สวัสดี หลังจากหายไปสัปดาห์นึงเพราะวุ่นๆ เรื่องย้ายบ้านครับ ซึ่งก็จัดว่าเป็นการย้ายบ้านที่ฉิวเฉียดมากๆ เพราะหลังจากแพลนวันและตกลงกับบริษัทย้ายบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็กลายเป็นว่า เจ้าไต้ฝุ่นเบอร์ 19 ฮากิบิส ก็บุกเข้าแผ่นดินญี่ปุ่น แถมดันได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ฟังสื่อไทยแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าอีกไม่นาน แผ่นดินญี่ปุ่นจะหายไปทั้งยวง มีแต่คนติดต่อมาว่าจะเป็นไง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีแค่ส่วนหนึ่ง
อย่างฝั่งบ้านภรรยาผมก็แค่เจอฝนตกหนักและลมแรงนิดนึง ส่วนพื้นที่ที่โดนหนักก็หนักจริง หลายที่เล่นเอาเละไปเลย และถึงเขาจะเตรียมการดีระดับหนึ่ง (ผมพูดตรงๆ ว่าผมคิดว่าแค่ระดับหนึ่ง เพราะดูการเตรียมพร้อมในการแจ้งข่าวของรัฐยังช้ากว่าที่ควรเป็น เมื่อเจอกับไต้ฝุ่นขนาดนี้) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังมีคนเสียชีวิตหลายสิบคนจนได้ แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ฟ้าหลังฝนของการช่วยเหลือกันหลังเจอภัยพิบัติมาคอยปลอบโยนสังคมได้บ้าง
แต่ที่เป็นประเด็นร้อนในสังคมญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์นี้ก็คือ เรื่องของเจ้าหน้าที่ศูนย์หลบภัยของเขตไทโตที่ปฏิเสธไม่ให้คนไร้บ้าน หรือโฮมเลส เข้าลี้ภัยในศูนย์ลี้ภัย
โดยให้เหตุผลว่าเพราะไม่ได้มีที่อยู่ในเขต จึงไม่สามารถให้เข้ามาลี้ภัยได้
ก่อนอื่นก็คงต้องอธิบายก่อนว่า ระบบการบริหารจัดการของญี่ปุ่นเขาให้อำนาจท้องถิ่นจัดการตัวเองเป็นอย่างดีระดับหนึ่งเลยครับ และแต่ละเขตก็จะมีการจัดการบริหารเรื่องการดูแลความปลอดภัยของคนในพื้นที่ของเขาเอง เช่น แจ้งให้ทราบว่ามีจุดลี้ภัยที่ไหนบ้าง เกิดอะไรต้องติดต่อเบอร์ไหน พื้นที่ไหนมีความเสี่ยงอย่างไร ข้อมูลพวกนี้หาในพื้นที่ได้หมดนั่นล่ะครับ
ดังนั้น การอ้างว่าให้คนไร้บ้านเขาลี้ภัยไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนในท้องที่ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นเหตุเป็นผลดี และก็มีชาวเน็ตหลายต่อหลายคนเห็นด้วย เพราะมองว่า คนไร้บ้านไม่ได้จ่ายภาษีทำประโยชน์อะไร แต่เวลาแบบนี้แล้วอยากจะมาใช้สิทธิ์ใช้บริการของทางการ แถมหลายคนก็บอกว่า ใครจะอยากทนลี้ภัยกับคนไร้บ้านตัวเหม็น แค่ลี้ภัยเฉยๆ ก็ลำบากจะแย่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไปคงนอนไม่หลับ
แต่ในทางกลับกัน เสียงติเตียนเจ้าหน้าที่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน หลายคนก็บอกว่าลืมความเป็นคนไปแล้วเหรอ ทำไมกล้าปล่อยให้คนไปเผชิญความตายเอง สุดท้ายก็กลายเป็นว่า ทางศูนย์และเขตต้องออกมาขอโทษ และถึงขนาดที่นายกฯ อาเบะยังพูดเรื่องนี้ในสภาโดยบอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะไม่ว่าจะอย่างไร การรักษาชีวิตก็ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
