1.
“ตำรวจบอกว่า พวกเขาจะไปจับใครที่ยังไม่ทันก่อเหตุอาชญากรรมไม่ได้หรอก”
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2002 ตำรวจแคนาดานำหมายค้นเข้าตรวจสอบฟาร์มหมู วินาทีนั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียว จะคาดคิดว่าการตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์สุดอื้อฉาวของประเทศ
ก่อนหน้านั้น มีการแจ้งความร้องเรียนไปยังตำรวจ ถึงการหายตัวไปของญาติพี่น้อง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งทำงานเป็นโสเภณี แม้จะมีเบาะแสชัดแจ้ง แต่ตำรวจกลับเพิกเฉย ไม่สนใจอะไร กว่าที่พวกเขาจะตระหนักและเริ่มลงมือสืบสวน ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งก็สังหารคนเป็นจำนวนมาก เมื่อนำหมายค้น พวกเขาพบซากศพจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในนั้น กระดูกคนหลายชิ้นวางอยู่ในคอกลูกหมู
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของฟาร์มหมู ผู้ใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เป็นอันตรายกับใคร แต่ภายใต้ธุรกิจที่ทำกันมา 3 ชั่วอายุคน ชายคนนี้ซ่อนความโหดร้ายและความสยดสยอง สถาปนาตัวเองเป็นปีศาจ ภายใต้หน้ากากแห่งความปกติ
ชื่อของเขาคือ โรเบิร์ต วิลเลียม พิกตัน (Robert William Pickton) หรือที่ชาวบ้านรู้จักในชื่อ วิลลี่ และสื่อมวลชนตั้งฉายาด้วยความสยดสยองว่า ‘นักฆ่าฟาร์มหมู’ ชายที่ฆ่าหญิงสาว และป้อนให้หมูกิน พร้อมส่งขายไปยังลูกค้า เพื่อหารายได้ หล่อเลี้ยงฟาร์มหมูนี้ไว้
เพื่อที่เขาจะได้ฆ่าคนตามที่ต้องการ
2.
คนละแวกฟาร์มรู้จักวิลลี่เป็นอย่างดี ครอบครัวเขาทำฟาร์มหมูมาอย่างยาวนาน เมื่อได้สืบทอด วิลลี่กับน้อง ได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลไม่แสวงผลกำไร เพื่อใช้ฟาร์มแห่งนี้ จัดงานเลี้ยง ปาร์ตี้เด็ดๆ ดึงดูดคนเข้ามาเที่ยว เพราะมีโสเภณีถูกจ้างมาบำเรอความสุขให้กับขาเที่ยวทั้งหลาย
ว่ากันว่า เขาเคยจัดงานเลี้ยงและมีคนมาร่วมงานถึง 2 พันคนเลยทีเดียว
ภาพลักษณ์ของวิลลี่ เป็นคนธรรมดาๆ ชาวบ้านทั่วไป ปศุสัตว์ที่ทำงานตามมรดกซึ่งได้รับมา เขาไม่ดื่ม ไม่มีภาพลักษณ์เสเพล ออกจะเงียบๆ ถ่อมตัว ไม่น่าจะเป็นคนใช้ความรุนแรงได้ นั่นทำให้ไม่มีใครคิดว่า เขาจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดแบบนี้
หลายคราเพื่อนบ้านต่างยินดีที่วิลลี่มอบหมูสับมาให้ ถือเป็นอาหารรสเลิศแสนโอชะ อภินันทนาการจากฟาร์มหมูแห่งนี้ ทุกคนชมว่าเนื้อมันอร่อยเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าวิลลี่ใช้อะไรเลี้ยงหมู มันจึงมีความแตกต่างจากหมูสับทั่วไป แน่นอนทุกคนเห็นว่าวิลลี่เลี้ยงฟาร์มมาทั้งชีวิต นั่นจึงเป็นเคล็ดลับที่เขาจะดูแลหมูให้อร่อยถูกปากคนจำนวนมากได้
ที่จริงแล้วตัววิลลี่ มีสัญญาณเตือนบางอย่างแก่ตำรวจ แต่ไม่มีใครสนใจอะไร องค์กรการกุศลเขาถูกสั่งให้ยุบ หลังขาดคุณสมบัติและไม่มีบัญชีทางการเงินอย่างจะแจ้ง
ในปี ค.ศ.1997 วิลลี่ถูกจับกุมฐานพยายามฆาตกรรมโสเภณีรายหนึ่งที่มางานเลี้ยง เธอถูกจ้างเป็นเงิน 100 เหรียญยูเอสดอลลาร์เพื่อให้ทำโอษฐกาม และขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่นั้น วิลลี่ได้จับเอวเธอและกระชาก ก่อนใส่กุญแจมือเหยื่อ และใช้มีดกระหน่ำแทง ทั้งที่ถูกก่อเหตุสลดขนาดนี้ แต่โสเภณีหญิงได้สู้กลับ พร้อมชิงมีดมา แล้ววิ่งหนีไปพร้อมเลือดที่หลั่งริน ก่อนจะไปพบตำรวจ วิลลี่ถูกจับ แต่คดีไม่คืบหน้า เพียงปีกว่าๆ ข้อหาก็ยกเลิกไป
ว่ากันว่าทางอัยการมองว่าเหยื่อที่เป็นโสเภณีดูไม่น่าเชื่อถือ นั่นทำให้ปีศาจร้ายรายนี้ ยังได้โอกาสสังหารโหดต่อไป อย่างเริงร่าใต้เงาแห่งความตาย
เสียงร่ำลือในหมู่โสเภณีย้ำเตือนว่า อย่าไปงานเลี้ยงที่วิลลี่จัดเด็ดขาด และมีผู้หญิงหากินคนหนึ่งบอกกับเพื่อนร่วมงานว่า
มีคนรู้จักหลายคนไปที่นั่นและไม่ได้กลับออกมาอีก
พวกเธอพยายามแจ้งความกับตำรวจ พยายามชี้ให้เห็นเบาะแสความผิดปกติในฟาร์มแห่งนี้ แม้เจ้าหน้าที่จะมีข้อสงสัยและเริ่มติดตามพฤติกรรมของวิลลี่
แต่ผู้บังคับบัญชาตอนนั้น ไม่เชื่อว่า ชายเรียบร้อยดูเงียบๆ คนนี้ จะเป็นคนที่ตำรวจต้องการ
“เขาไม่น่าจะอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของโสเภณีได้”
3.
นักสืบหญิงลอรี่ เชนเฮอร์ (Lori Shenher) เพิ่งจะเริ่มทำงานได้ 2 วันในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1998 และได้รับเบาะแสจากสายข่าวว่า วิลลี่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เขามักจะไปยังเครื่องบด พร้อมเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ยัดในถุง เป็นไปได้ว่าเขาอาจอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของโสเภณีหญิงเป็นจำนวนมาก
ลอรี่ตรวจสอบเบาะแสนั้น และเริ่มติดตามสอดส่องวิลลี่ทันที เธออยากนำหมายค้นเข้าไปในฟาร์มแห่งนี้ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วย เพราะเขามองว่าวิลลี่ไม่น่าจะเป็นฆาตกรได้
