1.
16 มีนาคม ค.ศ.1978 ขณะที่รถของนายอัลโด โมโร (Aldo Moro) อดีตนายกรัฐมนตรีและนักการเมืองทรงอิทธิพลกำลังออกจากบ้านพักในกรุงโรม อิตาลีเพื่อมุ่งหน้าไปประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยเขาไม่รู้ตัวเลยว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบแห่งชีวิต
กลุ่มคนร้ายวางแผนเป็นอย่างดี พวกเขาสอดแนมบ้านพักของโมโร คนขายดอกไม้ที่อยู่ใกล้กับบ้านพักถูกกำจัดเพื่อไม่ให้เป็นพยานในเวลาต่อมา ขณะที่โมโรออกจากโบสถ์ที่ไปประจำตอนเก้าโมงเช้า รถของเขามีทีมคุ้นกันเป็นตำรวจพลร่มเป็นพลขับ โดยมีรถคันหลังมีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอีก 4 นายขับตาม โมโรนั่งอยู่ด้านหลังรถทางซ้าย รถเคลื่อนไปถึงซอยแคบ ก็มีรถยนต์ซึ่งคนร้ายขโมยมาจากสถานทูตเวเนซูเอลาขับมาดักหน้า ทำให้รถของโมโรชนท้ายเข้าอย่างจัง
เสี้ยววินาทีนั้น กลุ่มคนร้ายถือปืนที่ใช้ในยุโรปตะวันออก แต่งกายด้วยเครื่องแบบเจ้าหน้าที่สายการบินของอิตาลีกรูกันลงมาแล้วสาดกระสุนใส่ขบวนรถนักการเมืองอย่างแม่นยำ ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัย 4 คนเสียชีวิตในทันที รายที่ 5 บาดเจ็บสาหัสทนพิษบาดแผลไม่ไหวไปตายที่โรงพยาบาล
กระสุนที่กระหน่ำยิงมีจำนวนกว่า 91 นัด มีถึง 40 กว่านัดที่ยิงใส่ร่างของทีมรักษาความปลอดภัย แต่ไม่มีนัดไหนเลยที่เฉียดเข้าใกล้ตัวโมโร เรียกได้ว่ากลุ่มคนร้ายฝีมือการยิงแม่นยำมาก โมโรถูกอุ้มลากขึ้นรถอีกคันที่จอดใกล้ๆ ขับหนีหายไปในทันที โดยระหว่างทางผู้ก่อเหตุวางแผนให้เกิดอุบัติเหตุรถชนทำให้เส้นทางบางสายถูกปิด และทำให้ทางหลบหนีสะดวกโยธินยิ่งขึ้น
ตำรวจเผยข้อมูลว่ากลุ่มคนร้ายมีด้วยกัน 12 คน มีหญิงอายุ 25 ปีร่วมก่อเหตุด้วย 1 คน ในเวลาต่อมาองค์กรก่อการร้ายที่ชื่อว่า กองพลแดง (Red Brigades) ขบวนการซ้ายจัดหัวรุนแรงจะออกแถลงการณ์รับผิดชอบว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุสุดช็อกโลกครั้งนี้ โดยยื่นเงื่อนไขว่าจะปล่อยตัวโมโรแลกกับทางการจะต้องปล่อยตัวสมาชิกของขบวนการที่โดนจับตัวไปและกำลังจะขึ้นศาลที่เมืองตูริน 14 คน
2.