คิดดูสิครับ ขนาดนายกฯ ยังต้องออกมาพูดเรื่องนี้ในสภา ถือว่าเป็นประเด็นใหญ่เอาเรื่อง และขณะที่เขียนอยู่ ไต้ฝุ่นลูกที่ 22 ก็มีโอกาสจะเข้ามาทำความเสียหายให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบซ้ำอีกครั้ง รอบนี้ไม่รู้จะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่คิดว่าหลายต่อหลายที่คงไม่กล้าเสี่ยงเท่าไหร่ครับ
ประเด็นสำคัญคือ การรักษาชีวิตของประชากร
เป็นเรื่องสำคัญที่สุดนั่นล่ะครับ
สิ่งที่เรื่องนี้สะท้อนได้ดีมากๆ คือ คนไร้บ้านยังถือเป็นประชากรหรือไม่ เพราะเท่าที่ดูความเห็นสนับสุนเจ้าหน้าที่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้มีค่าเท่ากับคนที่เป็นประชากรเต็มตัวเลย จนน่าคิดว่า สำหรับคนเหล่านี้แล้ว ถ้าไม่ได้เสียภาษีแล้วก็ไม่มีค่าจะมีชีวิตอยู่เลยเหรอ เอาเข้าจริงๆ เจ้าหน้าที่คนที่ว่าก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่ต้องการปัดปัญหาให้พ้นจากตัวเอง โดยไม่ได้คิดว่าคนไร้บ้านจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาต้องการส่งคนไร้บ้านไปตายหรอกครับ แต่เขาอาจจะแค่คิดว่า ไม่อยากต้องรับภาระปัญหานี้เท่านั้น โดยไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
ผมไปอ่านเจอความเห็นของคนที่พูดถึงรายการเล่าข่าวเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่าช่วงที่มีไต้ฝุ่นเข้าแบบนี้ แล้วมีคนไปถ่ายคลิปตอนที่คนไร้บ้าน เจอลมพัดเอาเพิงที่ทำจากเศษไม้และแผ่นป้ายกับผ้าไวนิล พร้อมจะปลิวได้ทุกเมื่อ โดยที่คนไร้บ้านคนนั้นก็พยายามเต็มที่ที่จะยึดเพิงของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ปลิว ซึ่งเจ้าตัวเองก็พยายามอย่างยากลำบาก ซึ่งคลิปที่ว่าก็เรียกเสียงฮาในห้องส่งได้เป็นอย่างดี แต่คนเขียนรู้สึกว่าทำไมความยากลำบากในการใช้ชีวิตของคนไร้บ้านถึงเป็นเรื่องน่าขำขันได้ และทำให้คิดว่า เพราะเป็นคนไร้บ้านเลยเป็นเรื่องที่ขำได้รึเปล่า (ลองเป็นคนธรรมดาพยุงบ้านตัวเองจะขำไหม) และพอเจอข่าวรอบนี้ก็ทำให้ความรู้สึกนี้กลับมาอีกครั้ง
ฟังดูก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พอเป็นคนไร้บ้านแล้ว
ก็กลายเป็นว่าไม่มีค่าอะไร
ทั้งๆ ที่หลายคนก็ไม่ได้อยากเป็นคนไร้บ้าน แต่ต้องมาเจอสภาพนี้ เพราะหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ หรือบางคนก็ไม่สามารถทำงานที่เคยทำได้ จนไม่มีรายรับและต้องมาเป็นคนไร้บ้าน หลายคนเคยเป็นช่างไม้ หรือทำงานแบบลูกจ้างรายวันมาก่อน แต่พอมีปัญหาเจ็บป่วย หรือแก่เกินไป ก็สูญเสียงาน จนสุดท้ายก็กลายมาเป็นคนไร้บ้าน พูดอีกอย่างก็จะบอกว่าเป็นเพราะสภาพสังคมขาด safety net ใครที่หลุดขบวนแล้วก็กลับเข้ามาได้ยาก คนไร้บ้านหลายคนก็ประสบปัญหาแบบนี้ก่อนจะกลายมาเป็นคนไร้บ้านนี่ล่ะครับ แต่กลายเป็นว่าถูกมองว่าเป็นภาระสังคมโดยทันที และไม่มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่ในสายตาหลายต่อหลายคน
