ยังอยู่ค่ะ ยังไม่ไปไหน และดูทรงแล้วน่าจะอยู่จนเป็นมาตรฐานปฏิบัติกันโดยทั่วไป ฉันหมายถึงเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ ที่จุดกระแสติดตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยแฮชแทค Metoo
ในแง่หนึ่งก็น่าดีใจ ที่กระแส #Metoo ยังไม่หยุดกระเพื่อมง่ายๆ เพราะมันส่งผลต่อไปถึงอีกหลายวงการหลายประเทศ แถมผู้ที่โดนกล่าวหาว่าล่วงละเมิดเป็นรายแรกๆ ในวงการฮอลลีวูดก็ได้รับโทษและยังผ่านกระบวนการต่างๆ อยู่ ซึ่งหมายความว่าเรื่องจะไม่เงียบไปเฉยๆ แน่นอน โดยปรากฏการณ์นี้ก็ถูกตั้งชื่อตามผู้ก่อเหตุนั่นล่ะ ว่าไวน์สตีนเอฟเฟกต์
แต่บางทีแรงกระเพื่อมนั้นก็ออกจะ…แปลกๆ หน่อย
เพราะความอ่อนไหวของประเด็นนี้ มันจึงกลายเป็นดาบสองคมขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยฉันได้สอบถามจากผู้รู้เรื่องวงการบันเทิงเกาหลีอย่างเมอฤดี หรือคุณคันฉัตร (ผู้เขียนหนังสือ ‘Sorry Sorry, ขอโทษครับ…ผมเป็นติ่ง’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงเกาหลีนี่แหละ อันนี้ก็ต้องให้ว่าเชี่ยวชาญกว่
โดยคุณคันฉัตรกล่าวว่า, #MeToo มีความน่ากลัวอยู่ในตัวมันเอง เพราะผู้คนจำนวนมากพร้อมจะ ‘เชื่อใจ’ เหยื่อทันทีโดยไม่รอฟังความจากอีกฟากหนึ่ง ด้วยความเห็นใจในฝ่ายเหยื่อ หรือการมีอารมณ์ร่วมกับกระแสนี้จนขาดการใช้เหตุผลหรือสติไปชั่วคราว ทั้งที่กรณีกล่าวหาแบบบิดเบือนก็มีให้เห็นเรื่อยๆ ทั้งคอเนอร์ โอเบิร์สต์ แห่งวง Bright Eyes ที่ถูกผู้หญิงปล่อยข่าวในอินเทอร์เน็ตว่าโดนเขาข่มขืน แต่ภายหลังเจ้าหล่อนก็ยอมรับว่ากุเรื่องขึ้นมา หรือปาร์ค ยูชอน แห่ง JYJ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่ 18 เดือนเนื่องจากถูกฟ้องว่าไปข่มขืนสาวบาร์ แต่ในที่สุดศาลก็ตัดสินว่าฝ่ายหญิงใส่ความเขา
บางทีสองหนุ่มที่ว่ามาก็คงอยากจะติดแฮชแท็ก #MeToo ว่าฉันเองก็เจ็บปวดเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะเป็นเหยื่อของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่เพราะเป็น ‘เหยื่อของการถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ’
เป็นเหยื่อในเหยื่อ เหยื่อแบบอินเซปชั่น
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าโดนกล่าวหาในเรื่องไม่จริงก็บอกไปสิว่าไม่จริง แหม…คุณ ของแบบนี้กว่าจะพิสูจน์จนสิ้นสงสัยว่าไม่ได้ทำ มันก็เสียเวลา เสียงานเสียการ เสียสุขภาพจิตสารพัด แถมกว่าจะรู้เรื่องกัน บางทีชื่อเสียงมันเสียหายไปแล้วจะเอากลับคืนมาได้ยังไง และของอย่างนี้กล่าวหากันได้ไม่ยากด้วย เพราะคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องลับแลเรารู้กันอยู่สองคน เช่นอยู่ๆ ฉันบอกว่าพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ เคยกอดฉันนานไปหน่อย ในฉากรักในหนังที่ร่วมแสดงกันเมื่อห้าปีที่แล้ว แบบนี้น่ะ ใครมันจะพิสูจน์ได้ (ถึงแม้ว่าเอาจริงๆ แล้ว ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในไทย คนที่โดนด่าน่าจะเป็นฉันมากกว่าพี่ติ๊กก็เถอะ แถมคนด่าก็ผู้หญิงด้วยกันนี่แหละ เชื่อสิ)
นอกเหนือจากการกระเพื่อมในมุมกลับนี้แล้ว ความอ่อนไหวก็แพร่กระจายไปไกลขึ้นอีก โดยมีข่าวในสื่อ Independent รายงานว่า ทีมงานผู้ผลิตงานในแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Netflix ได้รับข้อควรปฏิบัติใหม่ล่าสุดมาดังนี้
– ห้ามมองใครเกิน 5 วินาที
– ห้ามกอดกันอ้อยอิ่ง หยุมย้วย ทิ้งรอยอาลัย
– ห้ามแต๊ะอั๋ง แตะนั่นนี่
– ห้ามขอเบอร์
– ห้ามชวนกันไปไหน
และกล่าวเพิ่มเติมว่า ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ต่อต้านการละเมิดคุกคามทางเพศ ตามแฮชแทค Metoo ที่ทุกคนรับรู้และตื่นตัวกัน (ฉันไม่ได้มั่วนะ- – อะ เอาลิงค์ข่าวต้นทางไปดู- – www.independent.co.uk ตามนี้จ้ะ)
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนกองถ่าย แต่มักเรียกรวมๆ กันไปให้เข้าใจได้ง่าย, ว่าอย่ามาได้กันในกอง เพราะบรรยากาศกองนั้นไม่ใช่ว่าโรแมนติกจุดเทียนอะไรหรอก แต่มันเหนื่อยยากลำบากแสนในบางวัน การเกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์มันก็ง่ายน่ะ เห็นกันอยู่อาทิตย์ละ 5 วันมากกว่าลูกเมีย หรือผัวหรือพ่อแม่ที่รออยู่ที่บ้าน คนทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เห็นอกเห็นใจกันเวลาคนนี้โดนด่า คอยช่วยเหลือให้ทำงานกันต่อไปได้ แล้วเจอกันแบบนี้นานเป็นเดือนเป็นปี เจอจนรู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไร เสื้อตัวไหนคือเสื้อตัวโปรดน่ะคุณ คือบรรยากาศมันเอื้อให้เกิดสถานการณ์สปาร์คกันนั่นล่ะ
แต่อย่าลืมว่าคนกอง มันก็ไม่ใช่เทพารักษ์ที่จะสถิตย์สิงอยู่แต่เฉพาะกองใดกองหนึ่ง ทีมฟรีแลนส์นี่บางทีเดือนละไม่รู้กี่กอง เจอกันวนไป ปัญหาได้กันแล้วไม่ลงตัว หรือรักสามเส้าจึงมีกันอยู่บ่อยๆให้ได้เห็น ไอ้ประเภทมีแล้ว แล้วกัน จบกันในกองก็เรื่องหนึ่ง แต่ประเภทลากกันไปจนได้อยู่หรือเลิกกันเป็นมหากาพย์ความรักก็มีมากมาย
สมัยฉันได้ทำงานกองฝรั่ง เขาก็แจกโน้ตแบบนี้มาเหมือนกัน ใจความว่าห้ามเฟลิร์ตกันในกองนะยู แต่จะลากกันไปกินที่ไหนก็แล้วแต่ แต่จงอย่าเสียงานเสียการ สบตากันวาบหวามในกองถ่าย เพราะมันไม่เป็นมืออาชีพ อะ ก็ในเมื่อข้อกำหนดมันก็มีมาอยู่แล้วงั้นเพิ่มมาอีก 5 ข้อนั้นมันจะอะไรนักหนา, หลายคนคงคิดแบบนี้
ก็มันอะไรนักหนาน่ะสิ เพราะตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกเลย ว่าถ้าต้องทำงานตาม 5 ข้อนั้นเป๊ะๆ กองถ่ายมันจะทำงานกันยังไง (วะ)?
มาว่ากันทีละข้อ
-ห้ามมองใครเกิน 5 วินาที
อันนี้คือสงสารช่างแต่งหน้ามาก ทำไงนะ ห้ามมองนานเกินห้าวินาที เขียนคิ้วยังไม่ได้เลยซักข้าง อะ คุณอาจจะบอกว่าเวอร์ไป ช่างแต่งหน้า (รวมช่างผมด้วยเอ้า) ต้องเป็นข้อยกเว้นสิ อะ งั้นตากล้องจะมาร์คเฟรม วัดโฟกัสกันยังไง แกฟเฟอร์จะจัดแสงยังไงโดยให้ดูทางแสงแค่ห้าวินาที หรือต่อให้หาตัวดับเบิลมามาร์คเฟรมจัดไฟแทนก็เถอะ มันจะทำงานกันยังไงระหว่างผู้ร่วมแสดงหรือนักแสดงสมทบ ห้าวินี่สั้นจึ๋งเดียวเองนะคุณ คนควบคุมความต่อเนื่องจะทำคอนตินิวยังไงโดยไม่ขอมองเกินห้าวินาที? ต้องเช็กจากมอนิเตอร์เท่านั้นเหรอ?
อะ คุณก็อาจจะบอกว่าเฮ้ย ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ข้อนี้คงหยวนๆ มั้ง
งั้นมาข้อต่อไป
-ห้ามกอดกันอ้อยอิ่ง หยุมย้วย ทิ้งรอยอาลัย
ฝรั่งเขากอดทักกันเป็นปกติน่ะนะ แต่ระดับดารานำ ก็คงไม่มีซีนอยู่ๆ ไปกอดกับทีมงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง (ถ้าอยู่ๆ ดาราเดินมากอดทีมนี่ก็ผิดปกติจริงๆ แหละ สมควรแก่การเอ๊ะ ไม่ได้สนับสนุนให้วางตัวเย่อหยิ่งอะไร แต่นี่คือสัมผัสที่ไม่จำเป็นน่ะ เหมือนคุณทำงานออฟฟิศ อยู่ๆ คุณจะเดินไปกอดน้องฝึกงานเหรอวะ) อะ ข้ามเรื่องกอดทักทายเบื้องหลังไป มาสู่การทำงานเบื้องหน้านี่ล่ะ ปัญหามันคือคำว่า ‘อ้อยอิ่ง’ (Lingering Hug) แค่ไหนคืออ้อยอิ่ง?
สมมติฉันต้องเข้าฉากปรับทุกข์กับนักแสดงชายว่าพ่อฉันตายเอ้า ในบทเขียนว่าฉันร้องไห้ไปเล่าไป สุดท้ายก็โผเข้ากอดกับเพื่อนชายแล้วสะอื้นฮักๆ อย่างระทม โอเค เล่าเรื่องไป ร้องไห้ไป พ่อตายไป พอกอดปึ๊บ ฉันควรจะกอดกี่วินาที? หรือนักแสดงชายท่านนั้นควรกอดฉันกี่วินาที ถึงจะดูไม่เป็นการล่วงเกิน? เกิดฉันบอกว่า 5 วิก็พอ แต่นักแสดงชายบอกว่าห้าวิกูยังไม่ทันตื้นตันเลย 10 วิก็แล้วกัน แต่ผู้กำกับบอกว่าจะให้กล้องซูมเข้าหน้า ให้เห็นแรงอารมณ์ของแต่ละคน พี่ขอ 30 วินาทีแล้วกัน
ถ้าเป็นงี้จะเอาไงต่อล่ะ? โกรธผู้กำกับว่าสมคบกับนักแสดงชายเหรอ? หรือคิดว่าเขากอดแน่นไป รู้สึกถูกคุกคาม? เกิดนักแสดงชายบอกฉันกอดแน่นไปแถมแนบหน้าเข้าซอกคอเขา เขารู้สึกอึดอัด ถูกคุกคามบ้างจะทำยังไง? แล้วตอนซ้อมจะซ้อมยังไง ขอไม่กอดจริงเหรอ ซ้อมแบบแตะๆ กัน แล้วเอาจริงกล้องโฟกัสหน้าไม่ได้จะเป็นความผิดของใคร ของตากล้องหรือของนักแสดงที่ไม่ยอมซ้อมกันก่อน?
ยังไม่พูดถึงการกอดกันเพื่อร่วมสัมผัสอารมณ์ของฉาก ที่ฉันก็ทำกับน้องนักแสดงอยู่บ่อยๆ ในฉากดราม่ามากๆ ว่าเราจะต้องเจ็บร้าวไปด้วยกันนะ เกิดฉันกอดแล้วเขามาบอกว่าฉันฉวยโอกาส ฉันต้องทำยังไงหว่า
ยิ่งคิดยิ่งปวดกบาล มาที่ข้อต่อไปก็แล้วกัน
-ห้ามแต๊ะอั๋ง แตะนั่นนี่
อันนี้ก็คล้ายข้ออ้อยอิ่ง แตะในบทนับไหม แตะกันแบบอิมโพรไวส์นอกบทต้องขออนุญาตไหม ไอ้ประเภทอยู่ๆ เดินไปจกตูดเลยนี่เข้าใจได้ว่าสมควรโดนตบกลับค่ะ แต่พอแสดงเสียแล้วก็ชักจะยาก ครั้นจะนัดกันก่อนทุกอากัปการเคลื่อนไหว ก็ไม่สด ไม่อิมโพรไวส์ไปอีก
-ห้ามขอเบอร์
อันนี้ปกติพอสมควร ในทุกๆ สภาพการทำงาน ถ้าไม่จำเป็น ไม่ต้องติดต่อกันนอกรอบก็ไม่ต้องมาขอเบอร์ส่วนตัวกัน เพราะมีทีมงานที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว นอกจากจิ๊จ๊ะกันเอง ชวนกันไปทำบุญ (เหรอ) หรืออะไรก็จงไปขอกันเอง แต่ถ้าเขาไม่ให้ก็จงรู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่ให้ พื้นที่ส่วนตัวคือพื้นที่ส่วนตัว เจ้าของมีสิทธิ์กำหนดขอบเขต
-ห้ามชวนกันไปไหน
อันนี้พ่วงจากข้อขอเบอร์ คือถ้าไม่มีเบอร์มันชวนกันไปนอกรอบไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไอ้หน้ากองนี่ควรแค่ไหนสมมติมีคนชวนฉันไปต่อบทกันอย่างนี้ได้ไหม? หรือห้ามชวน จะต่อก็ต่อมันในที่โล่งๆ แจ้งๆ นี่ล่ะ ห้ามไปลับแลกันในรถหรือที่รโหฐานต่างๆ หรือทีมงานพอเลิกงานแล้ว ชวนไปกินข้าวคุยเล่นกันได้ไหม ทั้งแบบจะกินข้าวจริงๆ หรือจะกินกันเองก็ตาม หรือจะต้องรอให้จบเรื่องไปก่อนค่อยสานต่อ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกการชวนจะจบด้วยสัมพันธ์สวาทน่ะคุณ ฉันนี่ทั้งเป็นคนชวนและถูกชวนไปกินข้าว กินเบียร์ อะไรอยู่บ่อยไป คราวนี้ก็ไม่ควรทำแล้วสินะ
สุดท้ายคุณก็อาจจะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับเจตนา หรือไม่ก็อาจจะบอกว่าใครเขาไปคิดมากกัน กฎก็ออกมางั้นๆ ล่ะ ไม่ซีเรียสหรอก เอ้า ก็ถ้าไม่ซีเรียสจะออกกฎทำไมวะ
หรือบางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสิ หรือถ้าบอกขึ้นอยู่กับเจตนา นักแสดงเล่นเป็นคู่รักกันเกิดอินในบท มันจะอินได้แค่ไหน หรือเล่นเป็นพ่อลูก แม่ลูก เราจะอุ้มเด็กไว้ตลอดได้มั้ย หรือไปสนิทด้วยเพื่อละลายพฤติกรรมก่อนเข้าฉากได้หรือเปล่า? ไม่คุยเลยเด็กก็เกร็ง แต่คุยมากไป เกิดพ่อจริงแม่จริงเขามาฟ้องว่ากูฮาราสเมนต์เอ็นดูเด็กเกินขอบเขตจะทำยังไงเพราะบางทีมันก็มีสัมผัสที่ไม่ได้ระบุไว้ในบท แต่จำเป็นต้องทำเพื่อความสมจริงบ้าง (คนเล่นเป็นแฟนแตะตัวกัน รับบทพ่อแม่จะอยู่ๆ เสยผมหรือเช็ดเหงื่อให้ลูกในจอได้ไหม) หรือผู้ถูกกระทำรู้สึกว่านี่มันเกินเลย แต่ถ้าคนทำเขาบอกว่าทำตามหน้าที่ จุดร่วมของข้อตกลงมันจะอยู่ตรงไหน
คิดไปก็งงไป ฉันว่าดีนะ เรื่องไม่ล่วงละเมิดใครเนี่ย แต่บางทีก็ยากแก่การปฏิบัติพอสมควรสำหรับคนกองตามที่ได้กล่าวมาแล้ว น่าจะเป็นไปได้สำหรับการทำงานในออฟฟิศมากกว่า แต่ก็อีกนั่นแหละ โดยปกติฉันก็ไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามกับใคร หรือมีข่าวกับนักแสดงชายที่เล่นด้วยเลยสักครั้ง
อะไรนะ? ไม่ใช่ว่าเพราะฉันควบคุมกิริยาดี แต่เป็นเพราะฉันมันไม่มีเซกส์แอพพีลงั้นเรอะ!!?
เดี๋ยวเหอะ!!!!