อัลโด โมโรเป็นนักการเมืองสุดโดดเด่น เขาเป็นนายกรัฐมนตรี 5 ครั้งระหว่างปี ค.ศ.1963-1976 และในปี ค.ศ.1978 นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ เขามีส่วนร่วมในการยุติวิกฤตของรัฐบาล
โดยการตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาธิปไตยคริสเตียนซึ่งเป็นพรรคของเขาเองกับคู่แข่งอย่างพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “ประวัติศาสตร์แห่งการประนีประนอม” สร้างความโดดเด่นให้ตัวโมโรอย่างมาก มีการคาดกันว่าการเลือกตั้งในปีนั้น เขาเองอาจจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยในวัย 62 ปี
อย่างไรก็ดีดีลครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับคนในประเทศ เช่นเดียวกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ตัวอเมริกาเองมองว่า ดีลนี้จะทำให้นักการเมืองจากพรรคคอมมิวนิสต์เข้าถึงข้อมูลความลับขององค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ซึ่งเป็นการคงกองกำลังไว้ยันกับสหภาพโซเวียตตามบรรยากาศของสงครามเย็นเวลานั้น แน่นอนว่าตัวโซเวียตเองก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำนี้
ในเวลาต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีจะตัดความสัมพันธ์กับโซเวียตและไปจับมือรวมกลุ่มกับพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันตก เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคอมมิวนิสต์ยุโรปแทน ซึ่งดีลรัฐบาลผสมนี้ แม้พรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีจะไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแต่ก็เป็นความก้าวหน้าอย่างมากที่ได้เป็นรัฐบาล
ตัวโมโรเองก็เคยเสี่ยงต่อการถูกสังหารหลายครั้ง
เพราะความโดดเด่นและไม่เป็นที่ถูกใจทั้งฝ่ายซ้ายจัดและขวาจัด
ซึ่งในอิตาลีนั้น ก่อนเกิดเหตุอุ้มโมโร มีการลักพาตัวคนอยู่เป็นประจำ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักธุรกิจก็อาจโดนอุ้มได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่การอุ้มลักค่าไถ่เกิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีผลงานบารมีอย่างมาก
นักการเมืองหลายคนออกมาประณามเหตุการณ์นี้ บางคนบอกว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน อัยการที่รับผิดชอบคดีนี้กล่าวหลังจากไปดูที่เกิดเหตุมาว่า “เรากำลังอยู่ภาวะสงคราม” และถือเป็นเหตุการณ์น่าอับอายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
สหภาพแรงงานขานรับเหตุการณ์นี้ โดยก่อการประท้วง ปิดโรงงาน ปิดร้านอาหาร ปิดโรงภาพยนตร์เพื่อเดินขบวนเรียกร้องการปล่อยตัวโมโร แรงกดดันนี้ทำให้ทางการอิตาลีต้องระดมกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยตรวจค้นทุกซอยของกรุงโรม เป็นปฏิบัติการใหญ่ที่ไม่เกิดขึ้นเลยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตำรวจทหารหลักพันเดินตรวจทุกซอกของเมือง เฮลิคอปเตอร์บินว่อนฟ้า แต่ทุกอย่างคว้าน้ำเหลว ไม่มีใครรู้ว่าโมโรอยู่แห่งใด
ทางพรรคคอมมิวนิสต์เองก็ออกแถลงการณ์กล่าวหากลุ่มก่อการร้ายกองพลแดงว่า ทำแบบนี้ถือเป็นการทำลายประชาธิปไตยอิตาลีในระยะยาวด้วย นี่ถือเป็นการคุกคามรัฐบาลอิตาลีอย่างมากนับตั้งแต่กลุ่มฟาสซิสม์ของเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ขึ้นมามีบทบาทยึดอำนาจประเทศเมื่อเกือบ 40 ปีก่อนเลยทีเดียว
1 อาทิตย์หลังการจับตัวโมโร กลุ่มกองพลแดงยกระดับข่มขู่ว่าหากไม่มีการปล่อยตัวสมาชิกขององค์กร พวกเขาจะสังหารโมโรทันที ด้านตัวผู้โดนลักพาตัวเองก็ได้เขียนจดหมายอ้อนวอนรัฐบาลอิตาลีให้ช่วยเหลือเขา เช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัว แม้กระทั่งสมเด็จพระสันตะปะปาพอลที่ 6 ยังทรงเรียกร้องขอชีวิตโมโร ตำรวจเองก็ไล่จับตัวคนที่เอี่ยวกับกลุ่มกองพลแดงเป็นจำนวนมาก พวกเขาพบรถที่ใช้ก่อเหตุ 3 คัน แต่ก็ยังไม่พบที่ซ่อนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
ทางรัฐบาลอิตาลีนั้นไม่ต้องการเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย ว่ากันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมยื่นคำขาดจะลาออกจากรัฐบาลหากมีการเจรจาในเรื่องนี้ โดยถือว่ากองพลแดงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีแต่อย่างใดและการเจรจาจะทำให้รัฐบาลมีภาพลักษณ์ยอมอ่อนข้อให้กลุ่มหัวรุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดความวุ่นวายในอนาคตได้
3.
สำหรับกองพลแดงนั้นก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1970 โดยเรนาโต เคอร์ซิโอ ซึ่งเป็นวายร้ายเต็มคราบ เคยปล้นธนาคาร เคยลักพาตัวคน เคยลอบสังหารและวางระเบิด เป้าหมายของเขาทำไปเพื่อปฏิวัติสังคมอิตาลีโดยชนชั้นกรรมาชีพให้เป็นคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง แน่นอนว่ากองพลแดงนั้นประณามพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีที่เข้าร่วมในสภาผู้แทนว่าเป็นพรรคของนายทุนน้อย ทั้งสองกลุ่มแยกขาดคนละอุดมการณ์กันชัดเจน
ตัวเรนาโตนั้นศรัทธาในคาร์ล มาร์กซ์, เหมา เจ๋อ ตุง และเช กูวาร่าอย่างมาก ภรรยาของเขาก็หัวรุนแรงไม่แพ้กัน ทั้งสองอาศัยในมิลาน มีผู้ร่วมศรัทธาอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร พวกเขาก่อเหตุเผาวางระเบิดโรงงาน ตัวเรนาโตเองเคยโดนจับกุมมาแล้ว แต่ก็มีสมาชิกกองพลบุกช่วยเหลือ
จนมาโดนจับกุมต้องขึ้นศาลที่ตูรินในปี ค.ศ.1976 ซึ่งทำให้กองพลแดงกลายเป็นองค์กรก่อการร้ายใต้ดินแบบเต็มตัวเพราะสมาชิกของกองพลแดงที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวหัวรุนแรงได้เริ่มก่อเหตุสะเทือนสังคมอิตาลีอย่างต่อเนื่อง แม้ภายหลังการอุ้มโมโรไปแล้ว พวกเขายังเคยไปอุ้มนายพลอเมริกันที่ดูแลองค์กรนาโต้ด้วย เอกลักษณ์การก่อเหตุที่สุดโหดของกองพลแดงคือ พวกเขาจะยิงเหยื่อที่หัวเข่า เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนีเอาตัวรอดได้
ประมาณกันว่าสมาชิกของกองพลแดงระดับปฏิบัติงานนั้นมีอยู่กว่า 500 คน และมีสมาชิกคอยช่วยเหลือเงินทุนที่ซ่อนก็มีไม่ต่ำกว่าหลักพัน พวกเขาก่อเหตุไปยาวนานจนถึงปี ค.ศ.1990 กว่าที่องค์กรจะค่อยซาความนิยมลงไป
อย่างไรก็ดีเหตุการณ์อุ้มโมโรนี้ ตัวเรนาโตไม่ได้เกี่ยวข้องเพราะเขาติดคุกที่ตูริน ซึ่งการอุ้มอดีตนายกรัฐมนตรีก็สร้างความสะพรึงไปยังการพิจารณาคดีเรนาโตด้วย เพราะพยาน เจ้าหน้าที่ ศาลก็กลัวภัยก่อการร้ายของกองพลแดงอย่างมาก แต่การพิจารณาคดีก็ดำเนินต่อไปและมีคำตัดสินให้พวกเขามีความผิดต้องติดคุกกันครบทุกคน
วันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1978 กองพลแดงประกาศว่า พวกเขามีคำตัดสินให้ประหารชีวิตโมโร โดยก่อนหน้านี้พวกเขามองว่าการอุ้มลักพาตัวโมโรนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นต้องทำ รัฐบาลฟังเสียงและยอมตามข้อเสนอ แต่เมื่อรัฐบาลอิตาลีไม่อ่อนข้อให้ ก็ต้องใช้ไพ่สุดท้ายนั่นคือการยิงโมโรทิ้ง ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางรัฐบาลเองก็พยายามจะเจรจากับกองพลแดงอย่างลับๆ แต่ข้อเสนอเงื่อนไขการปล่อยตัวไม่ลงตัว นั่นทำให้ประตูแห่งการเจรจาปิดฉากลงอย่างน่าหดหู่ยิ่งนัก
ถึงจุดนี้โมโรเองก็รู้ตัวว่าชะตาชีวิตเขาคงจบสิ้นแล้วแน่นอน จึงเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายถึงภรรยา “พวกเขาบอกว่าจะฆ่าผม ดังนั้นผมจึงขอจูบคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
โดยคำขอสุดท้ายคือ
งานศพของเขาจะต้องไม่มีนักการเมืองคนไหน
มาร่วมงานแม้แต่คนเดียว
โมโรเขียนจดหมายถึงภรรยา ในวันที่ 9 พฤษภาคม 55 วันหลังการอุ้มหาย ก็มีคนพบศพร่างของโมโรถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่หัวใจถึง 11 นัด ร่างถูกยัดในด้านหลังรถที่จอดอยู่ห่างจากที่ทำการพรรคประชาธิปไตยคริสเตียนอันเป็นพรรคของเขาเองเพียง 200 กว่าเมตร และอยู่ห่างจากที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีเพียง 100 กว่าเมตรเท่านั้น
4.
การเสียชีวิตของโมโร ถือเป็นความอับอายของอิตาลีอย่างมาก นักการเมืองที่โดดเด่นเข้าขั้นรัฐบุรุษโดนอุ้มหายและถูกยิงทิ้งแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางการรับไม่ได้ เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดล่าตัวผู้ร่วมก่อเหตุอื้อฉาวนี้ สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุครั้งนี้ซึ่งมีถึง 31 คน ทุกคนต้องโทษติดคุกตลอดชีวิตหมด ในเวลาต่อมาสมาชิกกองทัพแดงหลายคนจะได้รับการลดโทษปล่อยตัวออกมาเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์นี้กันเป็นจำนวนมาก
ผ่านไปหลายปีมีข้อมูลหลายอย่างน่าสนใจเกิดขึ้นว่ากันว่ากลุ่มกองพลแดงนั้นมีบางคนเป็นสายลับให้กับทางการอิตาลี และทั้งที่น่าจะช่วยเหลือโมโรได้ แต่ทำไมถึงคว้าน้ำเหลว มีข้อมูลสงสัยว่าเอาตามตรงแล้วทางการอิตาลีกับอเมริกาอาจจะใช้กองพลแดงเป็นตัวจัดการโมโรที่ดึงพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีให้มาร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายขวาไม่มีทางยอมรับได้เลย จึงต้องวางแผนก่อเหตุดังกล่าว
นอกจากนี้มีงานวิจัยพบว่าที่ร่างของโมโรนั้น พบเศษเม็ดทรายตามตัวและเสื้อผ้า เหมือนกับว่าก่อนโดนฆ่า เขาได้เดินลงชายหาดชมทะเลเป็นครั้งสุดท้ายและน่าจะโดนยิงที่ตรงชายหาดทางตะวันออกเฉียงใต้ย่านชานเมืองของกรุงโรมที่อยู่ติดทะเล แต่สมาชิกของกองพลแดงที่โดนจับกุมยืนยันว่า พวกเขาเอาโมโรไปไว้ในอพาร์ทเมนต์ใกล้กับกรุงโรม และเศษทรายเหล่านั้นก็เพียงแค่ตบแต่งหลักฐานให้เจ้าหน้าที่หลงประเด็นเท่านั้น
แต่จากผลนิติวิทยาศาสตร์พบว่าเศษทรายเหล่านี้ไม่ใช่การจัดฉากแน่นอน มันจึงนำไปสู่อีกทฤษฎีหนึ่งว่า มีคนให้สถานที่แก่กลุ่มกองพลแดงในการกักขังโมโร โดยเป็นสถานที่ค่อนข้างดีระดับคฤหาสน์คนมีเงินที่เห็นชอบกับแนวทางของกองพลแดงนี้
เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางการ เป็นข้อพิสูจน์ที่ยังมีคนสงสัยมากมายว่า ทำไมทางการถึงไม่สามารถระบุที่ซ่อนตัวของโมโรได้ ทำไมถึงปฏิเสธการเจรจาพูดคุย ทำไมถึงปล่อยให้นักการเมืองคนนี้ต้องตายอย่างอนาถ