า เจราร์ดอยู่กับผู้เสียชีวิตเป็นคนสุดท้าย แถมจุดที่พบศพ ก็เป็นจุดใกล้เคียงกับที่เจราร์ดเคยจับเด็กหญิง 2 คน มามัดกับต้นไม้แล้วข่มขืนอีกด้วย
ตำรวจขอหมายค้นจากศาล บุกเข้าค้นที่พักภรรยาของเจราร์ด และบ้านแม่ของอดีตตำรวจหนุ่ม ทั้งสองจุด พวกเขาพบบัตรประชาชนเหยื่อ เสื้อผ้า ทรัพย์สินคนตาย โดยแม่ของเจราร์ดโชว์กระเป๋าที่บอกลูกซื้อมาให้ แต่ปรากฏว่ามันเป็นของเหยื่อที่ถูกเขาฆ่าต่างหาก
เท่านี้ก็เพียงพอ จะแจ้งข้อหาชายหนุ่มได้แล้ว แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่พบหนังสือที่เขียนเล่าวิธีการเลือกสรรหาเหยื่อ วิธีการฆ่า การใช้เชือดรัด การข่มขืน การทุบตี หนังสือให้รายละเอียดใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริง
ในเวลาต่อมาตำรวจจะพบว่ามีเหยื่ออีก 2 รายที่ถูกเจราร์ดสังหาร เป็นเพื่อนบ้านของเขาเองที่หายตัวไป เจ้าหน้าที่เพ่งเล็งชายคนนี้ใหม่ นี่ไม่ใช่การกระทำของฆาตกรธรรมดา แต่เป็นการกระทำของฆาตกรต่อเนื่องเสียแล้ว
5.
เจราร์ดมีวัยเด็กที่แย่มาก เขาถูกพ่อติดเหล้าทำร้ายร่างกาย ตอนนั้นเขาหวังให้ตัวเองเป็นเด็กผู้หญิง เพื่อที่จะได้รอดจากการโดนพ่อทุบตี จากนั้นหนุ่มน้อยก็มีงานอดิเรก ชอบสะสมกางเกงในผู้หญิง เขาจะขโมยกางเกงในเพื่อน แล้วเอามาสวมใส่ ก่อนจะพบว่ามันทำให้ตัวเองมีความสุขอย่างมาก
ช่วงเวลานั้นเจราร์ดมักจะไล่ถ้ำมองดูเด็กหญิงละแวกบ้านอยู่เสมอ
ในเวลาต่อมา พฤติกรรมหมกมุ่นนี้ก็ขยายตัว เขยิบฐานะ เจราร์ดเริ่มฆ่าสัตว์เล็ก บางทีก็ตัดหัววัว มองดูพวกมันตาย บางทีก็มีอะไรกับซากศพ บางทีเขาก็เดินเข้าป่าไปคนเดียว โดยสวมกางเกงในผู้หญิงที่ถูกขโมย บางครั้งก็มัดตัวเองไว้กับต้นไม้ ทำร้ายตัวเองขณะทำการช่วยตัวเองไปด้วย
ความวิปริตของเจราร์ดยังไม่จบเท่านี้ เพราะอีกไม่นาน เขาจะยกระดับเรื่องแฟนตาซีชวนสยองให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น นั่นก็คือการฆ่าคนจริงๆ
ทรัพย์สินคนตายอยู่ในบ้านของเจราร์ด นั่นทำให้เขาถูกแจ้งข้อหาในทันที และคราวนี้เขาไม่ได้ประกันตัวออกมาอีก แต่ถูกจับเข้าคุกระหว่างรอการพิจารณา ระหว่างนั้นภูมิหลังของชายคนนี้ก็มีข้อมูลเพิ่มมากยิ่งขึ้น ปรากฏว่าตอนอยู่โรงเรียน เขาเคยมีแฟนสาว แต่พลันที่เด็กหนุ่มเล่าเรื่องแฟนตาซีอยากฆ่าคนขึ้น หญิงสาวก็บอกเลิกในทันที
ในช่วงเวลานั้น เพื่อนโรงเรียนที่เรียนร่วมกับเจราร์ดต่างจำเด็กหนุ่มสุดประหลาดรายนี้ได้ ครั้งหนึ่ง เขาจับปลามาแล้วควักตาสดๆ ก่อนจะกลืนลงท้องท่ามกลางสายตาของเพื่อนโรงเรียนที่ช็อกกันหมด
“ฉันรู้สึกโชคดีมาก ที่รอดชีวิตมาได้
หลังแม่บอกให้อยู่ห่างไอ้เด็กคนนี้ไว้”
ในเวลานั้น เจราร์ดไปเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย พยายามสมัครสอบตำรวจ แต่หลายครั้งเขาสอบตก ไม่ผ่านการประเมินทางจิต แต่ก็ยังเพียรพยายามจะเป็นตำรวจให้ได้ จนมาสำเร็จในที่สุด
เชื่อกันว่าเจราร์ดน่าจะสังหารหญิงสาว โดยเน้นเด็กหญิงวัยรุ่นอายุ 15-18 ปี มาหลายปีแล้ว เขาบอกว่าฆ่าเด็กๆ ไปประมาณ 80-110 คน อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่มีหลักฐานเอาผิดน้อยเกินไป พวกเขาหาศพเด็กๆ ที่สูญหายในรัฐฟลอริดาไม่เจอ จึงตั้งข้อหาฆ่าคนตายแก่เชฟเฟอร์เพียง 4 ราย เท่านั้น
แต่ก็เพียงพอให้ลากตัวเขาติดคุกตลอดชีวิตจนได้
ในเรือนจำ เจราร์ดอ้างว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาไม่เคยฆ่าใคร เขาแค่นึกอยากเขียนนิยายเท่านั้น พร้อมย้อนไปว่าตอนเด็ก ครูเคยชมว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการเขียน นั่นทำให้เขาคิดจะเอาดีเป็นนักเขียนเกี่ยวกับการฆาตกรรมออกมา
ขณะเป็นนักโทษ เจราร์ดจะเขียนงานแฟนตาซีเกี่ยวกับการฆ่าคนออกมา และอ่านออกเสียงดังๆ ให้เพื่อนนักโทษได้ยิน แม้ในคุก จะเป็นที่รวมดาวร้าย ยอดอาชญากร ฆาตกรจำนวนมาก แต่ทุกคนต่างส่ายหน้าหนี และรังเกียจเจราร์ดอย่างมาก
ยกเว้นเพียงฆาตกรต่อเนื่องผู้เป็นตำนานอย่างเท็ด บันดีเท่านั้น ที่ชื่นชอบ และจะนั่งคุยเรื่องการฆ่าคนกับเจราร์ดเสมอ
6.
ภายในคุก เจราร์ดพยายามทำตัวเป็นดารา ภายนอกคุก ตำรวจพยายามสืบหาเบาะแส พวกเขาค้นพบเหยื่อที่ถูกชายหนุ่มสังหารอีกจำนวนหนึ่ง ทุกอย่างอยู่ระหว่างการรวบรวมเบาะแส เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว ก็จะไปสอบถามเจราร์ดในคุก
อย่างไรก็ดีฆาตกรรายนี้ กลับยืนกรานว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาขู่จะฟ้องนักเขียนที่เรียกเขาว่า ฆาตกรต่อเนื่อง เรื่องตลกร้ายก็คือแฟนสาวคนแรกที่เจราร์ดคบ และเลิกกับเขาเพราะทนฟังอีกฝ่ายพร่ำเพ้อเรื่องแฟนตาซีเกี่ยวกับการฆ่าไม่ได้ เธอกลับเติบโตทำงานเป็นนักเขียนเรื่องอาชญากรรม และได้กลับมาหาอดีตแฟนเก่านักฆ่า
ทั้งสองร่วมมือกันเขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเจราร์ดเอง และไม่ใช่ร่วมกันเขียนแค่เล่มเดียว แต่กลับร่วมกันเขียนออกมาถึง 2 เล่มด้วยกัน
หนังสือที่ทั้งสองร่วมกันเขียนนั้น ล้มเหลว ไม่มีใครซื้อ แต่ข้อมูลที่หญิงสาวได้มาจากคนรักเก่า ถูกมอบให้ตำรวจ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ระบุตัวเหยื่อเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม พวกเขาพบว่าหญิงสาวที่หายตัวไปหลายราย เคยเดตกับเจราร์ดทั้งสิ้น ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ตำรวจเริ่มสืบสวนข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อพบศพหญิงสาว ก็เริ่มมีการโยงว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเจราร์ดหรือฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นหรือไม่
แต่ในเวลาไม่นาน เมื่อหญิงสาวเผชิญหน้ากับเจราร์ดแฟนเก่า เพื่อถามถึงการฆาตกรรม อีกฝ่ายกลับโมโหและยืนกรานปฏิเสธ พร้อมทั้งขู่จะฆ่าเธอ นั่นทำให้มันกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน
ในปี ค.ศ.1995 ปีเดียวกับที่รัฐฟลอริดา ออกกฎหมายให้สื่อมวลชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการสืบสวนของตำรวจได้ และเจ้าหน้าที่จะต้องหามาให้ เพราะถือว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ ปีเดียวกันนั้นเอง เชฟเฟอร์ก็จบชีวิตตัวเอง เขาถูกเพื่อนนักโทษกระหน่ำแทงหลายแผล โดยแผลถูกแทงเข้าที่ตาเป็นจำนวนมาก จนร่างพรุน มีดได้ปาดคอเจราร์ด จากหูด้านหนึ่งไปถึงหูอีกด้านหนึ่ง
ปิดฉากตำนานนักฆ่าสุดหฤโหดลงไป
การตายของเจราร์ด ทำให้เจ้าหน้าที่เสียดาย เพราะไม่สามารถเข้าไปสอบปากคำและยืนยันเหยื่อของเขาได้อีก มันทำให้ผู้สูญหายจำนวนมาก ยังเป็นได้เพียงผู้สูญหาย ไม่ใช่ผู้เสียชีวิต ทำให้ครอบครัวของพวกเธอ ไม่สามารถรับรู้ความจริง และยังต้องเฝ้ารออย่างเจ็บปวดต่อไป
ในระหว่างติดคุกนั้น เจราร์ดถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ เข้าไปสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลเรื่องฆาตกรต่อเนื่อง คุณสมบัติวัยเด็กที่เขาถูกกระทำ และการฆ่าสัตว์เล็ก การมีแฟนตาซีเรื่องการฆ่า การชอบเอากางเกงในผู้หญิงไปใส่ ถูกเรียบเรียงเป็นฐานข้อมูลรับมือฆาตกรต่อเนื่องของเอฟบีไอในเวลาต่อมา
แม้จะมีเหยื่ออย่างเป็นทางการแค่ 4 ราย แต่เจราร์ด ถือเป็นคนฟลอริดาสุดสยดสยอง น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่เคยสอบปากคำเขา บอกไว้ว่า
“ถ้าผมต้องเลือก 5 อันดับ ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง ที่ผมเคยสัมภาษณ์มาทั่วประเทศ เขาจะต้องอยู่ในรายชื่อนั้นด้วยอย่างแน่นอน”
ข้อมูลอ้างอิง