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมองว่าสายข่าวของลอรี่ ไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะไม่ใช่คนที่รับรู้เรื่องของวิลลี่โดยตรง แต่ฟังมาจากปากโสเภณีอีก 3 ต่อด้วยกัน แม้ลอรี่จะพยายามตามหาตัวโสเภณีที่อาจเป็นพยานปากเอกในการจับวิลลี่ แต่ก็ยังหาไม่พบ เธอถึงขั้นเสนอหัวหน้า ให้ส่งนักสืบนอกเครื่องแบบปลอมตัวเป็นโสเภณี เพื่อจะได้เข้าไปในฟาร์มของวิลลี่
แต่อคติของตำรวจกลับมองว่า โสเภณี และคนติดยา ได้เลือกทางเดินเส้นนี้เอง พวกเธอจึงเหมือนคนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะไปวุ่นวายกับเรื่องตามหาคนหายทำไม
ทางการเคยปล่อยผ่านรถขนหมูที่ชำแหละของวิลลี่ โดยไม่ได้เปิดตู้ดูเนื้อหมูข้างใน หากพวกเขาทำ ก็จะเจอศพของผู้หญิงถูกหั่นเก็บไว้ และคดีก็คงจบไปนานแล้ว
ไม่เพียงโสเภณีที่ร่ำลือความสยองของวิลลี่เท่านั้น แม้แต่คนงานในฟาร์มก็มักจะซุบซิบกันว่า บางทีก็เห็นเจ้านายฝังอะไรบางอย่างลงในดิน ทุกคนมองดูด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครคิดว่าคนจ่ายเงินเดือนพวกเขาจะเป็นปีศาจแบบนี้
จำนวนโสเภณีที่หายตัวไปมีเพิ่มมากขึ้น ครอบครัวของเหยื่อร้องเรียน แจ้งความกับตำรวจ แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า นักสืบลอรี่พยายามรวบรวมหลักฐาน นำเสนอโน้มน้าวใจผู้บังคับบัญชา
แต่ทุกอย่างก็เงียบเฉย
ปัญหาสำคัญคือ พยานที่ร่ำลือเรื่องราวของวิลลี่ ไม่เพียงแต่เป็นผู้หญิงหากิน ที่อาจหายตัวไปจากท้องถนน ยากจะตามหาได้เท่านั้น แต่หลายคนยังเป็นคนติดยาที่พูดจารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องเยอะ หลายคนมีอาการทางจิต คนที่รู้เรื่องราววิลลี่เหล่านี้ คือคนที่นอนตามท้องถนน ใช้ชีวิตอย่างลำบาก เป็นที่ดูถูกแก่สังคม แถมยังเสี่ยงจะถูกฆ่าได้ง่ายๆ ด้วย
และที่สำคัญโสเภณีที่ครอบครัวแจ้งหายบางคน ก็อาจกลับมายืนขายตัวได้ใหม่ หลังจากหายตัวไปเป็นเวลานาน
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฟังพยานเหล่านี้”
อีกทั้งตำรวจยังเชื่อว่ามีฆาตกรสังหารโสเภณีจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นวิลลี่ นั่นทำให้นักสืบลอรี่ ต่างตามหาเบาะแสด้านอื่น ทุกอย่างดูยากไปหมดในการล่าตัวปีศาจรายนี้
แต่นักสืบลอรี่ไม่เคยย่อท้อ เธอพยายามรวบรวมหลักฐานต่อไป แต่ทุกอย่างก็เหมือนเตะบอลอัดใส่กำแพง ไม่มีความคืบหน้า สิ่งที่เธอทำต่อเนื่องคือพยายามคุยกับผู้บังคับบัญชาให้ขอหมายค้นจากศาล เพื่อจะได้ไปดูให้เห็นกันจะๆ ว่าฟาร์มหมูของวิลลี่มีอะไรน่าสงสัยหรือไม่
“ฉันมีแฟ้มคนหาย 17 คนด้วยกันที่เชื่อว่าวิลลี่จะเกี่ยวข้อง แต่ไม่มีใครเห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญตรงไหน”
4.
อย่างไรก็ดีความพยายามของนักสืบลอรี่ก็เป็นผล เธอรวบรวมหลักฐานและโน้มน้าวใจผู้บังคับบัญชาได้สำเร็จ หลังจากเริ่มทำในเดือนกรกฏาคมปี ค.ศ.1998 ล่วงเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ.2002 เกือบ 4 ปี เจ้าหน้าที่ก็นำหมายค้นบุกไปฟาร์มของวิลลี่
ทีแรกตำรวจก็ไม่ได้คิดว่าจะเจออะไรมากมาย แต่เมื่อพวกเขาเห็นกระดูกมนุษย์ในฟาร์ม เห็นทรัพย์สินผู้หญิงในบ้าน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจดีเอ็นเอ แล้วพบว่าในฟาร์มแห่งนี้มีดีเอ็นเอของหญิงสาวที่หายตัวไปถึง 33 คนด้วยกัน
ตำรวจรวบตัววิลลี่พร้อมน้องทันที เมื่อคุมตัวไปสอบปากคำ ฝันร้ายนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เหมือนฆาตกรต่อเนื่องหลายราย พวกเขาภูมิใจกับการฆ่า ไม่คิดจะปิดบังซ่อนเร้นแม้แต่น้อย วิลลี่รับสารภาพว่าได้สังหารโสเภณี คนติดยาเหล่านี้เอง หลายครั้งเขากระหน่ำแทงพวกเธอ หลายคราเขาแอบฉีดสารพิษ แล้วมองพวกเธอดิ้นทุรนทุรายอยู่ราว 5-10 นาทีจนตาย
เขาอ้างว่าการฆ่าครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อจับได้ว่ามีโสเภณีพยายามขโมยของในบ้าน จึงใช้มีดแทง และระหว่างมีอะไรกับโสเภณี เขาจะเริ่มจินตนาการเพี้ยนๆ เริ่มไม่พอใจโมโหเหยื่อ ก่อนลงมือฆ่า
ต่อมาตัวเลขคนตายพุ่งจาก 33 ไต่ไปถึง 49 ศพสร้างความแตกตื่นให้กับสังคมแคนาดาอย่างมาก
เมื่อนักสืบลอรี่รู้จำนวนผู้ตายเยอะขนาดนี้ ก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน หลังการจับกุมวิลลี่ มีครอบครัวผู้สูญหายเดินทางมาหาตำรวจหญิงคนนี้แล้วถามว่า นี่คือคนที่เรากำลังตามหาอยู่ใช่ไหม
นักสืบลอรี่จะสบตาผู้สูญเสียแล้วพูดว่า “ชายคนนี้แหละ” ทุกครั้งที่เธอพูดแบบนี้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เธอจะโกรธสุดขีด เพราะหากตอนนั้นตำรวจสามารถจับกุมวิลลี่ได้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1998 ตัวเลขก็คงจะไม่สูงขนาดนี้
เหตุการณ์นี้มีผลกระทบต่อลอรี่อย่างมาก เธอถึงขั้นป่วยเป็นโรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งเป็นผลจากความรุนแรงจากคดีนี้มากระทบจิตใจเธออย่างหนักหน่วง
ความอลหม่านของคดีนักฆ่าฟาร์มหมูยังมีต่อเนื่อง เพราะแม้จะมีดีเอ็นเอหลักฐานหลายอย่างชัดเจน แต่เมื่อขึ้นศาล อัยการกลับดำเนินคดีวิลลี่ในข้อหาฆาตกรรมหญิงสาวได้เพียง 27 รายเท่านั้น แถมหลักฐานที่ชี้ความผิดเขาชัดๆก็มีเพียง 6 รายแค่นั้นเอง แต่นั่นก็เพียงพอให้ศาลตัดสินจำคุกชายคนนี้ตลอดชีวิต โดยจะมีสิทธิ์อุทธรณ์ขอลดโทษ หลังต้องโทษในเรือนจำอย่างน้อย 25 ปี
แม้จะปิดคดีไปได้ แต่ความสยดสยองยังไม่จบเพียงเท่านี้
5.