ซึ่งก็มีสื่อสนใจประเด็นนี้ ไปสัมภาษณ์คนไร้บ้านหลายคนเหมือนกัน ที่น่าเศร้าคือ หลังจากไต้ฝุ่นผ่านไป เมื่อดูสภาพศพผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ก็คาดว่าน่าจะเป็นคนไร้บ้านนั่นเอง และคนไร้บ้านที่รอดชีวิตมาได้หลายคนก็บอกว่า เลิกหวังพึ่งทางการไปนานแล้ว เพราะพวกเขามักถูกเหยียดอยู่เสมอ จนไม่อยากจะไปขอความช่วยเหลือ และพวกเขาเองก็รู้ตัวว่าสังคมส่วนใหญ่มองพวกเขาอย่างไร
ที่อ่านแล้วค่อยคิดได้ว่า สถานการณ์ของพวกเขาต่างออกไปอย่างไร ก็คงเรื่องการรับรู้ข้อมูลนั่นล่ะครับ พวกเราเองก็มีแหล่งข้อมูลมากมาย ทั้งสื่อโซเชียล ทั้งโทรทัศน์ที่คอยรายงานสดตลอด แต่สำหรับคนไร้บ้านแล้ว การเข้าถึงข้อมูลนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ ครับ ส่วนมากก็หวังพึ่งได้แค่วิทยุที่ก็ไม่ได้มีกันทุกคน เพราะคนไร้บ้านหลายคนก็ไม่ได้คิดว่าการรับข้อมูลข่าวสารประจำวันมีความจำเป็นอะไรนักหนา
บางคนก็คอยอาศัยอ่านหนังสือพิมพ์ที่คนทิ้งแล้วอีกที
ดังนั้นไม่แปลกเลยว่า กว่าพวกเขาจะรู้ถึงความน่ากลัวของไต้ฝุ่นรอบนี้ อันตรายก็เข้ามาใกล้ตัวมากแล้ว จนไม่รู้จะเตรียมตัวอย่างไร ที่ที่เคยซุกตัวหนีได้เช่นร้านรวงหรือห้องสมุดสาธารณะก็ปิดให้บริการ ทำให้มีบางคนพยายามพึ่งศูนย์ลี้ภัยนั่นล่ะครับ แต่หลายต่อหลายคนก็พยายามหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ขนของหนีเท่าที่จะทำได้ บางคนก็ปีนขึ้นบนเพิ่งของตัวเอง หลายคนก็อาศัยห้องน้ำสาธารณะเป็นที่พึ่ง เพราะอย่างน้อยก็แข็งแรงระดับนึง
ซึ่งก็ตามที่บอกไปนั่นล่ะครับ ส่วนหนึ่งของผู้เสียชีวิตก็คงเป็นชาวไร้บ้านเหล่านี้ล่ะครับ พอนักข่าวไปถามคนไร้บ้าน เขาก็บอกไม่ได้ว่าใครหายไปอย่างไรบ้าง เพราะส่วนใหญ่ก็อยู่กันแบบหลวมๆ บางคนไม่รู้ชื่อกันด้วยซ้ำ (เหมือนธรรมเนียมของชาวไร้บ้าน) แต่พอรู้ว่าคนพวกเดียวกันเสียชีวิตก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาก เพราะของที่มีติดตัวส่วนใหญ่หายไปกับไต้ฝุ่น ซึ่งหลังจากไต้ฝุ่นรอบนี้ อุณหภูมิญี่ปุ่นก็ลดลงเข้าฤดูใบไม้ร่วงพอดี อากาศเลยหนาวอย่างรู้สึกได้ ทำให้พวกเขาต้องเร่งหาอุปกรณ์มาช่วยยังชีพให้พ้นภัยอากาศหนาวที่มีแต่จะหนาวลงไปเรื่อยๆ อีกด้วย
บ้างครั้ง ถ้าเราลองพยายามมองในมุมมองของคนอื่นบ้าง ก็อาจจะเข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไมคนนั้น คนนี้เขาถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น และอาจจะเห็นใจเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้น แทนที่จะคอยพิมพ์ข้อความสาปส่งไล่เขาไปตายโดยไม่ได้คิดว่าคนๆ นั้นต้องเจออะไรมาบ้าง การหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กัน ก็อาจจะช่วยลดทอนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้บ้างครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก