1. บ่ายของวันที่ 22 มกราคม 2008 ร่างของฮีธ เลดเจอร์ถูกพบอยู่บนเตียงในอพาร์ทเมนต์ของเขาในย่านโซโห แมนฮัตตัน ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นโลกก็ได้รับรู้ว่าดาราหนุ่มมากความสามารถได้จากโลกนี้ไปแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นหลายเดือนก่อนภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight ซึ่งเลดเจอร์รับบทเดอะโจ๊กเกอร์จะเข้าฉาย บทบาทที่กล่าวได้ว่าท้าทายที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา เลดเจอร์จากไปก่อนจะได้รู้ว่าเขาจะได้รับเสียงปรบมือกึกก้องหลังจากที่หนังจบ เขาจากไปโดยไม่ทันจะได้รู้ว่าตัวเองจะสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ จากไปโดยไม่แม้แต่จะได้รู้ว่าบทบาทการแสดงเกือบท้ายๆ ของเขานี้จะกลายเป็นตำนานและยังคงถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุด
2. หลังจากการกระดกยาเกินจำนวน ชื่อของ ฮีธ เลดเจอร์ ก็คล้ายจะถูกจดจำในฐานะนักแสดงมากฝีมือผู้จากไปทั้งที่อายุยังน้อย และแม้ว่าตลอดชีวิตการแสดงของเขาจะไม่ถึงกับฝากผลงานไว้เยอะนัก หากแต่ละบทบาทที่เขาเลือกก็ล้วนมีเอกลักษณ์ และเป็นที่ถูกกล่าวถึงในทุกบทบาท ซึ่งสารคดีเรื่อง I Am Heath Ledger ที่ผมยกมาในอาทิตย์นี้ก็คือการพาเราย้อนกลับไปทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมาของนักแสดงมากฝีมือคนนี้ รับฟังคำบอกเล่าจากคนใกล้ตัวถึงวีรกรรมและวิถีชีวิตของเลดเจอร์ว่าเป็นอย่างไร บอกเล่าตามลำดับบทบาทการแสดงที่เลดเจอร์ได้รับ ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการ และการเติบโตของนักแสดงคนนี้ไปในเวลาเดียวกันครับ
ฟังดูอาจเหมือนสารคดีธรรมดา ที่อาศัยการสัมภาษณ์คนใกล้ตัว มาประกอบกับภาพชีวิตที่ตัดสลับกันไปนะครับ ทว่าความโดดเด่นหนึ่งของสารคดีเรื่องนี้คือฟุตเทจที่หนังนำมาใช้นั้น กว่าครึ่งเรื่องคือฟุตเทจส่วนตัวที่ถ่ายจากกล้องวิดีโอส่วนตัวของเลดเจอร์เอง ผ่านโมงยามส่วนตัวที่เขาบันทึกตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างคล้ายจะไร้จุดประสงค์ บางครั้งเขาก็หมุนกล้องเร็วๆ รอบตัว บางครั้งเขาก็สมมติเหตุการณ์หนึ่งๆ ขึ้นมา และจำลองว่าหากเขาเป็นตัวละครในโลกนั้นๆ แล้วจะเป็นเช่นไร ฟุตเทจเฉพาะตัวเหล่านี้ในทางหนึ่งก็เผยให้เห็นอีกด้านที่เราไม่เคยเห็นจากเลดเจอร์ มันพาเราไปสังเกตเขาในพื้นที่ส่วนตัวที่เขาได้เป็นตัวของเขาเอง และเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเช่นพวกเราทั่วไป หาใช่ดาราใหญ่ที่กำลังสวมบทบาทอยู่หน้ากล้อง ตรงนี้เองที่ทำให้สารคดีชิ้นนี้พิเศษจากความเป็นส่วนตัวที่ถูกเปิดเผยให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา และมันก็ได้ช่วยให้เรารู้สึกว่าได้อภิสิทธิ์ในการได้มีส่วนรับรู้ในชีวิตแต่ละวันของฮีท เลดเจอร์ประหนึ่งเพื่อนสนิทของเขา หรือก็คือ สารคดีได้ทลายกรอบความเป็นดาราของเลดเจอร์ทิ้งไปได้อย่างน่าชื่นชม
ซึ่งความเปลือยเปล่าที่มันหลงเหลือไว้ก็คือเลดเจอร์ที่เป็นมนุษย์ปุถุชนเดินดินทั่วๆ ไป แตะต้องสัมผัสได้ราวกับเขาเดินอยู่ใกล้ๆ เรา
หนังแสดงให้เราเห็นว่ากล้องนั้นไม่ต่างอะไรกับอวัยวะชิ้นที่ 33 ของเขา พูดให้ตรงขึ้นคือ เลดเจอร์มักจะหอบหิ้วกล้องไปด้วยไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาจะหยิบมันขึ้นมา เล็งมันที่ภาพตรงหน้า ก่อนจะกดบันทึกโมงยามอันงดงามที่ราวกับมีเพียงเขาที่มองเห็น เพื่อนสนิทหลายคนต่างกล่าวถึงพรสวรรค์ของเลดเจอร์ในเรื่องนี้ว่าเขาเป็นทั้งนักแสดงผู้โดดเด่นตรงหน้ากล้อง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นสายตาเบื้องหลังที่คอยจับจ้องความเป็นไปรอบๆ ตัวด้วยสายตาที่เฉียบคมและช่างสังเกต อีกทั้งเลดเจอร์เองก็ยังเคยกำกับมิวสิควิดีโอเช่นกัน แม้จะเป็นผลงานเล็กๆ แต่ด้วยการทดลองต่างๆ นานา มุมกล้องและการเลือกจัดวางภาพอย่างชำนาญก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขา
3. บทบาทแรกๆ ของเลดเจอร์ที่ถูกกล่าวถึงแน่นอนว่าคือ แพททริค เวโรนา ใน 10 Things I Hate About You แต่จากตัวเอกในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่องนั้นก็ได้ผลักดันให้เลดเจอร์ได้กระโดดเข้าสู่วงการมายาอย่างเต็มตัว เลดเจอร์ได้แสดงในบทที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และจากแรกๆ ที่ผู้กำกับหลายคนเมื่อได้ยินชื่อเขาในฐานะตัวแสดงก็พากันเลิกคิ้ว ตั้งคำถาม หรือไม่ไว้วางใจขึ้นมา ก็ค่อยๆ เห็นที่แรงระเบิดที่นักแสดงหนุ่มรายนี้เก็บกักอยู่ภายใน หลายเสียงกล่าวชื่นชมในความทุ่มเท และการเข้าถึงตัวละครของเขาอย่างที่นักแสดงมืออาชีพหลายๆ คนก็ยังทำไม่ได้ แต่น่าเศร้าที่ในจุดซึ่งเลดเจอร์ทะยานสู่จุดสูงสุดของชีวิตการแสดงจากบทของเดอะโจ๊กเกอร์ ก็น่าเสียดายที่เขาได้จากโลกนี้ไปไม่กี่เดือนหลังจากถ่ายทำเสร็จ
ด้วยความเครียดที่เริ่มรุมเร้า เลดเจอร์พบว่าตัวเขานอนไม่หลับและต้องหันไปพึ่งยาที่แรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ตลอดชีวิตที่ผ่านมา คนใกล้ตัวต่างก็พูดถึงเขาในแง่ของเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า และรักทุกช่วงขณะที่เขาลืมตาตื่น เขาเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ พบปะผู้คนมากมาย เขารักเพื่อนพ้องและครอบครัว หาเวลาที่จะได้อยู่กับพวกเขาเหล่านั้นเสมอ เช่นกับภรรยา (มิเชล วิลเลี่ยม) และมาทิลดา เลดเจอร์ ลูกสาวของเขา และผู้คนที่รายล้อมในชีวิตเขา เขาหวังจะแบ่งปันความสุขที่ได้รับจากการประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงให้กับพวกเขาเหล่านั้นอย่างไม่เคยนึกเสียดาย ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องเศร้าอยู่ดีเมื่อชายหนุ่มผู้มีความสุขกับชีวิตกลับต้องทรมานกับมันเสียเอง ต่อการที่เขาไม่อาจหยุดพักจากการงีบหลับ รวมทั้งความกดดันหลายๆ อย่างที่กลุ้มรุมตัวเขาในชั่วขณะหนึ่งของชีวิต
แน่นอนว่าการจากไปของฮีธ เลดเจอร์เป็นเรื่องเศร้า ทว่าสิ่งที่สารคดีเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นคือความทรงจำของเหล่าผู้คนซึ่งรักเขาจะเลือกที่จะจดจำเอาไว้ ทั้งรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเขาเสมอ พรสวรรค์ในการแสดงอย่างที่หาตัวจับอยาก และความงดงามของการใช้ชีวิตที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้ พวกเขาจะจดจำฮีธ เลดเจอร์ตลอดไป เช่นกันกับที่โลกจะยังคงจดจำนักแสดงหนุ่มมากฝีมือผู้นี้ไว้เรื่อยไปในฐานะของชีวิตอันบริสุทธิ์ งดงาม