1.
“ครั้งสุดท้ายที่สตีฟพบแม่ คือตอนเขาอายุ 8 ขวบ แม่กำลังขึ้นรถไฟไปพร้อมน้องสาว 2 คน นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นแห่งความผิดปกติทั้งมวล”
คอนราด ไรท์ (Conrad Wright) เป็นอดีตสารวัตรทหารแห่งกองทัพอากาศของสหราชอาณาจักร ชีวิตเขาเดินทางไปประจำการหลายจุดทั่วโลก หอบหิ้วครอบครัวไปด้วยเสมอ แต่เมื่อเดินทางกลับมาอังกฤษบ้านเกิด ชีวิตสมรสก็ถึงกาลล่มสลาย เกิดการหย่าร้าง ลูกถูกแยกกันเลี้ยง ภรรยาเอาลูกสาวไป ส่วนคอนราดดูแลลูกชาย
เขาแต่งงานใหม่เลี้ยงลูกให้เติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง คอนราดคิดว่าตัวเองคงจะได้พักผ่อนยามแก่อย่างเป็นสุข แต่แล้วในปี ค.ศ.2006 เกิดเหตุหญิงสาวหายตัวไป 5 คน ช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ในเมืองอิปสวิช ประเทศอังกฤษ สร้างความหวาดกลัวให้กับคนจำนวนมาก แม้เหยื่อจะเป็นโสเภณี มีประวัติติดยาเสพติด แต่ผู้หญิงในเมืองก็ต่างอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
ถ้าฆาตกรรายนี้เลิกฆ่าโสเภณีแล้วมาฆ่าผู้หญิงทั่วไปล่ะ ถ้าเขาเข้าใจผิดว่าผู้หญิงที่เลิกงานดึกเป็นโสเภณีแล้วก่อเหตุฆาตกรรมล่ะ
ทั้งเมืองตกอยู่ในความสะพรึง สื่อและสังคมกดดันเจ้าหน้าที่ให้เร่งจับกุมคนร้ายคดีนี้ให้ได้ ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ คอนราดติดตามข่าวความคืบหน้าเหมือนคนในอิปสวิชทุกคน
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็จับกุมคนร้ายได้ ชื่อ สตีฟ ไรท์ (Steve Wright)
มันสร้างความช็อกให้กับคอนราดอย่างมาก นี่คือลูกชายที่เขาเลี้ยงมา แม้ชีวิตจะล้มเหลว แต่คนเป็นพ่อก็ไม่คิดว่า ลูกจะกลายเป็นฆาตกรที่ออกฆ่าหญิงสาวอย่างโหดเหี้ยมไปได้
นี่เป็นภารกิจของคอนราดอีกครั้ง หลังผ่านภารกิจในกองทัพมานับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นภารกิจที่หนักหนาสาหัสมาก นั่นก็คือการยอมรับและต้องอยู่กับความจริงที่ว่า ลูกชายที่เขาเลี้ยงมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
2.
สตีฟ ไรท์เกิดที่อังกฤษ มีชีวิตติดตามครอบครัวไปทั่วโลก เนื่องจากพ่อต้องประจำการสารวัตรทหารประจำฐานทัพของอังกฤษ เพียงแค่ 8 ขวบ สตีฟก็ได้เห็นแม่แยกจากหย่าร้างกับพ่อ เขาไม่เคยพบแม่อีกเป็นเวลา 25 ปี พ่อแต่งงานใหม่ ชีวิตของสตีฟเติบโตมาแล้วล้มเหลว เขาเรียนไม่จบ แต่งงาน 2 ครั้งก็จบลงที่การหย่าร้างทั้ง 2 ครั้ง มีลูกที่ไม่ค่อยได้พบหน้าบ่อยครั้ง
หลังออกจากโรงเรียน สตีฟไปทำงานในเรือพาณิชย์ และทำงานหลายอย่าง แต่ก็ไม่เคยยั่งยืน เขาใช้ชีวิตวัยหนุ่มเหมือนวัยเด็ก นั่นคือเร่ร่อนพเนจรโดดเดี่ยวไปหลายที่
การหย่าร้างและความรักที่ล้มเหลวทำให้เขาหันเหตัวเองเข้าหาโสเภณี ทำงานก็เป็นหนี้เพราะติดพนัน เคยโดนข้อหาลักทรัพย์ขณะอยู่ร้านเหล้า จนต้องเข้ารับการให้บริการสังคม 1 พันชั่วโมง ซึ่งทำให้ตำรวจมีรายละเอียดฐานเกี่ยวกับตัวเขา ณ ตอนนั้น
แม่ของสตีฟย้ายไปอยู่อเมริกา ในมุมมองของเธอคือ ชีวิตสมรสมันจบลงอย่างเศร้าสร้อยและพอกันที ดูเหมือนคอนราดจะเลี้ยงลูกด้วยระบบกองทัพ มันทำให้ลูกกลัวพ่ออย่างมาก โดยเฉพาะสตีฟ แม้ตัวแม่จะอยากได้ลูกไปเลี้ยงดู แต่ก็ไม่สามารถทำได้
ผ่านไป 25 ปีเธอมีโอกาสได้พบสตีฟอีกครั้ง หลังบินจากอเมริกามาเยี่ยมลูก แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะแย่ลงมาก ลูกชายสุดที่รักเวลาเมาจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าแม่ แต่เวลาไม่เมา เขาจะเป็นอีกคนที่ดูสุภาพเรียบร้อย เมื่อเธอต้องกลับอเมริกา ดูเหมือนลูกชายจะซึมลงไปอย่างมาก และไม่เคยกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อแม่จากไปเป็นครั้งที่ 2
สตีฟดำดิ่งสู่โลกแห่งการพนัน มีเซ็กส์กับโสเภณี
ทุกอย่างผุพัง หนี้สินพอกพูน
สภาพจิตใจสตีฟย่ำแย่อย่างมาก เขาพยายามฆ่าตัวตาย 2 ครั้ง ครั้งแรกด้วยการรมแก๊สตัวเอง แต่มีคนมาพบก่อนจึงถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล พอหายดีแล้ว สตีฟเดินทางไปอยู่ประเทศไทย เขาซื้อ (โสเภณี) กินอย่างสนุกสนานที่พัทยา คบหากับหญิงคนไทย ถึงขั้นแต่งงานกัน และจบลงด้วยการถูกหลอก ความรักผุพังอีกครั้ง ทรัพย์สินหลายอย่างถูกปรนเปรอให้ สตีฟเป็นหนี้ถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ความรักที่ไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม กลายเป็นบาดแผลสุดปวดร้าว ดูเหมือนรอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่ชายหนุ่มมีให้กับน้องและเพื่อนฝูงจะสูญหายไป ความเครียดเกาะกุม เขากลับมาอังกฤษด้วยความชอกช้ำ 10 อาทิตย์หลังกลับจากไทย ชายหนุ่มตัดสินใจกินยาเกินขนาดหวังฆ่าตัวตาย
แต่ก็มีคนมาพบเสียก่อน
ในที่สุดเขาถูกส่งไปรักษาจนหายดีแล้ว ก่อนกลับมาอยู่กับครอบครัวของพ่อที่เมืองอิปสวิช หลังพเนจรไปเกือบครึ่งค่อนโลก สตีฟก็พบเจอคนรักใหม่และคบหาดูใจ ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติ เขาหางานทำเป็นคนขับรถบรรทุกขนสินค้า ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น ชีวิตที่แหลกสลายกำลังถูกกอบกู้ขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย
อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่สตีฟไม่เคยเลิกเด็ดขาด นั่นก็คือการซื้อบริการโสเภณี
3.
เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งหญิงสาวหายตัวไปในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2006 ขณะที่กำลังตามหาตัวหญิงสาวรายนี้ พวกเขาก็ได้รับแจ้งการหายตัวไปของหญิงสาวคนที่ 2 คนที่ 3 คนที่ 4 คนที่ 5 ในช่วงการรับแจ้งนี้ พวกเขาพบศพหญิงสาวที่หายตัวไปตามที่ห่างไกล พวกหล่อนล้วนเปลือย ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ร่างเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว
เมื่อตำรวจสืบสวนก็พบความเชื่อมโยงของทั้ง 5 ศพเข้าด้วยกัน นั่นก็คือทุกรายเป็นโสเภณีเหมือนกันหมด มีประวัติติดยา มีชีวิตเหลวแหลก แต่ในฐานะมนุษย์ ทุกคนมีครอบครัว เป็นแม่ของใครสักคน เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานดีเอ็นเอทุกอย่างไว้อย่างเป็นระบบเผื่อต้องใช้ในอนาคต
หลังการเก็บหลักฐาน ก็มาถึงงานสืบสวน เจ้าหน้าที่ลองนำดีเอ็นเอที่พบในศพ มาเทียบเคียงกับดีเอ็นเอของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อน ตรงนี้ใช้เวลานานมาก แต่เจ้าหน้าที่คิดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเคยทำผิดอะไรมาบ้างจนมีประวัติให้เทียบเคียงก่อนที่จะมุ่งไปประเด็นอื่น
ในที่สุดพวกเขาก็พบว่า ดีเอ็นเอของสตีฟไปปรากฏอยู่ในร่างผู้เสียชีวิต แต่ตรงนี้ยังไม่เพียงพอ เพราะสตีฟอาจอ้างได้ว่าเขามีอะไรกับโสเภณีเหล่านี้ ตำรวจจึงทำการขยายผลการสืบสวน แบ่งทีมพุ่งเป้าไปที่ชายคนนี้ทันที
พวกเขาพบว่าสตีฟเป็นบุคคลที่อยู่กับผู้เสียชีวิตหลายรายเป็นคนสุดท้าย เมื่อตรวจสอบรถยนต์ของสตีฟ ตำรวจพบคราบเลือดที่ตรงกับเลือดของคนตาย แถมยังพบเส้นใยพรมของบ้านสตีฟซึ่งปรากฏอยู่ที่ผมของคนตายด้วย
ถึงจุดนี้ตำรวจเชื่อว่า การที่สตีฟมีอะไรกับหญิงสาวแล้วฆาตกรรม เขาไม่ได้พาศพไปทิ้งทันที หลายครั้งเขาเลือกทำลายศพ ดองให้มันเน่า ก่อนเอาไปทิ้งน้ำ เพื่อให้หลักฐานถูกทำลาย แต่เพราะนวัตกรรมของดีเอ็นเอ มันจึงไม่สามารถชะล้างหลักฐานได้หมด
เมื่อมั่นใจในหลักฐานแล้ว ตำรวจจึงขออำนาจศาลออกหมายจับก่อนคุมตัวสตีฟในทันที เมื่อข่าวการจับกุมปรากฏออกไป คนทั่วทั้งเมืองอิปสวิชต่างโล่งอก
ยกเว้นเพียงคอนราด
ที่อยู่ในอาการตกตะลึง
4.
ตลอดการสอบสวน สตีฟไม่เคยให้การรับสารภาพในความผิดนี้ เขาอ้างว่าที่ดีเอ็นเอของเขาปรากฏอยู่ในร่างศพเป็นเรื่องบังเอิญ เขายอมรับว่าชอบใช้บริการโสเภณี เขาลุ่มหลงในเรื่องพวกนี้ แต่เขาไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องอย่างแน่นอน
แต่ดีเอ็นเอไม่เคยหลอกใคร หากเก็บหลักฐานอย่างถูกต้อง ก็ยากจะหักล้างได้ ตำรวจพบว่าเส้นทางที่ศพทั้ง 5 ถูกนำไปทิ้งไว้นั้น เป็นเส้นทางที่สตีฟมักจะขับรถบรรทุกผ่านเป็นประจำ
การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะมีดีเอ็นเอเป็นหลักฐานเด็ด ในที่สุดลูกขุนก็ตัดสินให้สตีฟต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้เขาจะไม่เคยรับสารภาพ ไม่เคยเล่าว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุคืออะไร
แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ก็เพียงพอต่อการลงโทษ
มันเปิดปากพูดแทนความคิดของผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด
ปัจจุบันนี้ เจ้าหน้าที่ไม่เคยเชื่อว่าสตีฟจะก่อเหตุฆาตกรรมผู้หญิงแค่ 5 รายเท่านั้น อาจจะมีเหยื่อถูกฆ่ามากกว่านี้ แต่การสืบสวนก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ดังนั้นตามสถิติที่บันทึกไว้ สตีฟ ไรท์จึงฆ่าคนรวม 5 ศพด้วยกัน โดยใช้เวลาก่อเหตุเพียงแค่ 6 อาทิตย์ กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้นมาก
หลังการจับกุมสตีฟ โสเภณีรายหนึ่งออกมาเล่าว่า เธอคือขาประจำคนหนึ่งที่สตีฟชอบใช้บริการ ครั้งล่าสุดคือได้ไปมีอะไรกันที่บ้านของเขา 3 วันหลังจากตำรวจพบศพเหยื่อรายที่ 5 เธอเล่าว่า สตีฟก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไปที่ชอบซื้อกิน ก็คือพวกเราโสเภณีรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่กับเขา
อย่างไรก็ดีในคืนนั้น ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป เขามีท่าทางน่ากลัวมาก เพราะชายหนุ่มจับเธอกระแทกตรึงไว้ ก่อนลงมือปฏิบัติกามกิจอย่างน่าขนลุก ซึ่งเขาไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน มันทำให้เธอรู้สึกสยองมาก เพราะนั่นเหมือนไม่ใช่เขาเลย
จนเมื่อเธอได้อ่านข่าวสตีฟถูกจับ หญิงสาวก็ถึงกับช็อก เพราะเธอเกือบกลายเป็นเหยื่อรายที่ 6 ของสตีฟไปแล้ว แต่เพราะอะไรไม่ทราบ เขากลับปล่อยให้เธอมีชีวิตรอดออกไปได้ ไม่เหมือนโสเภณีขาประจำทั้ง 5 คนที่จบลงด้วยความตาย
“พระเจ้าช่วย ฉันอยู่ในบ้านของสตีฟ ซึ่งเขาสามารถทำอะไรกับฉันก็ได้ ตอนเกิดคดีนี้ ฉันก็คิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนต่างชาติหรือพวกวิตถารมากกว่า”
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นสตีฟ
5.
เมื่อติดคุก สตีฟเขียนจดหมายถึงคอนราดผู้เป็นพ่อหลายฉบับ มีฉบับหนึ่งเขาโทษว่า ที่ต้องมาติดคุกแบบนี้ก็เพราะการกดขี่รังแกของพ่อ ตอนเขายังเป็นเด็ก แต่สตีฟไม่เคยพูดถึงการฆาตกรรมแม้แต่น้อย เขาไม่เคยรับสารภาพว่าตัวเองฆ่าผู้หญิงเหล่านี้แม้แต่คำเดียว
ถึงวันนี้ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่าทำไมสตีฟถึงต้องฆ่าหญิงสาวด้วย
แต่สำหรับคอนราดแล้ว คดีนี้ทำให้เขาตกใจเป็นอยางมาก สิ่งเดียวที่คอนราดเลือกทำ ในวัยเฉียด 80 ปี นั่นก็คือการลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความจริง ในฐานะอดีตนักรบเพื่อปกป้องประเทศ มันถึงเวลาที่จะต้องออกมายอมรับความปวดร้าวนี้ เขาต้องอาศัยความกล้าหาญอีกครั้งในวัยชรา
คอนราดเลือกให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน บอกเล่าชีวิตวัยเยาว์ของสตีฟ เขาเล่าถึงบาดแผลตอนเด็กที่ส่งผลให้ลูกกลายเป็นแบบนี้ ตัวเขาไม่เคยเชื่อว่าลูกจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สร้างความหวาดกลัวในสังคมได้ แต่เมื่อมันเกิดไปแล้วก็ต้องยอมรับมัน
วิธีการคอนราด เป็นเหมือนการเยียวยาสังคม เขาอาจเลี้ยงลูกผิดพลาด แต่ก็ไม่ใช่ลูกทุกคนจะเป็นแบบนี้ เขาอาจไม่ใช่พ่อที่ดี แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปได้ การกระทำของคอนราดทำให้สังคมเหมือนได้รับการชะล้างบาดแผลที่เจ็บปวด มันช่วยให้อย่างน้อยครอบครัวและญาติมิตรคนตายก็สามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดไปได้
ในฐานะพ่อ นี่คือหน้าที่หนึ่ง กับการแบกรับภาระ และไม่ใช่พ่อทุกคนที่จะต้องเจอสถานการณ์แบบนี้เหมือนคอนราด เขาอาจทำเพื่อครอบครัวคนตาย อาจทำเพื่อสังคม หรืออาจทำเพื่อตัวสตีฟเองก็เป็นได้
สุดท้ายมันก็เหมือนบาดแผลความทรงจำสุดเลวร้ายที่เขาต้องแบกรับมันไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ “คุณไม่สามารถปิดสวิตช์เรื่องนี้แล้วไม่กังวลกับมันได้หรอก”
คอนราดบอกว่า เขารู้จักหนึ่งในครอบครัวเหยื่อที่ถูกสตีฟฆ่าด้วย ซึ่งสุดท้ายแม้พวกเขาเหล่านี้จะให้อภัยสตีฟ แต่สำหรับตัวคอนราดแล้ว เขาไม่มีทางที่จะให้อภัยลูกได้
คอนราดย้ำกับสื่อว่า เขาจะไม่มีวันให้อภัยต่อสิ่งที่ลูกทำกับเหยื่อเป็นอันขาด
“ไม่มีมนุษย์คนใดมีสิทธิ์ที่จะพรากชีวิตคนทั้ง 5 ไปได้ ที่สำคัญคือมันไม่ใช่เพียงแค่ 5 ชีวิตเท่านั้นที่ถูกพรากไป แต่ยังมีพ่อแม่ของเหยื่อและลูกของพวกเขารวมอยู่ในนั้นด้วย”
ข้อมูลอ้างอิง