หลังจากจบ The Face Thailand SS3 ไปอย่าง…(อย่างอะไรดีล่ะ เพราะมีทั้งความลงตัว ความประดักประเดิด ความพยายามอินเตอร์แข็งกร้าว ดุดัน ขัดขืน สยบยอม และการแอบเล่นเกมส์นอกกฎตามอำเภอใจ เป็นการผสมผสานทั้ง ‘ไทยๆ’ และความพยายามสากล โชว์ ‘มาดอนช่า’ = มาช่า + มาดอนน่า ที่เห่กล่อมระหว่าง final walk SS3 จึงเป็นสัญลักษณ์ความพยายามผสมผสานของรายการ) ก็ต่อเนื่องด้วยออดิชั่นผู้สมัคร The Face Men Thailand เพื่อตอบรับกระแสและโฆษณากันแบบ live ให้ดูกันไปเลย
ถือว่าเป็นเรียลลิตี้ประกวดผู้เข้าแข่งขันกระทาชายครั้งแรก ของ The Face แต่เป็นรายการทีวีที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ในประเทศ ถ้ายังจำกันได้ M Thailand 2005, Thailand’s Perfect Man 2006 ก็ขนผู้หล่อล่ำงานดีเป็นกระบุงมาให้ชมกันแล้ว ซึ่งรายการ Thailand’s Perfect Man ของขุ่นแม่ลูกเกดนี่ ตั้งแต่ ep แรกก็จับหนุ่มๆ มาฝึกทหารที่หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ 1 สัปดาห์กันเลย
เพราะ ‘ความเป็นชาย’ ในสังคมปิตาธิปไตยแบบรักต่างเพศเป็นสิ่งปรกติดีงาม (heteronormative patriarchy) ถูกเชื่อมโยงกับกับสถาบันที่สัมพันธ์กับภาครัฐและความั่นคงเสมอ โดยเฉพาะ ‘ความเป็นชายแบบเจ้าโลก’ ที่เป็นความเป็นชายสมบูรณ์แบบ แน่นอนมันเป็นเพศสภาพชายเชิงอุดมคติ เป็นภาพตัวแทนของผู้ชายงานดีที่ควรจะเป็น บึกบึน แข็งแรง มาดแมน ปกป้องคุ้มภัย (เหมือนที่เชื่อว่าทหารเป็นรั้วของชาติ) หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ชายที่ทรงอิทธิพล ไม่เศรษฐกิจการเมืองก็สังคมวัฒนธรรม
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเกย์ ชายรักเพศเดียวกันไม่เพียงจะเป็นเพศวิถีที่สร้างเสื่อมเสียศักดิ์ศรีความเป็นชาย บ่อนทำลายความแมนอย่างรุนแรง ไม่เป็นลูกผู้ชาย ขาด ‘ความเป็นชาย’ มี ‘ความเป็นหญิง’ ตุ้งติ้ง จริตจะก้าน
ดังนั้นเมื่อเกย์เข้าสมัคร The Face Men จึงดูเหมือนว่ามีจริตเวเน มิสยูนิเวิร์ส เกินกว่าจะประกวดนายแบบที่ทำหน้าที่ภาพตัวแทนผู้ชายในอุดมคติ
ทั้งๆ ที่ The Face ก็เฟ้นหาบุคคลที่ตอบโจทย์ความสามารถหลากหลายของวงการบันเทิง ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ การแสดง และการที่จะเป็นนายแบบนักแสดงก็คือลดทอนความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนที่หลายคนเปรียบเปรยไว้ว่าเป็น ‘ไม้แขวนเสื้อ’ กลายเป็นส่วนหนึ่งของโปรดักต์ที่กำลังพรีเซนต์ สวมคาแรคเตอร์ มีอินเนอร์ และแอททิจูดบางประการตามโจทย์ ไม่ได้สามารถป่าวประกาศตัวตนของตัวเองได้ 100 % อยู่แล้ว ผู้สมัครย่อมรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ก่อนถูกคัดเลือก ที่ชื่อแซ่ของเขาก็กลายเป็นรหัสตัวเลขสามหลัก ยืนเรียงเป็นแผงให้คณะกรรมการจับจ้อง เค้าเรียกจิกเรียกทึ้งอย่างไรก็ต้องยอม เอ่ยให้ทำอะไรก็ต้องได้ ถอดเสื้อ ติดกระดุมคอ เสยผมเปิดหน้าผาก ทำผมเปียก พูดภาษา 3 ภาษา บอกให้ควรนุ่งไม่นุ่งอะไร อย่ากินอะไร ห้ามมัดผม พูดให้ชัด ลดความอ้วน 10 กิโล
ในวงการบันเทิง มันจึงมีนายแบบนางแบบสวมคาแรคเตอร์ข้ามเพศของตัวเองไปพรีเซนต์สินค้าเดินแบบถ่ายแบบ มีดาราชายหญิงบางคนสวมบทตัวละครข้ามเพศตัวเอง กะเทยบางคนเล่นบทชายหญิง หญิงชายบางคนรับบทกะเทย คนรักต่างเพศแสดงบทบาทเป็นคนรักเพศเดียวกัน คนรักเพศเดียวกันก็แอคติ้งเป็นคนรักต่างเพศ กลายเป็นความสามารถทางการแสดงที่ก้าวข้ามเพศตนเอง
แต่กลายเป็นว่าคนที่มีเพศสภาพเพศวิถีที่ไม่ใช่ heteronormative เพศของพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ หากไม่ใช่รักต่างเพศแล้วจะเท่ากับว่าไม่มีความสามารถหรือศักยภาพเพียงพอ ซ้ำยังกลายเป็นคนไม่มีความเป็นมืออาชีพ แยกแยะหน้าที่การงานการแข่งขันกับเรื่องส่วนตัวเช่นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่ออก ขืนได้รับคัดเลือกเข้าไปแข่งขันเข้าบ้านเข้าช่องด้วยกันแล้ว จะกินผู้ๆ ใต้ชายคาเสียหมด เช่นเดียวกันคณะกรรมการคัดสรรเลือกเฟ้นที่คร่ำหวอดวงการบันเทิง แฟชั่น นางแบบนายแบบละเม็งละครมานาน ก็ไม่ได้ถูกมองว่าพวกนางกำลังทำหน้าที่การงาน หากแต่ถูกลดคุณค่าให้กลายเป็นดีลผัว ส่องเด็กหนุ่มกิน ดุลพินิจของพวกเขาและเธอกลายเป็นการสนองความใคร่ความสำราญทางเพศตนเอง ตามมายาคติและอคติที่ว่า คนรักเพศเดียวกันมีความต้องการทางเพศสูงกว่าเพศอื่น หื่นกระหายตลอดเวลา
การเลือกปฏิบัติห้ามเกย์กะเทยเป็นครูบาอาจารย์ เดี๋ยวเด็กเลียนแบบ เดี๋ยวไปกินเด็ก ก็มาจากมายาคติอคติชุดนี้
และต่อให้ผู้เข้าแข่งขันหรือใครในรายการจะกินกันจริงๆ มันก็ไม่ใช่เพราะเพศวิถีของเกย์ แต่เป็นการตกลงปลงใจกันเองระหว่างพวกเขามากกว่า ไม่ใช่เพราะเพศวิถีใดมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่น้อยกว่า หรือมีความต้องการทางเพศมากกว่า
แต่มายาคติต่อคนรักเพศเดียวกันก็ไม่ใช่จากผู้ชมเท่านั้น ในทีมผู้ผลิตเองก็เต็มไปด้วยมายาคติ ทั้งๆ ที่รอบข้างก็เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเพศ ราวกับว่าคนรักเพศเดียวกันเองก็มีมายาคติต่อเพศสภาพเพศวิถีของตนเอง ในรอบออดิชั่น ผู้ชายผมยาวสะโอดสะองแต่งหญิงบ้างแต่งชายบ้าง กลายเป็น “บุคลิกประหลาดดี” สำหรับกรรมการ ไม่ก็เชื่อว่าผู้ชายเจาะหู 2 ข้าง ผู้เกย์เจาะหูข้างเดียว หรือ “พูดจาฉะฉานฟังดูแมนดีมาก” ทว่ารองเท้านั้นไซร้ไม่เข้ากับเพศสภาพก็ต้องถูกตั้งคำถาม
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่พอจะหาหน้าใหม่ป้อนวงการที ก็ไล่ไปประกวดเวทีเฉพาะเพศสภาพ หรือไล่ไปจัดรายการเฉพาะเพศสภาพเพศวิถีกันเอง กลายเป็นรายการ The Face Gay, The Face Lesbian แล้วก็มาค่อนแคะอีกว่าจะวัดกันยังไง ใครเป็นไม่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน เพราะแต่ละเวทีประกวด รายการแข่งขันก็มีอัตลักษณ์ จุดขายและเป้าหมายต่างกัน รายการเรียลลิตีอย่าง RuPaul’s Drag Race ก็แข่งขันหา Drag Queen ผู้ชายที่แต่งหญิง ในเวที Mr Gay World ก็ต่างจาก Mister World และ Miss World ตรงที่กองประกวดเน้นความเท่าเทียม สิทธิของเกย์ในฐานะสิทธิมนุษยชนด้วย
เช่นเดียวกับเทศกาลทางวัฒนธรรมและการแข่งขันกีฬาของ Gay Games หรือ Gay Olympics ก็จัดขึ้นเพื่อแสดงจุดยืนถึงความเท่าเทียมของ LGBTI ไม่เลือกปฏิบัติ เปิดรับทุกคนด้วยความเคารพความหลากหลาย เพราะการฝึกหัดความแข็งแกร่งของร่างกายไม่จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของเพศภาพเพศวิถีใดเท่านั้น และเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ต่อการกดขี่ทางเพศในหตุการณ์ Stonewall Riots ต่างจาก Olympic Games
มันจึงเป็นความท้าทายของรายการเวทีที่ผลิตมาเอาใจเก้งกวาง แต่จะทำอย่างไรที่จะไม่เหยียดในเหยียด ทำให้เก้งกวางผู้ชมรู้สึกเป็นอื่นกับเพศสภาพเพศวิถีตนเอง จะทำอย่างไรที่จะไม่ผลิตซ้ำมายาคติ อคติทางเพศ ไปจนถึงมายาคติชุดอื่นๆ เช่น กัมพูชาเต็มไปด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ วิทยาศาสตร์และความรู้สมัยใหม่ยังเดินทางไปไม่ถึง จนทันทีที่มีผู้สมัครคัดเลือกจากสุรินทร์ พูดเขมรได้ กรรมการก็ต้องไปถามเขาว่าเล่นของมั้ย ยิ่ง The Face Men ด้วยแล้วที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์
เพื่อไม่ให้เหมือนกับ The Face Thailand SS3 เองแม้จะประกาศว่าอ้าแขนเปิดรับสาวประเภทสองคนข้ามเพศเข้าแข่งขัน แต่พอเอาเข้าจริง ก็ยังเที่ยวมาถามผู้สมัครว่านี่ “หญิงจริง” ใช่มั้ยๆ “แปลงเพศมาหรือป่าว” แล้วพอรับเข้ามา ก็มากังวลกันว่าเสียงจะไม่ผ่านเวลาถ่ายโฆษณาเพราะไม่ใช่ผู้หญิง “จริงๆ” เช่นเดียวกับที่ “เสียงเหน่อ” ของผู้สมัครกลายเป็นจุดอ่อนในการแข่งขัน เพราะเอาภาษากรุงเทพเป็นศูนย์กลาง