1.
“ความยากในคดีนี้ก็คือ ไม่มีใครสนใจเหยื่อเลย”
ต้นปี 1990 คริสติน เพลิเซค (Christine Pelisek) ย้ายถิ่นฐานจากแคนาดา สู่เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อเริ่มทำงานเป็นนักข่าวอาชญากรรมให้กับหนังสือพิมพ์เล็กๆ ชื่อว่า LA Weekly ขณะร่อนเร่ไปดูเหตุฆาตกรรม คดีสะเทือนขวัญ เจอตำรวจและโจรผู้ร้าย คริสตินก็พบกับเรื่องน่าตื่นตะลึงบางอย่าง
ในเวลานั้น แอลเอเมืองมากสีสัน มีฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าคนอยู่ถึง 6 รายด้วยกัน สื่อลงข่าวกระตุ้นหน่วยงานรัฐ ทั้งนักการเมือง ตำรวจให้ล่าตัวคนร้ายทันทีที่ผู้หญิงผิวขาวหายตัวไปจากมหาวิทยาลัย สังคมตื่นตระหนกกับการฆ่าสาวผมบลอนด์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องลงมือสืบสวนจับกุมนักฆ่าเหล่านี้ทันที
แต่สิ่งหนึ่งที่คริสตินค้นพบมากไปกว่าฆาตกรต่อเนื่องก็คือ ไม่เพียงผู้หญิงผิวขาวเท่านั้นที่จะตกเป็นเหยื่อ แต่ยังมีผู้หญิงผิวดำถูกไล่ฆ่าเป็นจำนวนมาก และสังคมไม่สนใจ สื่อไม่นำเสนอ นักการเมือง ตำรวจก็เงียบ
นักข่าวสาวเริ่มเอะใจและรวบรวมข้อมูล สิ่งที่ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมากก็คือ ยังมีฆาตกรต่อเนื่องอีกรายที่ยังโลดแล่นอยู่ และเขายังคงฆ่าเหยื่ออย่างต่อเนื่อง โดยที่สังคมไม่คิดจะทำอะไรเลย
2.
ขณะนั้นคริสตินพบเบาะแสข่าว มีผู้หญิงผิวดำจำนวนมากเสียชีวิต แน่นอนบางคนตายเพราะเสพยาเกินขนาด บางรายสิ้นลมหายใจกลางถนน การชิงปล้นมีให้เห็นเสมอในย่านคนดำ แต่ตำรวจกลับไม่เคยลาดตระเวนเพื่อปกป้องชีวิตคนแถวนี้เลย เมื่อเธอลงมือสืบค้นต่อไป ก็ค้นพบข้อมูลที่ละเอียดและน่าสนใจกว่าเดิม
จากการรวบรวมข้อมูล คริสตินพบรูปแบบการก่อเหตุบางอย่างต่อผู้หญิงผิวดำที่คล้ายกันมาก โดยเฉพาะในช่วงปี 1985-1988 มีหญิงผิวดำถูกยิงด้วยปืนขนาด 6.35 มม. ซึ่งเป็นกระสุนสำหรับปืนพกขนาดเล็ก
แม้จะดูเป็นเรื่องไม่แปลกที่เหยื่อจะถูกยิงตาย แต่ผู้เสียชีวิตเหล่านี้แทบทุกราย จะถูกพบที่หัวมุมถนน มีกองขยะรุมสุมไว้ รูปแบบนี้สร้างความสงสัยให้กับคริสตินมากยิ่งขึ้น หากเป็นการยิงปืนฆ่าธรรมดา ก็น่าจะไม่มีอะไรต้องคิดมาก แต่เหยื่อเหล่านี้เหมือนถูกสังหารโดยคนคนเดียวกัน มนุษย์ผู้ซึ่งจ้องจะเล่นงานผู้หญิงคนดำ
นักข่าวสาวเริ่มลงมือไขข้อสงสัยด้วยตัวเอง โดยการไปพูดคุยกับครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิต และนั่นทำให้เธอรู้ว่า มีฆาตกรกำลังพอใจกับการไล่ฆ่าคนอยู่
