*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง*
ในหนังเรื่อง India Song (1975) ของ มาร์เกอริต ดูว์รัส (Marguerite Duras) หนังเล่าเรื่องชีวิตว่างเปล่าหรูหราไปวันๆ ของบรรดาคนขาวในสถานกงสุลในอินเดีย ตัวละครที่แลดูคล้ายภูตผีมากกว่าคนไม่ปริปาก เพียงเดิน ยืน นอน มอง เต้นรำ ในดินแดนประหลาดปลายขอบโลก ตลอดทั้งเรื่องบรรดาตัวละครในสถานทูตทำเพียงแค่เดินไปเดินมา เต้นรำ สูบบุหรี่ นอนบนพื้น ในขณะที่ตลอดเวลาจะมีเสียงบรรยาย บ้างเป็นบทสนทนา บ้างเล่าถึงอนาคตของบางตัวละคร บ้างประชดเสียดสีตัวละคร บ้างเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง บ้างเป็นเสียงของผู้ที่ไม่อยู่ในฉาก และแทรกสอดด้วยเสียงคร่ำครวญของหญิงขอทานชาวลาวที่ร้องเพลงและร้องขอข้าวกิน ไม่ว่าเสียงใดที่เราได้ยินไม่ได้ออกจากปากตัวละครโดยตรงเลยสักคน พวกเขาหุบปากสนิทโดยตลอดทั้งเรื่อง มีแต่เสียงเท่านั้นที่ล่องลอยฟุ้งกระจาย
ฉากหนึ่งในหนัง เสียงเล่าเล่าถึงรักไม่สมหวังของท่านรองกงสุลที่มีต่อ แอนน์ มาเรีย สเตรตเตอร์ (Anne Marie Stretter) หญิงสาวที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง เธอปฏิเสธเขา และเขากรีดร้องคร่ำครวญ เสียงกรีดร้องของเขายังคงอึงอลอยู่ในอากาศอีกนานนับนาน แม้ว่าเขาจะไปจากห้อง ไปจากสถานกงสุล หรือตายไปแล้ว ตลอดทั้งเรื่องเรายังคงได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขาตรงนั้นตรงนี้ แทรกกับเสียงร้องขอข้าวของหญิงชาวลาวที่เราไม่เคยเห็นตัว เสียงที่ตกค้างอยู่ในอากาศ ในผนังห้อง ในสนามรกเรื้อ ในใบไม้ ในก้อนหิน เสียงแบบเดียวกับที่เจสสิกาในหนังเรื่อง MEMORIA อาจจะบังเอิญได้ยิน
เจสสิกาเป็นนักพฤกษศาสตร์คนขาว น้องสาวของเธอเป็นนักแสดงละครเวทีที่แต่งงานกับอาจารย์ในโบโกตา ส่วนเธอทำวิจัยไม่ก็ทำฟาร์มอยู่ในเมืองเมเดยิน เธอเข้ามาโบโกตาเพราะน้องสาวของเธอเข้าโรงพยาบาล และมาทำสัญญาเงินกู้ขยายฟาร์ม มาดูตู้เย็นที่สามารถชะลอเวลาเสื่อมสลายของกล้วยไม้ได้ และมาค้นคว้าเพิ่มเติมในห้องสมุด
คืนหนึ่งเธอตื่นขึ้นกลางดึกในบ้านน้องสาวเพราะได้ยินเสียง ‘ปัง!’ แรกทีเดียวเธอคิดว่ามันมาจากการก่อสร้างข้างบ้าน จนน้องเขยบอกว่าไม่มีนะ แถวบ้านไม่มีก่อสร้างอะไรทั้งสิ้น เธอจึงได้รู้ว่าเสียงนั้นมาจากในหัวของเธอเอง เขาแนะนำให้เธอไปพบช่างเสียงคนหนึ่งเพื่อทำให้เสียงที่เธอได้ยินเป็นเสียงจริงๆ ขึ้นมา เขายืดขยายปรับแต่งเสียงนั้นจนใกล้เคียง แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เธอยังคงได้ยินเสียงนั้น ขณะที่เออร์นันช่างเสียงบันดาลใจจากเสียงของเธอจนไปทำเพลงมาให้เธอฟัง ก่อนที่เขาจะหายตัวไป
ระหว่างที่เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเธอได้พบกับอานเญส นักมานุษยวิทยาที่มาศึกษาโครงกระดูกที่ถูกขุดพบในอุโมงค์ที่เมืองอื่น เธอแนะนำให้เจสสิการู้จักกับกระดูกของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูบนกะโหลก อานเญสบอกว่าพิธีกรรมเจาะกะโหลกเป็นไปเพื่อปลดปล่อยวิญญาณร้าย มีการเจอโครงกระดูกอีกจำนวนมากในอุโมงค์นั้น และเธอกำลังวางแผนจะตามทีมขุดค้นไป
เจสสิกาเดินทางไปยังเมืองนั้นด้วย ข้ามผ่านด่านทหารตรวจรถ เธอไปดูอุโมงค์ ไปเดินเล่น ไปหาหมอรักษาอาการเสียงในหัว แล้วเธอก็บังเอิญได้พบคนแปลกหน้าที่ดูเหมือนว่าคุ้นเคย ชายคนที่ขอดเกล็ดปลาอยู่ริมธารน้ำที่ได้ยินทุกอย่าง จดจำทุกสิ่ง แม้กระทำความทรงจำของก้อนหิน และมีคำตอบเกี่ยวกับเสียงในหัวของเธอ
คล้ายกันกับ India Song ศูนย์กลางของ MEMORIA อยู่ที่เสียง เสียงที่เจสสิกาอธิบายว่าเป็นเสียงสั่นสะเทือนจากแกนกลางของโลก เสียงทึบหนักและมีสะท้อนของโลหะกึกก้อง ระหว่างการพูดคุยกับเออร์นันช่างเสียง เขาให้เธออธิบาย ให้เธอลองค้นหาจากหอสมุดเสียงที่ถูกทำไว้ใช้ในการสร้างเสียงในหนังเรื่องต่างๆ และเธอพบว่าเสียงที่ใกล้เคียงคือเสียงของ ‘ร่างกายห่อผ้านวมกระทบกับไม้’ หากเราตั้งต้นว่านั่นคือเสียงที่เจสสิกาได้ยิน เสียงที่เธอได้ยินก็คือเสียงของความเจ็บปวดทรมานจากการถูกทำร้าย เสียงของประวัติศาสตร์บาดแผลที่ยังคงกึกก้องกลางความเงียบ ซึ่งเธอจะได้ฟัง และได้ยินในเวลาต่อมา
ในฉากนี้เอง เออร์นันได้หยิบเอาเสียงที่เธอได้ยินมาทำให้เห็นเป็นภาพผ่านกราฟของเสียงที่สามารถตัดต่อยืดขยายออกไปได้ เสียงที่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่คลุมเครือได้ถูกทำมองเห็นผ่านกราฟนี้ การสามารถ ‘อ่าน’ สิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเช่นเสียง ยังเกิดขึ้นอีกครั้งในฉากที่เจสสิกาเดินเข้าไปในห้องทดลองของนักมานุษยวิทยาและอานเญสถามว่า จากโครงกระดูกที่เห็น เธอรู้หรือไม่ว่านี่คือผู้หญิงหรือผู้ชาย
ราวกับว่าสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งวัตถุอย่างโครงกระดูกหรือก้อนหิน ได้จดจารความทรงจำของมันไว้ ทุกอย่างมี ‘เสียงเล่า’ ของตัวมันเอง เสียงที่เราคิดว่าเงียบนั้นกึกก้องอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เราหูหนาตาเล่อทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เพราะเราไม่เคยฟัง
ในทางตรงกันข้าม วัตถุบางอย่างก็เปล่งเสียงตลอดเวลา ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญและเบียดขับเสียงแบบอื่นจนหมดสิ้น วัตถุซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับก้อนหินริมน้ำของเออร์นัน นั่นคืออนุสาวรีย์ ประติมากรรมที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโบโกตา เริ่มจากอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษ ผู้ทำคุณงามความดีจำหลักจารึกชื่อ ก้อนหินส่งเสียงความทรงจำที่เป็นทางการในชื่อของประวัติศาสตร์ออกไปให้ทุกคนได้ยิน หนังมักถ่ายภาพประติมากรรมนี้ทั้งในห้องสมุด ในจตุรัสเมือง ไล่ไปจนถึงประติมากรรมศิลปะในเมืองเล็กๆ เสียงของก้อนหินที่กลายเป็นอนุสาวรีย์นั้นดังชัดกว่าเสียงชนิดอื่น ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีความหมายจำเพาะ (เป็นอนุสาวรีย์/เป็นงานศิลปะ) แต่มันมีเสียงบางชนิดที่ได้รับอนุญาติให้ฟัง
มันจึงเป็นภาพย้อนแย้งกับเสียงจากก้อนหินของเออร์นัน เสียงความทรงจำของชายคนหนึ่งที่ถูกทำร้าย ก้อนหินของเขาไม่ใช่อนุสาวรีย์ เป็นเพียงก้อนหินเงียบใบ้ริมลำธาร มันเป็น ‘ภาพ’ ที่อ่านไม่ออก คล้ายกับฉากทัศนียภาพของที่เกิดเหตุที่ซึมซับเอาร่องรอยของการฆ่าเอาไว้
หากว่าความทรงจำถูกเก็บข้อมูลในรูปเสียง อยู่ในวัตถุต่างๆ ที่รายล้อมรอบเราไว้ แล้วเออร์นันชราผู้เก็บทุกความทรงจำไว้กับตัวคือใคร เขาเป็นมนุษย์ มนุษย์ต่างดาวที่มีวิทยาการเหนือกว่ามนุษย์โลก หรือวัตถุ หรือฮาร์ดดิสก์อย่างที่เขากล่าวอ้าง
ในฉากริมลำธาร เออร์นันบอกเจสสิกาว่าเขาไม่ฝัน เมื่อเขาหลับเขาไม่ฝัน เจสสิกาผู้นอนไม่หลับ ผู้ต้องการความฝันเป็นเครื่องมือต่อต้านโลกแห่งการตื่นและเสียงปัง จึงขอให้เออร์นันหลับให้ดู เขาจึงล้มลงนอนกลางลำธาร ในฉากนี้ กล้องหั่นเขาออกเป็นส่วนๆ จับจ้องใบหน้าที่ตาครึ่งลืมและปากอ้าออก อีกครั้งจับไปที่เท้า ชายขากางเกงเปื้อนรอยโคลน และรองเท้าที่นอนนิ่ง เจสสิกาบอกกับเขาและผู้ชมตรงๆ ว่า เขาไม่ได้หลับแต่เขาตาย ตายและกลับจากความตาย ฉากความตายนี้ชวนให้นึกถึงงานวีดีโออาร์ตชิ้นก่อนหน้าของอภิชาติพงศ์เองอย่าง SILENCE (ความเงียบ) ที่จัดแสดงแทรกกลางงานนิทรรศการ A Minor History Part 1 (ประวัติศาสตร์กะจ้อยร่อย) ที่เป็นงานของเขาเองเช่นกัน
งานชิ้นนั้นประกอบขึ้นจากเรื่องเล่าของเมืองไม่มีเสียง หากจู่ๆ ช่วงกลางก็มีการฉายภาพศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ภาพประชิดของศพที่บางศพก็ตัดแบ่งเป็นครึ่งบน ครึ่งล่าง บางศพก็เป็นภาพชิดใกล้จนเห็นใบหน้าที่ถูกทำร้าย ราวกับความเงียบล้อเล่นกับเสียงปังในหัวเจสสิกา บรรดาคนตายและความตายที่เคยถูกทำให้เงียบตลอดหลายสิบปีกลับมาส่งเสียงผ่านการบังคับจ้องมองศพเหล่านั้น และนิทานสาธกของเมืองไร้เสียง ในอีกส่วนหนึ่งตัวชิ้นงานหลักของ A Minor History เองนั้นก็มีส่วนหนึ่งเล่าเรื่องของพญานาคที่กินศพของคนที่อุ้มหายจากการฆ่ายัดปูนโยนลงน้ำโขง และอาจทำให้พญานาคต้องตายไปด้วย และนั่นทำให้งานชุด A Minor History ที่พูดถึง การฆ่าและการสูญหาย กลายเป็นล้อเล่นกับ MEMORIA ในฐานะของกระจกที่ส่องสะท้อนกัน
ในแง่นี้เออร์นันจึงไม่ใช่แค่มนุษย์/มนุษย์ต่างดาว/ฮาร์ดดิสก์ แต่เขาอาจเป็นเช่นเดียวกับโครงกระดูกในอุโมงค์ เขาคือผี คือคนที่หายและตายไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวลชนที่ถูกบังคับสูญหายทั้งในโคลอมเบีย ในลาตินอเมริกา และอาจจะในไทยหรือในโลก เขาคือฮาร์ดดิสก์ของประวัติศาสตร์แห่งความเงียบ ที่รอเจสสิกามาฟัง และได้ยิน
หากเจสสิกาผู้นอนไม่หลับเพราะได้ยินเสียงที่เธอไม่รู้ว่าคือเสียงอะไรปรารถนาการนอนจนต้องดั้นด้นไปขอยานอนหลับจากหมอ ที่เชื่อว่าการนอน(จากยานอนหลับ)จะทำให้เธอสิ้นยินดีต่อความงามและความเศร้าของโลกนี้ และมอบทางออกเชิงศาสนา (ที่ว่ากันว่าเป็นยาฝิ่นของมวลชน ในสายตาของมาร์กซ์) มาแทน การนอนไม่หลับของเจสสิกาทำให้นึกถึงขั้วตรงข้ามของการหลับใหลไม่ยอมตื่นของเหล่าทหารใน ‘รักที่ขอนแก่น’ ที่เล่าเรื่องว่า จู่ๆ ทหารก็พากันหลับใหลไปทั้งกองร้อยจนต้องเอาโรงเรียนไปทำโรงพยาบาลและให้ชาวบ้านอาสามาดูแล ว่ากันว่าทหารที่หลับจะถูกดูดพลังงานในฝันเพื่อไปเป็นกองทัพให้กับพระราชาในโลกอดีต การนอนจึงกลายเป็นการยอมจำนน
หากการนอนของทหารและของเจสสิกาคือการยอมจำนน ไม่ต้องทนฟังเสียงเซ็งแซ่ของความทุกข์ในโลก บางทีความฝันที่เจสสิกาพูดถึงอาจจะคือรูปแบบของการต่อต้าน การไม่ยอมที่จะหลับใหลและเป็นส่วนหนึ่งของการหลับ ในขณะเดียวการความตายของเออร์นันที่เป็นการนอนไปตลอดกาล ในทางหนึ่งคือความพ่ายแพ้ การ ‘หยุด’ อย่างที่เออร์นันพูด แต่ในอีกทางหนึ่ง การดำรงคงอยู่ของ‘ความทรงจำ’ ต่อความตายที่ขัดขืนต่อ ‘ประวัติศาสตร์’ เฉกเช่นการทำรงคงอยู่ของความทรงจำของ 6 ตุลาฯ ได้ทำให้ความตาย (ที่ที่จริงคือการถูกฆ่า ถูกทำให้ตาย) กลายเป็นการต่อสู้ที่แท้ขึ้นมา คือการเปล่งเสียงที่ถูกทำให้เงียบ
แต่เสียงนั้นคลุมเครือยิ่ง หนังพูดเป็นนัยถึงๆ ความเชื่อไม่ได้ของเสียงตลอดเวลา เสียงปังในหัวของเจสสิกา เดิมถูกตีความให้เป็นเสียงของการก่อสร้างข้างบ้าน ในเวลาต่อมา เสียงปังกลายเป็นเสียงปืนสำหรับชายอีกคนที่เธอบังเอิญเจอบนถนน ขณะเดียวกัน เสียงปังก็อาจจะเป็นเสียงระเบิดของท่อไอเสียรถบัสก็เป็นได้ ในฉากนี้เสียงจึงกลายเป็นความไม่แน่นอนที่อาศัยประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปของผู้คน ในเวลาต่อมา เสียงปังยังกลับมาทั้งดังและเบาในที่ต่างๆ ท้ายที่สุดเราได้ยินมันอีกครั้งในตอนท้ายเรื่อง ในเสียงจุดระเบิดของยานอวกาศกลางป่า และเสียงฟ้าร้องก่อนฝนจะมา การแปรรูปของเสียงปังที่เป็นได้ทั้งเสียงจากในหัวของเธอนอกหัวของเธอ เสียงจากธรรมชาติ และเสียงสังเคราะห์ เสียงจากโลกนี้ และโลกหน้า หากเสียงคือความทรงจำ ความทรงจำก็คลุมเครือไม่แน่ชัด และทำให้เราหลงทิศผิดทางได้ตลอดมา
มันจึงน่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อเราได้ยินสิ่งที่เจสสิกาได้ยิน แต่เราอาจจะได้ยินเพียงบางส่วน เสียงที่เราได้ยินเป็นเสียงของบทสนทนา เสียงของลมฟ้าอากาศ เสียงของบรรยากาศ เสียงของการทุบตีหรือลุกไหม้ เสียงกรีดร้อง เสียงอ่านบทกวี แต่เจสสิกาได้ยินอะไร เธอได้ยินเสียงพูด หรือเธอได้ยินเสียงเล่า เมื่อเธอบอกว่าเธอรู้สึกแสบจมูก เธอได้ยินเสียงหรือเธอสัมผัสลึกซึ้งกว่าเสียง หรือเธอสัมผัสถึงชายเสื้อของแม่ เธอได้ยินเสียงของการซบหน้าลงกับหมอน หรือเธอได้ยินเสียงเล่าของเออร์นัน เสียงที่เธอได้ยินคือเสียงของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเสียงจากความทรงจำมือสองผ่านการเรียบเรียงของเขา และเมื่อเออร์นันบอกว่าเธอ ‘อ่าน’ ความทรงจำของเขา เธออ่านออกเสียง หรือเธอฟังเสียงของเขา เธอได้ยิน แต่เธอฟังไม่ออก หรือเมื่อเธอฟังออกเธอจะยังได้ยินความหมายที่แท้จริงของมันไหม
และเมื่อเธอร้องไห้ เออร์นันพูดกับเธอว่า “คุณจะร้องให้ทำไม มันไม่ใช่ความทรงจำของคุณสักหน่อย” ในฉากนี้เธอสัมผัสลึกซึ้งได้ถึงสิ่งใด เธอเข้าถึงความเห็นอกเห็นใจที่เพื่อนมนุษย์พึงมีต่อกันหรือมากกว่านั้น เสียงที่เธอได้ยินเป็นสิ่งที่เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน เสียงมอบประสบการณ์แบบใดให้เธอ
ในฉากนี้ดูเหมือน ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) ได้ใช้ร่างกายและรัศมีของเธอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่มากกว่าตัวบทด้วยซ้ำไป เพราะในฉากนี้เธออยู่ในฐานะสามแบบ หนึ่งคือคนขาวเจ้าอาณานิคม แม้เธอจะไม่ได้มายึดครอง แต่เธอก็มาทำธุรกิจอยู่ที่นี่ เธอเองก็ไม่ได้ต่างจากบรรดาคนขาวในสถานกงสุลแห่งโกลกาตาใน India Song ที่อาจจะได้ยินเสียงทุกสิ่งอย่างแต่ไม่ยอมตั้งใจฟังมันจริงๆ ในขณะที่เธอกลับเฝ้าฟังอย่างตั้งใจ เพียงในอีกทางหนึ่งเธอเป็นคนนอก คนนอกจากความทุกข์ของคนพื้นเมืองที่ถูกย่ำยีสารพัดมาตลอดหลายศตวรรษจากเจ้าอาณานิคมไปจนถึงรัฐเผด็จการและมาเฟียค้ายา เหนือไปกว่านั้น ความไม่หญิงไม่ชายของทิลดาได้พ่วงเอาความไม่ใช่มนุษย์เข้ามาเป็นองค์ประกอบหนึ่งด้วย ในฉากนี้เมื่อกล้องจ้องใบหน้าของเจสสิกาตรงๆ เราได้เห็นใบหน้าอันประหลาดล้ำจนราวกับว่าเธอคือมนุษย์ต่างดาวมากกว่าคนบนโลก ก่อนหน้านั้นในช่วงที่เธอเพิ่งเริ่มได้ยินเสียงปัง ก็ดูเหมือนมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นรายรอบเธอ ทั้งสัญญาณกันขโมยรถที่ดังขึ้นเอง หรือหลอดไฟที่มักจะดับใส่เธอ โดยเฉพาะในฉากที่เธอเดินดูแกลเลอรี ภาพที่ดูคล้ายเรื่องเล่าการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว ทันทีที่ไฟดับ เธอก็กลายเป็นเงามืดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของภาพ ส่วนหนึ่งของมนุษย์ต่างดาวในภาพนั้น
และความแปลกแยกนี้ก็ชวนให้คิดถึงตัวอภิชาติพงศ์ในฐานะคนนอกที่เข้าไปทำหนังในโคลอมเบีย สายตาของคนอื่นและความเป็นอื่นนี้ที่เข้าไปสำรวจสิ่งที่ ‘คนใน’ อาจจะมองไม่เห็นเพราะมันเห็นอยู่ทนโท่จนไร้ความสำคัญ และก็เพราะเช่นนั้นเอง มันจึงดูเหมือนว่า เสียงที่เธอได้ยิน และน้ำตาของเธอเป็นได้ทั้งความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เป็นการกอบกู้โลกโดยไม่ต้องใช้พลังวิเศษออกไปสู้กับเหล่าร้ายแบบเดียวกับที่เธอเคยรับบท The Ancient One ที่สอนเวทมนตร์ให้กับ Dr. Strange เพื่อให้เขาออกไปปกป้องโลก โดยไม่ได้ตั้งใจ ใน MEMORIA นี้เองเธอกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษที่เรียนรู้ที่จะใช้พลังของตนเพื่อการเฝ้าฟังความทุกข์ของผู้คน และโอบรับมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันในฐานะเพื่อนทุกข์
แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้เธอแก้ไขปัญหาเสียงในหัวของเธอได้ ไม่ได้ให้คำตอบว่านี่คือทางรอดของมนุษยชาติ เพราะความคลุมเครือของความทรงจำที่เธอโอบรับเข้ามา อย่างไรก็ดีน้ำตาของเจสสิกาในฉากนี้กลับทำให้เราหวนนึกไปถึงวิธีหนึ่งในการเข้าถึงเสียง/ความทรงจำ ของบรรดาผู้คนที่ถูกทำให้เงียบ นั่นคือการเข้าถึงผ่านศิลปะ
ก่อนหน้านี้หนังพูดถึงกะโหลกที่ถูกเจาะเป็นรูกลวงเพื่อปลดปล่อยวิญญาณร้าย รูในกะโหลกดูเหมือนจะทาบทับเข้ากับอุโมงค์ที่เจาะเข้าไปในแกนกลางของโลก จนเสียงเก่าแก่ของความตาย ของคนที่ตาย ถูกปลดปล่อย และถูกได้ยินอีกครั้ง ไม่ใช่ผ่านเจสสิกา แต่ผ่านการขุดค้นทางมานุษยวิทยา หากในอีกทางหนึ่งการเจาะกะโหลก เปิดกะโหลก ก็ยังใช้ในความหมายของการได้เปิดพรหมแดนใหม่ๆ ของผู้คน ไม่ว่าจะจากการเดินทาง การพูดคุย หรือผ่านเครื่องมืออย่างศิลปะแขนงต่างๆ
ก่อนหน้าที่เออร์นันคนหนุ่มจะหายตัวไป เขาเอาเสียงปังของเจสสิก้าไปทำงานดนตรีขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เขานำมันมาให้เธอฟัง นัดกันตรงอนุสาวรีย์ ข้างใต้เสียงเซ็งแซ่ของประวัติศาสตร์ เออร์นันได้ทำให้เสียงอันเงียบใบ้ของก้อนหินสักก้อนแปรรูปเป็นตนตรีขึ้นมา หลังจากเออร์นันหายตัวไป หนังติดตามเจสสิกาไปยืนฟังการเล่นดนตรีอย่างตั้งใจอยู่ยาวนาน ราวกับนั่นคือการฝึกการฟังของเธอ ต่อมา เจสสิกาก็เขียนบทกวีขึ้ประสมเสียงปังเข้ากับงานกล้วยไม้ที่เธอศึกษา กลายเป็นบทกวีที่ยังเขียนไม่เสร็จ พูดถึงการเสื่อมสลายของสิ่งสวยงามอย่างกล้วยไม้ที่ถูกทำลายด้วยเชื้อราและแบคทีเรีย กล้วยไม้ที่เจสสิกาพยายามยืดอายุผ่านการซื้อหาตู้เย็นขนาดใหญ่เพื่อชะลอการเสื่อมสลาย เหมือนกับการรักษาความทรงจำของผู้คนที่เสื่อมสลายไปกับเวลา
และได้พบกับเออร์นันชรา เขาบอกเธอว่าเขาไม่ดูหนัง ไม่ดูทีวี เพราะเขามีเรื่องราวมากเกินไป เธอเย้าเขาว่าเขาพลาดสิ่งดีๆ ไปหลายอย่าง หนังก็คือหนึ่งในนั้น
และนั่นทำให้เราคิดถึงน้ำตาของเจสสิกาอีกครั้ง ทำให้เรานึกขึ้นมาได้ว่ารูปแบบหนึ่งของการได้ยินเสียงปังและฟังรู้เรื่องว่ามันคือเสียงอะไรก็ด้วยการฟังมันผ่านหนัง คำบรรยายของเจสสิกาเป็นคำบรรยายเสียงเท่าๆ กับบรรยายสายตา มันราวกับว่า เธอได้นั่ง ‘ดู’ ความทรงจำอันเลวร้าย และได้ยินเสียงมันไปพร้อมกัน เธอได้ดู ‘หนัง’ ที่ผู้ชมไม่ได้ดู และเราต่างรู้กันว่า ‘หนัง’ หรือ ‘ภาพเคลื่อนไหว’ คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการบันทึกการต่อสู้ของผู้คน เรื่องเล่าทั้งหลายในหนังเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันทำให้คนจากโลกหนึ่ง(ดาวหนึ่ง) เข้าใจการต่อต้านของคนบนดาวฮ่องกง ดาวพม่า ดาวยูเครน ดาวประเทศไทย หนังมีฤทธิ์ทำให้เราหลั่งน้ำตาแม้ว่านั่นจะ ‘ไม่ใช่ความทรงจำของเราสักหน่อย’ ก็ตาม ศิลปะ/หนังจึงเป็นหนึ่งหนทางในการเข้าถึงเสียงปังที่ดังอยู่ในหัวของเรา เข้าถึงและต่อสู้เพื่อความทรงจำที่ถูกกดทับมาตลอด
กระนั้นก็ตามหนังก็ยังเคยเป็นเครื่องมือแขนขาในการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐด้วย เช่นเดียวกับเสียงที่เจสสิกาได้ยิน ความสามารถในการเป็นอะไรก็ได้ของหนัง/ดนตรี/กวี/ศิลปะใยมิคล้ายรูปแบบหนึ่งของวิญญาณร้ายจากะโหลกของศพหญิงสาว ใยมิคล้ายการที่การขุดเจาะอุโมงค์ไม่ได้เพียงทำให้เจอศพ หากยังทำให้เกิดการปนเปื้อนของแหล่งน้ำในท้ายที่สุดเช่นกัน เสียงที่เจสสิกาได้ยิน จึงมีอำนาจ ความทรงจำของคนไร้อำนาจจึงมีอำนาจ ทั้งในการกอบกู้โลกและทำลายโลกได้เท่าๆ กัน
กลับมาเล่าหนังกันอีกครั้ง เราอาจมอง MEMORIA ผ่านขนบของหนังผีที่ว่าด้วยหญิงสาวที่ได้ยินเสียงของคนตายมาขอร้องให้สืบสวนความจริงเกี่ยวกับความตายของพวกเขา เธอถูกเสียงของผีหลอกหลอนจนได้พบกับจอมขมังเวท(จากดาวอื่น)ที่สอนให้เธอเข้าใจเสียงเหล่านั้น หากเป็นหนังผีในขนบ เจสสิกาจะต้องช่วยปลดปล่อยวิญญาณร้าย หากมีความแค้นก็ชำระสะสาง เพื่อที่เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติเช่นเดิม เพื่อที่จะไม่ต้อง ‘ได้ยิน’ อีกต่อไป หากในหนังเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การล้างแค้นเพื่อภูติผีจำเพาะ เพราะมันเต็มไปด้วยภูติผีท่ามกลางประวัติศาสตร์การฆ่าอันยาวนาน แต่มันคือการได้ยิน เพื่อที่จะตระหนักรู้ว่าเราไม่ได้เป็นผู้กอบกู้โลก เราเป็นได้อย่างมากเพียงผู้เฝ้าฟัง เราจะต้องอยู่กับเสียงของภูตผีต่อไป โอบรับเสียงของภูตผีมาไว้ และไม่หลงลืมมัน นั่นเป็นหนึ่งในหนทางต่อสู้
กระนั้นก็ตาม ทั้งหมดที่เขียนไปนั้นก็เป็นเพียงส่วนต่อขยายจากการคิดฟุ้งด้วยการดูหนังผ่านทางการใช้สมอง หากความงดงามที่แท้จริงของ MEMORIA เราสามารถใช้ร่างกายส่วนอื่นในการดูหนังโดยไม่ใช่แค่ตาเห็นหรือสมองคิดทบทวนหาความหมาย เราสามารถใช้หูเฝ้าฟังเสียงเล็กเสียงน้อย ใช้ร่างกายสัมผัสกับภาพเอิบอิ่มนุ่มนวลหรือใช้การหายใจในการจับจังหวะเนิบช้าของมันทิลดาพูดใน masterclass ว่า นี่คือหนังที่เราสามารถดูได้โดยใช้ประสาทสัมผัส (sense it) ในขณะเดียวกัน ในแง่นี้ MEMORIA จึงเข้าใกล้กับประสบการณ์ของความทรงจำ ที่เราไม่ได้เพียงเห็นภาพ คิดต่อ หากยังสามารถสัมผัสกลิ่น เสียง ไปจนถึงอุณหภูมิพื้นผิว แบบเดียวกับที่เจสสิการู้สึกต่อเสียงที่เธอได้ยิน