1.
“เขาบอกฉันว่า ชอบช่วยตัวเองมากๆ ขณะจ้องตาฉัน”
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโสเภณี ที่สร้างความผิดหวังต่อพ่อแม่ เพื่อนและตัวเองอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ฉันบอกใครไม่ได้”
“ผมรู้จักคนที่สามารถกระชากคุณออกจากรถ อุ้มคุณไปโยนทิ้งแม่น้ำ โดยถ่วงซีเมนท์ไว้ที่เท้า คุณเข้าใจใช่ไหมว่า ผมกำลังพูดถึงอะไร เข้าใจใช่ไหม!”
2.
ชายคนหนึ่งเดินเตร่อยู่ตามสวนสาธารณะ ทั้งในเมืองนิวยอร์ก และลอสแอนเจลลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อเจอสาว ๆ ที่รูปร่างดี หน้าตาสวย เขาก็จะปรี่ไปแนะนำตัว ชวนไปนั่งคุยที่ร้านอาหาร วางนามบัตร บอกว่าตัวเองคือ เจมส์ โทแบ็ก (James Toback)เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทมือทอง รู้จักกับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) นักแสดงชื่อดัง เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ด้วย
หญิงสาวหลายคนมีความสนใจในเส้นทางวงการบันเทิง ฮอลลีวูด การเป็นดาราเฉิดฉายและยกฐานะระดับตัวเอง เมื่อมีชายที่บอกว่าตัวเองเป็นยอดคนในวงการนี้ปรี่เข้ามาหา จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก
แต่นั่นคือหมากอันอื้อฉาวของโทแบ็ก เขาใช้มันล่อลวงหญิงสาวไปคุกคามทางเพศ และทำมันมากกว่า 30 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 ถึงปี ค.ศ.2008 มีหญิงสาวที่ถูกก่อเหตุมากกว่า 300 ราย!
3.
เจมส์ โทแบ็ก เริ่มต้นอาชีพเป็นนักข่าว ก่อนไต่เต้ามาทำงานเขียนบทภาพยนตร์ ผลงานของเขาจะนำเสนอภาพหนุ่มเสเพล เจ้าชู้ เป็นเสือผู้หญิง เดิมนั้นโทแบ็กถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในโลกฮอลลีวูดอย่างมาก ท่ามกลางข่าวลือว่า เขาชอบเตร็ดเตร่หาหญิงสาวตามท้องถนน และชวนไปที่บ้าน
พฤติกรรมของเขาก็เหมือนขาใหญ่ในวงการฮอลลีวูดหลายคน ที่มีลักษณะคุกคามทางเพศต่อผู้หญิง ทั้งดาราและหญิงสาวหลายคนที่อยากเป็นนักแสดง ทุกคนรู้ แต่เลือกที่จะปิดปากเงียบ มีเพียงเสียงซุบซิบดังออกมาเบาๆ เท่านั้นเอง
จวบจนช่วงปี ค.ศ.2017 กระแสการเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ หรือ MeToo เกิดขึ้น จุดเริ่มต้นจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน กรณีฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) โปรดิวเซอร์ตำนานแห่งฮอลลีวูด ถูกตีแผ่ว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศผู้หญิงหลายคน มีเหยื่อออกมาพูดเป็นจำนวนมาก จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวเรียกร้อง ฮาร์วีย์กระเด็นจากทุกความทรงจำในโลกฮอลลีวูด ถึงทุกวันนี้ก็ยังต้องเดินทางมาขึ้นศาล ได้ตำแหน่งว่าเป็นไอ้เลวจอมข่มขืนแทน
กระแส #MeToo ถูกจุดติดไปทั่วโลก ผู้ชายอันเป็นตำนานหลายคนในวงการภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือเป็นคนดังระดับประเทศ ถูกตีแผ่ว่า ภายใต้หน้ากากชายแสนดี มากเสน่ห์ อุดมความสามารถ แท้จริงแล้วคือไอ้เลวจอมข่มขืน ที่ก่อเหตุกับหญิงสาวเป็นจำนวนมาก
พฤติกรรมซุบซิบที่พูดกันมานานต่อชายมากอำนาจ ถูกนำเสนอเป็นความจริง มันคือการจุดไฟแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้เห็นว่าการคุกคามทางเพศ ที่ผู้ชายใช้อำนาจมากดดันให้หญิงสาวยอมจำนน และถูกยอมรับได้มาหลายปี เพื่อแลกกับการแสดงหนัง หรือมีที่ทางในวงการบันเทิง บัดนี้จะต้องถูกทำลายลงไปได้
เจมส์ โทแบ็กก็หนีไม่พ้น
แม้ช่วงนั้นเขาจะอายุ 73 ปีแล้วก็ตาม
จุดเริ่มต้นมาจากกระแส MeToo สก็อตต์ เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผกก.ภาพยนตร์ เรื่อง Dr.Strange สุดโด่งดังได้ทวิตข้อความเรียกร้องให้หญิงสาวที่ถูกก่อเหตุออกมาบอกเล่าเรื่องราวการถูกคุกคามทางเพศจากผู้มีอำนาจในวงการฮอลลีวูดมากขึ้น
เซลมา แบร์ (Selma Blair) ดารานักแสดงหญิงชื่อดังเห็นข้อความดังกล่าว และด้วยความที่ทวิตเตอร์ของสก็อตต์มีคนติดตามกว่า 6 หมื่นคน ตอนนั้นกระแสโค่นล้มฮาร์วีย์กำลังมาแรงมาก นั่นทำให้เซลมาตัดสินใจส่งข้อความไปหาสก็อตต์ บอกเล่าเรื่องราวการถูกคุกคามทางเพศที่เธอถูกเจมส์ โทแบ็กกระทำ
เซลมาเป็นนักแสดงมากฝีมือ หลายปีก่อนตอนเริ่มอาชีพ เธอมีโอกาสได้พบกับเจมส์ ซึ่งเขาได้ติดต่อคุยกับเธอ ถึงโครงการภาพยนตร์เรื่องใหม่ โดยขอนัดพบที่ห้องในโรงแรม แต่แบร์แย้งขอให้เจอที่ร้านอาหารในโรงแรมจะดีกว่า
แต่เมื่อไปถึง เด็กเสิร์ฟแจ้งว่า เจมส์มาไม่ได้ เพราะติดธุระ แต่เขาอยู่ที่ห้องในโรงแรมนี้เอง แม้สัญชาตญาณจะคัดค้านเซลมาอย่างหนักแค่ไหน แต่เธอก็ตัดสินใจไปพบเขาที่ห้องในโรงแรมจนได้
เมื่อพบหน้า เจมส์ยื่นบทมาให้เธออ่าน แล้วบอกว่า เซลมายังไม่มีความมั่นใจเพียงพอ จากนั้นสถานการณ์ชวนอึดอัดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถามว่าพ่อแม่แบร์อยู่ไหน นั่นทำให้หญิงสาวสับสนและเริ่มอยากจะกลับ แต่เธอก็ตอบว่าแม่อยู่ที่มิชิแกน ส่วนพ่อนั้น เธอไม่ได้คุยมาหลายปี และความสัมพันธ์ห่างเหินกันมาก
“ผมสั่งคนไปฆ่าเขาให้ได้นะ”
เจมส์พิงเก้าอี้ ด้วยท่าทางมั่นใจ “ผมทำได้แหละ เพราะผมรู้จักคนที่จะทำงานแบบนี้ได้”
เซลมากระอักกระอ่วนอย่างมาก เขาเหมือนพูดจาข่มขู่เธอ มีการพูดว่าสามารถสั่งฆ่าคนได้ รู้จักคนที่ทำงานแบบนี้ 40 นาทีที่เจมส์พูด เขาบอกว่ารู้จักดารามากมาย แน่นอนรวมถึงการรู้จักโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ด้วย หลังจากคุยมาสักพัก เขาก็เปิดฉากว่า “ถอดเสื้อผ้าคุณออกสิ ผมอยากให้คุณอ่านบทในสภาพเปลือยกาย”
นักแสดงสาวคัดค้าน “ในบทฉันเล่นเป็นทนายความ แล้วทำไมต้องเปลือยด้วย”
“ผมอยากเห็นร่างคุณ จะได้ช่วยติวให้คุณแสดงดีกว่าเดิมได้”
นี่คือสถานการณ์ชวนขยะแขยงมาก เซลมาทำอะไรไม่ถูก เธอคิดภาพตัวเองอ่านบทในสภาพเปลือยกาย แล้วหน้าแดงครุ่นคิด จากนั้นเจมส์นั่งลงบนเตียง เขาขยับอวัยวะเพศตัวเองกับกางเกง ให้เธอเห็นได้ชัด แล้วพูดว่า “คุณอยากมีอะไรกับผมไหม”
เซลมาตื่นตะลึงสุดขีด พยายามถามเรื่องครอบครัว การแต่งงานของเจมส์ แต่อีกฝ่ายบอกว่ามันเป็นเรื่องซับซ้อน เขาโม้ว่าตัวเองมีแฟนสาวที่มีความต้องการทางเพศมากมหาศาล ถึง 7 ครั้งต่อวัน
สถานการณ์ชวนเลวร้ายนี้จบลงที่เจมส์ช่วยตัวเองต่อหน้าเซลมา และบังคับให้เธอดูเขากระทำแบบนั้น น้ำกามรดขาเธอ หญิงสาวเพิ่งเริ่มต้นอาชีพการแสดง และบอกกับแฟนหนุ่มว่าอย่าบอกใคร เธอกลัวว่าหากเล่าเรื่องนี้ไป จะทำให้เส้นทางการแสดงเธอจบสิ้นได้ รวมถึงกลัวถูกโทแบ็กสั่งคนมาฆ่าเธอด้วย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เซลมาก็พยายามเลี่ยงร่วมงานกับเจมส์ โทแบ็ก
เธอย้ำกับผู้จัดการส่วนตัวว่า ถ้าเจมส์นัดอะไร ต้องคุยกันในที่สาธารณะ และอย่าส่งผู้หญิงหรือเด็กสาวไปหาเขาในห้องพักโรงแรมอีก เธอเก็บงำความลับนี้มานานมาก จนเมื่อถึงยุค Metoo เธอก็ตัดสินใจเปิดปากพูด
สก็อตต์นั้น รู้จักนักข่าวลอสแอนเจลลิส ไทมส์ หรือแอลเอ ไทมส์ อย่าง เกลนน์ วิปป์ (Glenn Whipp) มาหลายปี เขาเป็นนักข่าวมือฉมังที่ทำข่าววงการฮอลลีวูดอย่างยาวนาน เมื่อวิปป์ทราบเรื่อง เขาก็ติดต่อไปหาแบร์ ซึ่งตอนนั้นมีลูก และเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตอนติดต่อมา เธอกลัวจะถูกโทแบ็กฟ้องร้อง แต่สื่อมวลชนอย่างวิปป์ให้ความมั่นใจว่า ทางสำนักข่าวแอลเอ ไทมส์ พร้อมให้การสนับสนุนอยู่แล้ว
เกลนน์เข้าไปส่องโลกทวิตเตอร์ และพบความจริงอันน่าตื่นตะลึง กระแส Metoo ทำให้มีเหยื่อหลายคนออกมาพูดถึงเรื่องราวของโทแบ็ก เขาค่อยๆ ติดต่อเหยื่อไปหลายราย จนพบว่ามีผู้ถูกเจมส์ โทแบ็กคุกคามทางเพศแบบที่เซลมาโดนกว่า 38 รายด้วยกัน
ทุกรายลงเอยด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน นั่นก็คือ เจมส์เข้ามาติดต่อ ชักชวนไปคุย เขาโอ้อวดความยิ่งใหญ่ของตัวเอง และบอกว่ารู้จักดาราไปทั่ว (แน่นอนรวมถึงโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ด้วย) ก่อนจะชวนไปที่โรงแรม ที่นั่นเขามักจะช่วยตัวเองให้หญิงสาวดู หลายครั้งเขานั่งคร่อมที่ขาผู้หญิง ถูไถอวัยวะเพศตัวเองกับขาผู้หญิง เพื่อสำเร็จความใคร่ หลายครั้งน้ำกามหลั่งออกมาเปื้อนขาเหยื่อ
เมื่อวิปป์เก็บข้อมูล เขาพบรูปแบบการคุกคามแบบเดียวกัน และไม่ใช่แค่แบร์เท่านั้นที่โดนแบบนี้ นักแสดงสาวชื่อดังอย่าง จูลีแอนด์ มัวร์ (Julianne Moore) และราเชล แมคอดัม (Rachel McAdams)สมัยเป็นนักแสดงดาวรุ่ง วัย 21 ปี เคยไปพบเจมส์ เขาได้พร่ำพรรณาว่าจะคิดจิตนาการถึงหน้าราเชลเสมอ เวลาช่วยตัวเอง แถมยังขอดูขนในที่ลับของราเชลด้วย
มันคือการคุกคามทางเพศ ที่ราเชลบอกว่ายุคนั้น สมัยผู้หญิงต้องปิดปากเงียบต่อการกระทำเลวร้ายของขาใหญ่ในฮอลลีวูด เธอทำได้เพียงโทษตัวเอง ที่ไปหาเขาในที่ลับตา ด้วยความหวังว่าจะได้รับโอกาสในการแสดง แต่กลับเจอการพูดจาคุกคามทางเพศ
โชคดีอย่างเดียวในสถานการณ์นี้คือ ราเชลไม่ได้ถูกคุกคามทางเพศด้วยการบังคับทางกาย ไม่เหมือนกับหญิงสาวหลายคน
4.
แอลไอ ไทมส์ ตีพิมพ์ข่าวชิ้นนี้ออกไป มันกลายเป็นกระแสใหญ่ ในการเรียกร้องต่อต้านการคุกคามทางเพศพอดี 38 หญิงสาวที่ออกมาพูดความจริง นำไปสู่การออกมาเปิดปากพูดของหญิงสาวอีกมากมาย กว่า 300 ราย พวกเธอบางคนหวังจะเป็นดารานักแสดงในฮอลลีวูด แต่เมื่อเจอการคุกคามทางเพศของเจมส์ โทแบ็ก พวกเธอก็ทิ้งความฝันนี้ หลังเจอเรื่องน่าสะอิดสะเอียนอย่างมาก
ตำรวจไม่รอช้ารวบรวมหลักฐานดำเนินคดีเจมส์ โทแบ็กทันที โดยพวกเขาพบหลักฐานว่ามีผู้หญิง 5 รายที่ถูกคุกคามทางเพศ เข้าขั้นทำร้ายร่างกาย มีการผลักอัดกับกำแพง ก่อนจะถูกบังคับให้ยอมรับการถูไถอวัยะเพศชายของเจมส์ที่ขา เพื่อหลั่งน้ำเชื้อออกมา
ข้อกล่าวหาที่ตำรวจตั้งและข่าวสืบสวนสอบสวนที่แอลเอ ไทมส์ตีแผ่ออกมา เจมส์ในวัยชราออกมาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง โดยย้ำว่า ผู้หญิงที่กล่าวหาเขาบางคน เป็นคนที่เขาไม่เคยพบหน้าทั้งสิ้น ถึงพบก็ใช้เวลาไม่นาน และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะก่อเหตุลักษณะนี้ เพราะตัวเองมีร่างกายที่ไม่แข็งแรง ป่วยเป็นเบาหวานอยู่
แต่ไม่มีใครเชื่อ การก่อเหตุของเจมส์นั้นใช้เวลาถึง 30 ปีทีเดียว บางทีเหยื่ออาจมีจำนวนสูงกว่า 300 คนก็เป็นได้ นั่นทำให้เขากลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจสุดอื้อฉาวในวงการฮอลลีวูดทันที
เพราะถือเป็นคนที่คุกคามทางเพศผู้หญิงมากที่สุด
เป็นประวัติการณ์อันแสนทุเรศในโลกแห่งภาพยนตร์ด้วย
ทางตัวโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรถึงเจมส์ ทั้งสองเคยร่วมงานกันมาในอดีต แต่หลังจากตัวโรเบิร์ตติดยาและประสบปัญหา ทำให้เจมส์ถอยหายไปเอง แต่ก็ยังแอบอ้างชื่อนักแสดงคนนี้ไปหากินกับหญิงสาวอยู่เป็นประจำ
ที่จริงแล้วพฤติกรรมของเจมส์ โทแบ็ก เป็นที่รับรู้ในวงการฮอลลีวูดมานานแล้ว เคยมีนิตยสารแฉเรื่องราวของเขา ที่ตระเวนเสาะหาผู้หญิงที่สวนสาธารณะ ก่อนล่อลวงไปคุกคามทางเพศ โดยมีการเขียนไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 หรือในช่วงต้นปี ค..ศ.2000 ก็มีสื่อนำเสนอ แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ เพราะความเงียบนี้เอง ที่ทำให้ผู้ชายหลงอำนาจหลายคนก่อเหตุได้ยาวนานแบบนี้
และเพราะความเงียบอีกเช่นกัน ทำให้คดีของเจมส์ โทแบ็ก ไม่สามารถเดินไปสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพราะมันหมดอายุความหลายคดี นั่นทำให้โทแบ็กครองสถิติผู้ชายบ้ากามแห่งโลกฮอลลีวูด แต่ไม่ถูกดำเนินคดีแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ต้องขึ้นศาล ทั้งที่มีเหยื่อที่ถูกเขาล่วงละเมิดคุกคามทางเพศกว่า 300 คน
คำพิพากษาทางกฎหมายไม่มี แต่คำพิพากษาทางสังคมปรากฎขึ้น โทแบ็กสูญเสียผลงานที่สร้างชื่อไว้จนหมดเกลี้ยง กลายเป็นปราสาททรายสูญสลาย เหลือเพียงเรื่องอื้อฉาวที่จะติดตัวเขาไปจนกว่าจะถึงวันตายแทน
5.
นี่คือเรื่องราวของชายที่อ้างว่าสามารถจ้างฆ่าคนได้ ชายที่อ้างว่ารู้จักคนเยอะ แต่นั่นเป็นแค่เรื่องขี้โม้ เพราะสุดท้ายเขานั่นเองที่สังหารชีวิตผลงานของตัวเองจนหมดสิ้นและเป็นสื่อมวลชนต่างหากที่ทำให้เห็นว่า นี่คือชายที่เลวจนไม่ควรจะมีที่ยืนในโลกนี้อีกต่อไป
สำหรับหญิงสาวที่ถูกเจมส์ โทแบ็กกระทำนั้น การออกมาพูดของพวกเธอ นำไปสู่การตีแผ่ มันค่อยๆ ก่อตัวรวบรวมผู้เสียหายจำนวนมาก และสุดท้ายก็นำไปสู่การโค่นล้มเจมส์ ทรงพลังยิ่งกว่ากระบวนการยุติธรรมหรือกฎหมายใดๆ อีก เสียงของพวกเธอทุกคนจึงทรงประสิทธิภาพมาก
แน่นอนว่ามันยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นี้ นี่คือการกระชากหน้ากากผู้ชายที่ใช้อำนาจรังแกผู้หญิง พวกเขาควรต้องถูกกำจัดไป เพราะโลกเรา ยังมีคนแบบนี้ซุกซ่อนตัวอยู่ในสังคมมนุษย์อีกเยอะ ผู้ชายแบบนี้ ยังมีอีกมาก
“และเจมส์ โทแบ็กจะไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน”
อ้างอิงข้อมูลจาก