แต่กว่าเธอจะค้นพบเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่งานง่าย ข่าวสืบสวนสอบสวนไม่ได้ทำกันวันเดียว อาทิตย์เดียว หรือเดือนเดียว บางทีอาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ มันกินพลังงานของนักข่าวไปหมด ที่สำคัญก็คือ หาใช่ว่าคริสตินจะทำแต่ข่าวฆาตกรไล่ฆ่าคนดำอย่างเดียว แต่เธอต้องทำข่าวอื่นด้วย หน้าที่ของนักข่าวอาชญากรรม พาเธอไปเจอหลากหลายเรื่องราวแห่งความโสมมบัดซบของเมืองแอลเอ
แต่คริสตินไม่ย่อท้อ เมื่อว่างเสร็จจากภาระงานหลัก เธอก็เริ่มสืบสวนไขคดี นักข่าวสาวขับรถไปยังตอนใต้ของเมืองและเคาะประตูตามบ้าน เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านในย่านดังกล่าว ซึ่งเป็นจุดที่พบหญิงผิวดำถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
เธอสัมภาษณ์คนไปกว่า 100 ราย สานต่อสายสัมพันธ์จนไปพบครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่นั่นทุกคนต่างตกใจ เพราะไม่มีตำรวจหรือนักสืบแม้แต่คนเดียว จะบอกพวกเขาว่าคนรักที่จากไปถูกฆ่าโดยฆาตกรต่อเนื่อง ยิ่งคุยกับครอบครัวเหยื่อ เธอก็เริ่มเห็นพฤติกรรมรูปแบบการฆ่าชัดเจนขึ้น
คริสตินไปคุยกับครอบครัววัยรุ่นผิวดำ อายุ 18 ปี ซึ่งถูกฆ่าแล้วนำร่างมาทิ้งไว้ริมถนน พวกเขาบอกว่าตำรวจมาสืบคดีแล้วก็จบไป ไม่มีการบอกข้อมูลอะไรทั้งสิ้น
“ไม่มีใครมาหาพวกเราอีกเลย”
การสืบสวนทำข่าวนี้ใช้เวลาถึง 10 ปี จนคริสตินแน่ใจและมีหลักฐานเพียงพอแล้วว่ามีฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าผู้หญิงผิวดำจริงๆ โดยเธอสามารถระบุความเชื่อมโยงของเหยื่อทั้งหมด 38 รายถูกสังหารโดยนักฆ่ารายเดียวกัน บางคนถูกยิง บางคนถูกรัดคอ บางคนถูกแทง บางรายถูกทุบตีจนสภาพศพเละ แต่แทบทุกรายจะถูกนำมาทิ้งริมถนน เอาขยะกองๆ ทับไว้
การฆ่า 38 ศพ นี้เกิดขึ้นในระยะเวลาแค่ 4 ปีเท่านั่น คริสตินลงมือทำงานหนักหน่วง ด้วยการสืบสวนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย การสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและแหล่งข่าวมากมาย ในที่สุดเธอก็ระบุได้ว่าช่วงปี 1988-2002 มีปีศาจร้ายไล่ฆ่าคนดำอยู่ เธอตั้งฉายามันว่า ‘Grim Sleeper’ หรือ ปีศาจแห่งการหลับใหล โดยอิงมาจากช่วงเวลาการฆ่าที่ยาวนาน และรอดพ้นการถูกจับกุมไปได้
เดือนสิงหาคม ปี 2008 ข่าวถูกตีพิมพ์และมันสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ตำรวจ นักการเมืองต่างนั่งไม่ติด สังคมหันมาสนใจข่าวชิ้นนี้ จากผู้หญิงขี้ยา โสเภณี ถูกฆ่าธรรมดา ไม่มีใครเหลียวแล ยิ่งเป็นคนดำ ยิ่งปล่อยผ่านไป แต่เมื่อนักข่าวฉายภาพกว้างถึงเหยื่อ 38 รายถูกก่อเหตุในรูปแบบคล้ายๆ กัน ทางการจึงต้องตั้งหน่วยงานพิเศษมาชำระคดีที่ไขไม่ได้ โดยอิงข้อมูลข่าวของคริสตินทันที
เมื่อตำรวจขยับ คริสตินก็ได้คุยกับแหล่งข่าวเพิ่ม จากที่คุยกับนักสืบที่รับผิดชอบคดี แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า คราวนี้เธอค้นพบเหยื่อเป็นสาวผิวดำที่รอดชีวิตจากการถูกฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ฆ่าด้วย โดยเธอถูกทำร้ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 1988 แล้วเก็บงำความเจ็บปวดนี้ไว้กว่า 21 ปี จนได้มาให้สัมภาษณ์กับคริสตินในปี 2009 ในร้านอาหาร ที่ซึ่งพบหญิงคนดำถูกฆ่าแล้วนำมาทิ้งไว้ใกล้ๆ ด้วย
พยานเผยว่าได้ขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้า ที่นอกร้านขายของชำ ตอนใต้ของแอลเอ โดยเขาอาสาไปส่งเธอที่บ้านเพื่อน ทีแรกเธอไม่กล้าขึ้นรถ แต่เขาพูดว่า “ผมเข้าใจนะว่า ไม่มีใครอยากทำดีกับผู้หญิงผิวดำ แต่สิ่งที่ผมทำ มันไม่ได้ผิดอะไรนิ” นั่นทำให้เธอเห็นใจเขา จึงยอมขึ้นรถไปด้วย ก่อนจะถูกยิงเข้าที่หน้าอกอย่างจัง หญิงสาวมองหน้าคนขับรถซึ่งเป็นชายผิวดำ แล้วถามว่าทำไมถึงยิงเธอ
“คุณไม่เคารพผม” ชายผิวดำตอบ หลังจากนั้นเขาผลักเธอออกจากรถ กะทิ้งเธอให้นอนตายตรงนั้น แต่ความเลวร้ายยังไม่จบสิ้น เขาข่มขืนเธอและถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนขับรถออกไป เหยื่อเป็นคนใจสู้ เป็นแม่ของลูก2 คน จึงรวบรวมเรี่ยวแรงร้องขอความช่วยเหลือ จนรอดชีวิตมาได้
เมื่อข่าวปรากฏออกไป ตำรวจก็เริ่มทำงาน พวกเขาสืบคดีทั้งหมด แล้วพบความเชื่อมโยงระหว่างหญิงผู้รอดชีวิตกับศพที่ถูกฆ่าทั้งหมด นักสืบรื้อคดีค้างเก่า แล้วตรวจสอบหาดีเอ็นเอ
แต่ไม่พบผู้ต้องสงสัยแม้แต่คนเดียว
นั่นหมายความว่าฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ไม่เคยถูกจับกุมแม้แต่ครั้งเดียวเลยในชีวิต
3.
อย่างไรก็ดีนักสืบยังคงทำงานอย่างไม่ลดละ เช่นเดียวกับคริสติน ตอนนั้นมีโทรศัพท์จากภรรยาทั้งหลายคุยกับเธอ แล้วบอกว่าสามีของพวกเธอคือ Grim Sleeper นี่ทำให้คริสตินรู้ว่าความรุนแรงในครอบครัวที่สามีกระทำกับภรรยาเป็นเรื่องใหญ่มาก หลายคนต้องการหลุดพ้นจากความสัมพันธ์สุดเศร้านี้ โดยหวังว่าสามีของพวกเธอจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าคนไปทั่ว คล้ายกับที่เขากระทำความรุนแรงต่อเมียตัวเอง
ที่สำคัญพวกเธอเหล่านี้ ไม่ได้โทร.ไปหาตำรวจ
เพราะนักสืบไม่สนใจจะไถ่ถามคดีกลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“บางคนถึงขั้นมาขอพบ แล้วยื่นถุงพลาสติก ข้างในมีถ้วยกาแฟที่บรรจุน้ำเชื้อของสามีไว้ ฉันต้องเอาไปเก็บไว้ในตู้เย็นตัวเอง ใกล้กับซอสมะเขือเทศ ก่อนเอาไปให้นักสืบตรวจสอบ ผลก็คือตัวอย่างนี้ไม่ตรงกับดีเอ็นเอฆาตกร”
ช่วงเวลานั้นตำรวจเก็บดีเอ็นเอที่พบในจุดเกิดเหตุ รวมถึงหลักฐานทุกอย่าง แม้มันจะไม่ตรงกับฆาตกรต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็หวังว่าโชคจะดลบันดาลสักวัน และมันก็มาในที่สุด
