ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 สยามเริ่มพัฒนาตนเองเป็นรัฐสมัยใหม่ที่เริ่มกำหนดรูปทรงพื้นที่ประเทศ และอาณาเขตอันแน่นอนของอำนาจรัฐ โดยอาศัยเส้นปักปันเขตแดนเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นโปรเจกต์ภายใต้อิทธิพลการล่าอาณานิคมของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐสยามไม่เพียงอิงแอบอำนาจเจ้าอาณานิคมตะวันตก แต่ยังใช้ระบบกลไกเดียวกับลัทธิล่าอาณานิคม ขยายดินแดนยึดครองรัฐกึ่งอิสระ หัวเมืองรอบนอก และเมืองประเทศราช[1]
ล้านนาที่เคยเป็นประเทศราชของสยามเมื่อปี พ.ศ. 2317 พอมาถึงปี พ.ศ. 2416 สยามได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษร่วมกันสูบทรัพยากรป่าไม้ในล้านนาผ่าน ‘หนังสือสัญญาเชียงใหม่’ (The Treaty of Chiang Mai) และเพิ่มความเข้มงวดของสนธิสัญญาในการตักตวงธุรกิจป่าไม้มากขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับช่วยปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษบนดินแดนล้านนา
รัฐบาลกรุงเทพส่งข้าหลวงและข้าราชการเข้าไปคุมการทำป่าไม้ในล้านนาและปกครองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เลียนแบบจักรวรรดินิยมตะวันตก เพื่อวางรัฐบาลตนเองเป็นเจ้าอาณานิคมภายในยึดครองอาณานิคมล้านนา ทั้งข่มขู่คุกคามและลิดรอนอำนาจการเมืองท้องถิ่น บังคับใช้การจัดเก็บภาษีแบบกรุงเทพ และใช้กองกำลังทางทหาร นำไปสู่การต่อต้านลุกฮือก่อจลาจลของราษฎรและเจ้าปกครองท้องถิ่น แต่ก็ถูกกองกำลังสยามปราบปรามอย่างรุนแรง[2]
ในปี พ.ศ. 2439 โรงเรียนฝึกอบรมข้าราชการก็ถูกตั้งขึ้นในเชียงใหม่ เพื่อผลิตข้าราชการล้านนาที่สยบยอมรัฐบาลกรุงเทพและใช้ภาษากรุงเทพเป็นภาษาราชการ[3] เจ้าผู้ปกครองหัวเมืองสำคัญของล้านนา เช่น ลำพูน ลำปาง แพร่ ต่างอยู่ภายใต้ระบบเทศาภิบาล ไม่ได้มีสิทธิปกครองตนเองอย่างแต่ก่อน
เชียงใหม่ที่เป็นศูนย์กลางรัฐจารีตล้านนาก็กลายเป็นเพียงเมืองหนึ่งของมณฑลพายัพที่ต้องขึ้นตรงต่อรัฐบาลสยาม และเป็นฐานนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจให้กับกรุงเทพ และด้วยความสะดวกสบายจากคมนาคมขนส่งทางรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2464 ก็ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเศรษฐกิจของเชียงใหม่เปลี่ยนทิศจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่มาสู่กรุงเทพ
ล้านนาก็ถูกตั้งข้อสังเกตเชิงอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมว่า ผู้คนเมืองถูกกลืนเข้ากับคนไทยในที่ราบลุ่มภาคกลางมากกว่าชาวมลายูในภาคใต้และชาวลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[4]
ขณะเดียวกันล้านนาก็ถูกวาดภาพให้เป็นเพียงรัฐในประวัติศาสตร์ที่เคยรุ่งเรืองด้านศิลปวัฒนธรรม ไม่มีนัยทางการเมืองอีกต่อไป ต่างจากรัฐปาตานี[5] และเชียงใหม่ก็ถูกอธิบายให้เป็นองคาพยพทั้งหมดของคำว่า ‘ล้านนา’ ไม่เพียงตัดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของล้านนาออกไป แต่ยังถูกวาดภาพให้เป็น ‘หญิงสาว’
ในช่วงเวลาที่สยามล่าอาณานิคมล้านนา รวบเอาอาณาจักรล้านนามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสยามนั้น ก็ได้มีละครร้อง “สาวเครือฟ้า” โดยชนชั้นนำกรุงเทพฯ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แปลงมาจากอุปรากรฝรั่งเศส “Madam Butterfly” เปลี่ยนฉากและตัวละครให้เป็นล้านนา จาก โจโจซัง เป็น เครือฟ้า เปลี่ยนจากนายทหารเรืออเมริกัน เป็นทหารหนุ่มกรุงเทพฯ สร้างเป็นละครสร้างความบันเทิงให้ชาวกรุงเทพฯ ที่โรงละครปรีดาลัยปี พ.ศ. 2452
‘ความเป็นล้านนา’ กลายเป็นภาคเหนือของรัฐรวมศูนย์กรุงเทพฯ ที่บุคคลาธิษฐานให้เป็นหญิงสาวสวยซื่อบริสุทธิ์ ‘ถูกล่าอาณานิคม’ โดยหนุ่มกรุงเทพฯ แล้วก็ถูกหักอกทอดทิ้ง ให้นางเสียอกเสียใจจนต้องฆ่าตัวตายเป็นโศกนาฐกรรม เห็นได้จากสาวเครือฟ้าที่ถูกรีเมคออกมาทั้งละครเวที หนัง ละครทีวี
ขณะเดียวกันพล็อตเรื่องแนวแม่ญิงล้านนากับหนุ่มกรุงเทพฯ ก็ถูกผลิตซ้ำเรื่อยมา ไปพร้อมกับวาดทัศนียภาพเมืองเหนืออันรุ่มรวยวัฒนธรรมประเพณี สงกรานต์ บูชาเสาอินทขิล วัดวาอารามแปลกตา หญิงพื้นเมืองมีจริตจะก้านแช่มช้อยต๊ะต่อนยอนใต้ร่มบ่อสร้าง และภูมิประเทศสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์แปลกตา เช่นนวนิยาย แหวนทองเหลือง แต่งโดย พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เป็นหนังในปี พ.ศ. 2516 และถูกทำเป็นละครโทรทัศน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529, 2538, 2547, และ 2558 นวนิยายโดยนักเขียนชายนามปากกา “อรชร” เรื่อง ดอกรักบานที่สันกำแพง เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ “สันกำแพง” (2511, 2523) ก่อนจะถูกสร้างเป็นละคร “เมื่อดอกรักบาน” (2550) แม้จะไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่นางเอกตายโหงตอนจบ เหมือน สาวเครือฟ้า นิทานวังบัวบาน หรือ “มงกุฎดอกส้ม” (2539, 2553) สาวเหนือแสนซื่อที่ตกมาเป็นเมียน้อยเจ้าสัวมักมากในกรุงเทพฯ ช้ำรักจนกลายเป็นบ้า แต่ก็เป็นบันเทิงแฟนตาซีเพื่อชาวกรุงเทพฯ ที่ยังคงวนเวียนอยู่กับหนุ่มบางกอกพิชิตหญิงเมืองเหนือ
ด้วยสำนึกเช่นนี้ ตัวละครหญิงจึงเป็นตัวแทนและแบกรับความหมาย ‘ล้านนา’ อยู่ตลอดเวลา ทั้งสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ขนบประเพณีของชาวเหนือทั้งหมด
นางเอก “แม่อายสะอื้น” (ภาพยนตร์ 2515 ละคร 2547, 2561) ที่เป็นนักแสดงของคณะละครศิลปะล้านนา มีความสามารถในการฟ้อนดาบรำกองสะบัดชัย และตัวละครเจ้าหญิงแสงฝางใน “ศิลามณี” (2537, 2551) เจ้าหญิงนครเชียงรัฐ ซึ่งเป็นนครรัฐอิสระที่อยู่ทางเหนือของไทย
และด้วย ‘ความล้านนา’ ที่อยู่คนละโลกกับโลกสมัยใหม่ ละครที่ว่าด้วยท้องถิ่นเมืองเหนือจึงกลายเป็นละครพีเรียด ถ้าไม่อิงประวัติศาสตร์ ก็ต้องแฟนตาซีระลึกชาติตัวละครหลุดเข้าไปในอดีตท้องถิ่น อย่าง “บ่วงบรรจถรณ์” (2545, 2560) “รอยไหม” (2554) “เพลิงพรางเทียน” (2562) ที่เนื้อเรื่องอำนวยให้ตัวละครหญิงเป็นที่จดจำโดดเด่นกว่าตัวละครชายเสมอ
หรือไม่ก็เป็นหนังประเภทผีสางนางไม้ เล่าเรื่องแม่ญิงล้านนาซึ่งส่วนใหญ่ก็ช้ำรักตาย แม้ว่าจะผ่านมาสิบปีร้อยปีดวงวิญญาณก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นผีเปรตเจตภูตแล้วคอยมาหลอกมาหลอนสร้างความฉิบหายวายป่วงให้กับคนกรุงเทพฯ ในชาติภพปัจจุบัน เช่น ผีบัวแปง (2535) หรือผีอีแพง (2555) ในเรื่อง “บ่วง” (2535,2555) ผีเวียงแก้วใน “เวียงร้อยดาว” (2557) และปีศาจเจ้ายอดหล้าในคุ้มนางครวญ (2557) ผีกาสะลอง ใน “กลิ่นกาสะลอง” (2562) ก็เช่นกัน ที่ตายไปพร้อมกับความรักที่ไม่สมหวังและรอคอยชายคนรักกลับมาในชาติภพใหม่
เพราะผีก็เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่กับอดีต ความทรงจำ การอยู่กับที่ ติดที่ ไม่ไปผุดไปเกิด เหมือนเพศสภาพหญิงที่ถูกคาดหวังให้ต้องอยู่ติดบ้าน เฝ้าคอยคนรักกลับมาหรือสะสางความแค้น
ขณะเดียวกันผีก็ยังมีความหมายของความไม่เป็นสมัยใหม่ ไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ หรืออีกนัยหนึ่งคือยังไม่เจริญ ผีจึงถูกวางอยู่ในสิ่งที่มองไม่เห็นให้คุณให้โทษต่อชีวิตได้เช่น ผีกะ ใน “เจ้านาง”(2537, 2558) เช่นเดียวกับผีปอบใน “บ้านผีปอบ” ที่ความเป็นอีสานถูกยึดโยงกับ ‘บ้านนอก’ ชนบท ไม่เพียงเป็นตัวตลกเปิ่นๆ อยู่อาศัยร่วมกับความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ วิ่งไล่จับกับผีปอบไปมาเป็นซีรีส์ภาพยนตร์ร่วม 2 ทศวรรษ (14 ภาค ตั้งแต่ปี 2532-2554) เพียงแต่ผีปอบอาละวาดและจบที่นั่น ไม่ได้มาวอแวกับวิถีชีวิตคนกรุงเทพในเมืองหลวงในโลกสมัยใหม่
มากไปกว่านั้น ผีแม่ญิงล้านนาเองพวกเธอก็ยังต้องต้องแบกรับวัฒนธรรมดั้งเดิมท้องถิ่นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เช่น “สาปภูษา” (2552) เจ้าสีเกด ที่ไม่เพียงฆ่าตัวตายถวายรักคุด ยังเป็นผีอาฆาตสิงสู่อยู่ในผ้าตาดทองที่นางประกอบพิธีสาปแช่งขณะทอมือ และ “สาปดอกสร้อย” (2559-2560) ที่นางเอกดอกสร้อยเป็นทั้งร่างให้ผีกะสิงและเป็นนางฟ้อนในคณะดอกสร้อย และการระลึกชาติล้านนาของ เรริน นางเอกใน “รอยไหม” ไม่เพียงจะย้อนกลับไปชาติเก่าตัวเองไปเป็นเจ้านางมณีริน ยังย้อนชาติพันธุ์ไปเป็นชาวไทเขินในเชียงตุง แถมต้องมานั่งทอผ้าตุ๊มตามประเพณีในชาติปัจจุบัน
ละเม็งละครเหล่านี้ดูๆ แล้วเหมือนการช่วงชิงอำนาจของล้านนาที่เคยเป็นรัฐจารีตปกครองตนเองกับรัฐรวมศูนย์กรุงเทพฯ ทว่าก็เป็นการชิงรักหักสวาทเท่านั้น ที่พล็อตเรื่องคุ้นๆ ซ้ำๆ วนไปมา นักประพันธ์ชื่อเดิมๆ ผู้จัดหน้าเดิมๆ ของช่องเดิมๆ ในรัฐรวมศูนย์ที่กรุงเทพฯ
แม้ว่าผีแม่ญิงล้านนาหรือหญิงสาวกรุงเทพฯ มุดอดีต จะเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมประเพณีสิ่งแวดล้อมทรัพยากรล้านนาก็ตาม แต่สุดท้ายของเรื่องสาวกรุงเทพที่ย้อนอดีตก็เพื่อสะสางปัญหาในอาณาจักรล้านนาอดีต ส่วนผีสาวพวกนี้นางก็ถูกปราบให้ตายเป็นรอบที่สอง หรือถูกปลดปล่อยจากอดีต หรือสยบยอมต่อโลกสมัยใหม่และตัวละครจากกรุงเทพฯ ที่มักจะเป็นผู้ชาย
เหมือนกับการ romanticize ท้องถิ่นด้วยการย้อนอดีตและรำลึกถึงรัฐจารีตหรือเขตวัฒนธรรมเก่าแก่ ท่ามกลางโลกแห่งความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปไหนถึงไหนแล้ว ที่สุดท้ายแล้วยิ่งทำให้ท้องถิ่นไม่สัมพันธ์กับโลกสมัยใหม่เข้าไปใหญ่ เพราะหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นมัวแต่ไปอนุรักษ์ภาพตัวแทนที่รัฐรวมศูนย์กรุงเทพสตัฟฟ์ไว้ ความรุนแรงในประเพณีรับน้องของมหา’ลัย ปัญหาอิทธิพลรถแดง และมลภาวะฝุ่นควัน จึงดำรงอยู่คู่กับท้องถิ่นโดยไม่แก้ไขปัญหาอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน
การขุดอดีตอันรุ่งเรืองอย่างเดียวจึงไม่ทรงพลังพอสำหรับท้องถิ่นที่จะต่อสู้กับอำนาจรัฐรวมศูนย์ได้
อย่างไรก็ตามมันก็ช่วยได้ในระดับที่เผยให้เห็นความเปราะบางขวัญอ่อนของรัฐที่หวงแหนการกระจุกอำนาจและทรัพยากร เพราะเพียงแค่ ส.ส. หญิง นัดกันหยิบยืมเครื่องแต่งกายที่เป็น good old day สมัยบ้านเมืองยังดีของล้านนามาใส่เข้าประชุมสภาฯ ใจกลางกรุงเทพฯ อันเป็นศูนย์กลางบริหารการปกครองประเทศ แค่นี้ก็สามารถเขย่าขวัญสั่นประสาทใครหลายๆ คนให้ตกใจแทบเยี่ยวราด อย่างกะเจอผีกาสะลอง ผีเจ้าสีเกดหลอกแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อรอนงค์ ทิพย์พิมล (บรรณาธิการ). รัชกาลที่ 5 : สยามกับอุษาคเนย์และชมพูทวีป. เอกสารสรุปการสัมมนาวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ 150 ปี (พ.ศ. 2396-2546). กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2547, น. 274.;ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. เขตแดนของรัฐกับโลกาภิวัตน์, เขตแดนของเรา เพื่อนบ้านอาเซียนของเรา. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2554, น. 57-65.
[2] เรื่องเดียวกัน, น. 29, 119-123.
[3] เรื่องเดียวกัน, น. 29.
[4] ไชยันต์ รัชชกูล ; พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ (แปล). อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ : การก่อรูปรัฐไทยสมัยใหม่จากศักดินานิยมสู่ทุนนิยมรอบนอก. กรุงเทพฯ : อ่าน, 2560, น.15.
[5] ธเนศวร์ เจริญเมือง.คนเมือง. เชียงใหม่ : โครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544, น. 84.