ที่คุก วิลลี่ดันเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเอง ยาว 144 หน้า โดยมีสำนักพิมพ์ในอเมริกาตีพิมพ์ จนถูกทัวร์ลงถล่มยับเยิน ด่าวิจารณ์จนต้องยุติการขาย เพราะไม่มีใครอยากรับรู้เรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ แถมในหนังสือเขายังอ้างว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าใคร แต่ถูกป้ายสี โดยนักวิจารณ์ยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีค่าทางอรรถรสภาษาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นงานขยะที่ไม่คุ้มค่าแก่การซื้อแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นทนายความของวิลลี่ยังพยายามอุทธรณ์ แต่ศาลยังยืนกรานคำตัดสินนั้นอยู่เหมือนเดิม
เพื่อนบ้านที่รู้ข่าวต่างช็อก ในเวลาต่อมาพวกเขาพบว่าหมูสับที่วิลลี่เอาให้กินแล้วรสชาติอร่อยนั้น มันมีส่วนผสมของเนื้อคนที่วิลลี่ฆ่าและชำแหละ เอามายัดใส่ผสมกับหมูสับไปด้วย เรียกได้ว่าทำเอาเพื่อนบ้านหลายคนแทบอ้วกแตกไปตามๆ กัน
แม้วิลลี่จะอ้างตัวว่าบริสุทธิ์ แต่มันมีหลักฐานชิ้นเด็ด เกิดจากนักสืบนอกเครื่องแบบที่ปลอมตัวไปเป็นเพื่อนร่วมห้องขังเพื่อหาว่าเขาฆ่าไปกี่ศพกันแน่
และคำรับสารภาพของเขาก็สร้างความสยดสยองยิ่งกว่าเดิม เมื่อวิลลี่บอกกับนักสืบว่า ตัวเลขน่าจะสูงกว่า 49 รายแน่ เผลอๆ อาจจะสูงเป็น 2 เท่าด้วย
จากนั้นเขาได้เล่าว่าตอนที่รู้ข่าวตัวเลขจากทางการว่าเขาสังหารเหยื่อไป 49 รายนั้น ตัวเขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ที่มันไม่ถึง 50 ศพ ซึ่งถือเป็นสถิติที่เรียกว่า Big Five-O หากตัวเลขทางการเขาแตะ 50 ศพ มันจะทำให้เขากลายเป็นตำนานเทียบกับฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดจากอเมริกาทันที
คำพูดของเขานี่เองที่ทำให้สังคมรับไม่ได้เป็นอย่างมาก และกรมตำรวจก็ถูกวิจารณ์ว่าทำไมปล่อยให้คนแบบนี้ลอยนวลอยู่ได้ตั้งนาน แม้จะมีการยอมรับผิดจากเจ้าหน้าที่ในเรื่องความบกพร่องที่ควรจะจับฆาตกรต่อเนื่องได้เร็วกว่านี้ แต่ครอบครัวผู้สูญเสียและสังคมไม่เคยให้อภัยตำรวจ กับอคติและความเลินเล่อ ที่ส่งผลให้มีคนถูกวิลลี่ฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
จนกลายเป็นฝันร้ายของสังคมแคนาดามาถึงทุกวันนี้
สำหรับนักสืบลอรี่นั้น หลังคดีนี้ เธอตัดสินใจลาออกจากตำรวจ และหลายปีผันผ่านก็ได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของวิลลี่เพื่อชี้ให้เห็นว่า การที่ตำรวจทำงานสะเพร่าและบกพร่อง มันสร้างความเสียหายอะไรบ้างกับคดีนี้
ลอรี่เผยว่าตอนรู้ข่าวการจับวิลลี่ครั้งแรก ใจเธอคิดทันทีว่า มีผู้หญิงมากมายแค่ไหนที่ถูกฆ่าในช่วงเวลานั้น ซึ่งยิ่งทำให้เธอช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง
“เราควรจะหยุดเขาได้ในตอนนั้น แต่เราไม่สามารถทำได้ และถึงทำได้ เราก็ดันไม่ได้ทำ”
ข้อมูลอ้างอิง