ในปี 2010 เจ้าหน้าที่พบดีเอ็นเอของชายผิวดำ อายุ 28 ปีมีส่วนตรงกับดีเอ็นเอของฆาตกรต่อเนื่อง แม้จะไม่ใช่ทีเดียว แต่ก็มีความคล้ายสูงมาก ตำรวจพบว่าชายคนนี้ถูกจับข้อหาครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมายเมื่อปีก่อน ทางการจึงมาประชุมและตรวจสอบประวัติเด็กหนุ่มคนนี้โดยละเอียด แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องแน่ เพราะช่วงที่ Grim Sleeper เริ่มก่อเหตุนั้น ชายคนนี้ยังเด็กเกินกว่าจะไปฆ่าใครได้
เหล่านักสืบพบว่าพ่อของเด็กคนนี้ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงเริ่มสะกดรอย ตรวจสอบพฤติกรรมและที่สำคัญก็คือเอาตัวอย่างดีเอ็นเอมาให้ได้ เมื่อชายต้องสงสัยไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนในร้านอาหารแห่งหนึ่งในแอลเอ นักสืบจ้างเด็กรับรถ หยิบจาน ถ้วยน้ำ ช้อนส้อมของชายคนนี้มาให้ แล้วนำไปตรวจดีเอ็นเอ ในที่สุดผลก็ออกมาว่าตรงกับคนร้าย
เจ้าหน้าที่ไม่รอช้า ขอหมายศาล แล้วนำกำลังบุกจับกุม ลอนนี แฟรงคลิน จูเนียร์ (Lonnie Franklin JR.) วัย 58 ปี ในฐานะฆาตกรต่อเนื่อง ฉายาปีศาจแห่งการหลับใหลได้สำเร็จ
4.
การจับกุมแฟรงคลินเป็นข่าวใหญ่มาก ทั้งในฐานะฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดที่ฆ่าคนไปกว่า 30 รายขึ้นไป ไม่เพียงเท่านั้นมันยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับเพื่อนบ้านในละแวกด้วย ชายคนนี้แต่งงาน มีครอบครัว ลูก 2 คน แถมยังเป็นคนนิสัยดี ดูเงียบๆ วันว่างชอบซ่อมรถที่หน้าบ้าน ทักคนที่ผ่านไปมา
ที่สำคัญลอนนีไม่มีอะไรเหมือนกับฆาตกรต่อเนื่องเลย เขาไม่ใช่ชายผิวขาว ซึ่งครองตลาดนักฆ่าสุดโหดอยู่เสมอ อายุของฆาตกรต่อเนื่องจะอยู่ที่ 20-30 ปี แต่ลอนนีสารภาพว่าเขาเริ่มฆ่าเหยื่อครั้งแรกตอนอายุได้ 32 ปี
สาเหตุที่เขาฆ่าคนได้อย่างยาวนานก็เพราะเลือกเหยื่อเป็นหญิงผิวดำทั้งหมด เขาเลือกโสเภณี คนติดยา ซึ่งไม่มีใครให้ความสำคัญ สังคมสีสันแห่งแอลเออาจสนใจดาราฮอลลีวูด เรื่องราวที่มันตื่นตาเซเลบริตี้มากกว่า แต่เพราะการทำงานเขียนข่าวของคริสติน ในที่สุดแฟรงคลินก็จนมุม
ตำรวจค้นบ้านแฟรงคลิน และพบภาพถ่ายหญิงสาวผิวดำเกือบ 1 พันภาพ บางคนถูกถ่ายขณะกำลังมีเซ็กซ์ บางคนกำลังโดนทำร้าย ก่อนตาย พวกเขาพบปืนที่ใช้ยิงเหยื่อ ทั้งหมดนี้เพียงพอลากแฟรงคลินเข้าสู่ศาลได้แน่นอน
นอกจากนี้ที่บ้านหลังนั้น ตำรวจยังพบเอกสารกองทัพ ซึ่งแฟรงคลินเคยเป็นทหารบกสหรัฐอเมริกา ไปประจำการที่เยอรมัน ในช่วงปี 70 และถูกจับฐานลักพาตัวและข่มขืนหญิงชาวเยอรมันอายุ 17 ปี นี่เป็นข้อมูลลับที่ตำรวจค้นพบ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด เพราะแฟรงคลินเริ่มสนใจการข่มขืน การมองหญิงสาวตกอยู่ใต้อำนาจแห่งการบัญชาของเขา
และมันนำพาชายคนนี้
ก้าวเข้าสู่โลกแห่งฆาตกรต่อเนื่อง
ในตอนข่มขืนหญิงชาวเยอรมันนั้น ลอนนีติดคุกทหารเพียงปีกว่าๆ ก็ออกมา และถูกปลดอย่างเสื่อมเสียเกียรติ ก่อนมาทำงานเก็บขยะในแอลเอแห่งนี้ ซึ่งเขาได้ลาดตระเวนเลือกเหยื่อไปฆ่าอย่างสบายๆ และหาที่ทิ้งศพ สร้างชื่ออื้อฉาวจากการเป็นนักฆ่าสุดสะพรึง
เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล พยานผู้รอดชีวิต อัยการ ตำรวจ นักสืบต่างส่งมอบหลักฐานให้ลูกขุน ทนายของลอนนีอ้างว่าการเก็บดีเอ็นเอจากช้อนส้อมนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ศาลปัดตกไป เพราะถือว่ามันไม่ใช่ของส่วนตัว ดังนั้นตำรวจมีสิทธิ์ทำได้
31 ปีหลังจากเขาสังหารเหยื่อที่เป็นทางการคนแรก ลูกขุนตัดสินให้ลอนนีต้องโทษประหารชีวิต คริสตินซึ่งไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย วันนั้นเธอได้เห็นหยาดน้ำตาและความดีใจของครอบครัวเหยื่อ ตำรวจปาดเหงื่อ สังคมโล่งอก ในที่สุดความยุติธรรมก็มีจริง แม้มันจะช้ามากก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อทนายจำเลยยื่นอุทธรณ์คดี ทำให้ศาลสูงสุดในแอลเอเปลี่ยนคำพิพากษาเป็นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแฟรงคลินแทน ทุกวันนี้คำตัดสินคือเขามีส่วนในการฆ่าคนไป 10 ราย แต่ยังมีหลักฐานเพิ่มชี้ชัดว่ามีเหยื่อหลายคนที่ถูกแฟรงคลินฆ่า และในวันที่ 28 มีนาคม ปี 2020 ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ก็เสียชีวิต ผลการชันสูตรไม่มีการเปิดเผยออกมา เพียงแต่ระบุว่าเขาตายโดยไม่ได้เจ็บปวดอะไร เป็นการปิดฉากนักฆ่าสุดโหดรายนี้
สำหรับคริสตินผลงานของเธอโด่งดัง กวาดรางวัลนักข่าวในฐานะกระบอกเสียงแห่งประชาชนอย่างแท้จริง หญิงสาวเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวนี้ออกมา ทุกวันนี้คริสตินยังคงทำงานเป็นนักข่าวอาชญากรรม เขียนข่าวที่ทำให้สังคมต้องสนใจ คริสตินไม่เคยทิ้งอาชีพที่พาเธอเดินทางจากแคนาดา มาเป็นเหยี่ยวข่าวสาวเปิดโปงและนำไปสู่การจับกุมฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ได้สำเร็จ
สำหรับญาติของเหยื่อ พลันที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของแฟรงคลิน พวกเขาก็มีหลายความเห็น แม้ความตายของลอนนีจะไม่อาจพาคนรักกลับคืนมาได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทุเลาใจที่ฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ไม่ได้มีชีวิตบนโลกอันบิดเบี้ยวนี้อีกต่อไปแล้ว
“ฉันไม่อยากพูดว่าดีใจที่เขาตายนะ แต่สุดท้ายแล้ว มันคือความยุติธรรมต่อสิ่งเลวๆ ที่เขาทำในชีวิตนี้ ตอนนี้พวกเราโล่งใจแล้วล่ะ”
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติม